ตอนที่ 5
แม้จะเป็นวัดที่อยู่ในเมืองหลวง แต่เมื่อขึ้นชื่อว่าวัดแล้ว สถานที่นี้ย่อมจะเงียบและมีความสงบมากกว่าสถานที่อื่นๆ แน่นอน แหม่มเดินดูลวดลายแกะสลักที่บานประตูโบสถ์ด้วยความสนใจ หญิงสาวก้าวเดินไปอย่างเชื่องช้า จะด้วยเพราะความร่มรื่นของสถานที่ หรือความสวยงามในงานฝีมือแกะสลักก็ตาม แต่สถานที่แห่งนี้ก็ทำให้หญิงสาวไม่อยากออกไปจากอาณาบริเวณในขณะนี้
“โยมลองหัดนั่งสมาธิดูบ้างสิ เผื่อว่าบางทีบุญกุศลที่มาจากการภาวนาของโยม อาจช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นทุกข์ได้”
หญิงสาวหวนนึกถึงคำพูดของพระชรา หลังจากที่เธอและเพื่อนไปทำบุญและถวายสังฆทาน เพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับเธอคนนั้น เมื่อชั่วโมงที่ผ่านมา มันยิ่งทำให้หญิงสาวครุ่นคิดจนไม่สามารถหยุดได้ ถึงเรื่องของผู้หญิงคนนั้น
ซึ่งหากเธอได้ทราบเรื่องที่เจ้าหน้าที่ที่ขับรถตามมาได้พบเห็นแล้วละก็ ในขณะนี้เธออาจจะรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างคอยติดตามเธออยู่ แม้กระทั่งในขณะนี้
“ขอบใจเธอมาก...ที่อยากจะช่วยฉัน
... จิตเธอสื่อกับฉันได้...เธอช่วยฉันได้...
ฉันจะพาเธอไป...ไปพบกับคนพวกนั้น
...แล้วนำพาพวกเขา มาที่นี่”
หญิงสาวใบหน้าขาวซีด ยืนอยู่ใต้ต้นโพธิ์ภายในวัด จ้องมองไปที่แหม่ม พร้อมกับพูดเสียงในลำคอ เธอส่งยิ้มเยือกเย็นให้กับหญิงสาวก่อนที่จะค่อยๆ เลือนหายไป
“ฉันว่าแกเลิกคิดถึงผู้หญิงคนนั้นซะเถอะ นี่เราก็ทำบุญไปให้เขาแล้ว เขาคงได้รับแล้วล่ะ”ชมพู่พูดเตือนสติเพื่อน เมื่อเห็นแหม่ม นั่งเหม่ออยู่ใต้ต้นโพธิ์ภายในวัด
“ก็หวังว่าอย่างนั้นนะชมพู่” หญิงสาวลุกขึ้นยืนภายใต้ร่มเงาของต้นโพธิ์ต้นใหญ่ ก่อนจะนำพาตัวเองออกมาบริเวณที่รถจอดอยู่
แม้หญิงสาวจะมากันเพียงสองคน แต่ภาพที่พระชรารูปนั้นได้สัมผัสกลับมีหญิงสาวอีกคนหนึ่งเดินตามหลังอยู่ติดๆ
บุรุษผู้ครองผ้าเหลืองเพ่งมองไปยังภาพเบื้องหน้า...
หญิงสาวผู้นั้นหันมามองพระชรา ด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยไฟแห่งความอาฆาต
“เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวรนะโยม”
พระชราพูดน้ำเสียงแผ่วเบา แต่ภาพหญิงเบื้องหน้านั้นหาได้เลือนหายไปไม่ เธอยังคงติดตามหญิงสาวทั้งสองออกไปจนลับตา
พระชราทำได้เพียงยืนสงบนิ่งแล้วกล่าวเป็นภาษาบาลี เพื่อแผ่เมตตาไปให้
.........................................................................................................................
แม้จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปแล้ว แต่ทว่าตลอดทั้งวันแหม่มครุ่นคิดถึงแต่เรื่องของหญิงคนนั้น เธอจึงตัดสินใจยกหูโทรศัพท์ไปยังคลื่นวิทยุผีอีกครั้งหนึ่ง เพื่อสอบถามประวัติโดยละเอียดของบ้านร้าง แต่ทว่าได้รบการปฏิเสธจากทีมงาน โดยให้เหตุผลว่าทีมงานไม่สามารถให้ข้อมูลได้ รายละเอียดทุกอย่างต้องรอสอบถามดีเจที่รับผิดชอบในการจัดรายการเท่านั้น
“บ้านร้างรามอินทรา”
หญิงสาวบรรจงกรอกตัวอักษรลงในโลกเครือข่ายอัจฉริยะ ไม่กี่อึดใจภาพบ้านร้างที่แหม่มและเพื่อนเข้าไปร่วมลองดีในรายการวิทยุคลื่นผีก็ปรากฏภาพบนหน้าจอคอมพิวเตอร์
“ว่ากันว่าหญิงสาวเจ้าของบ้านฆ่าตัวตายภายในบ้าน แต่ไม่มีใครรู้เพราะเพื่อนบ้านยังคงเห็นเธอทำกิจกรรมต่างๆ ตามปกติ แต่พอตกกลางคืนก็จะได้ยินเสียงร้องไห้อย่างโหยหวนและเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดทุกวัน นับวันเสียงร้องไห้ยิ่งดังขึ้น โหยหวนขึ้น และยาวนานขึ้น เพื่อนบ้านจึงไปหาเธอที่บ้าน และได้พบศพเธอซึ่งตำรวจชันสูตรแล้วว่าเธอเสียชีวิตมาไม่ต่ำกว่า 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นบ้านหลังนี้ถูกขายแต่สองสามีภรรยาที่มาซื้อกลับก่อเหตุฆาตกรรมตายด้วยกันทั้งคู่ภายในบ้าน หลังจากนั้นมาบ้านหลังนี้ถูกปล่อยให้ร้าง เพียง 6 เดือน นับจากเหตุการณ์สยอง กิตติศัพท์ความเฮี้ยนของวิญญาณหญิงสาวทวีมากขึ้นทุกวัน ทุกคืนมักมีคนได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ บางคืนจะเห็นผู้หญิงออกมายืนที่ประตูรั้วหน้าบ้าน จนชาวบ้านในละแวกนั้นไม่มีใครกล้าอยู่ ย้ายออกไปทีละหลัง ทำให้เกือบทั้งซอยไม่มีคนอาศัยอยู่เลย จะมีเพียงต้นๆ ซอยสามสี่หลังเท่านั้น”
หญิงสาววางแว่นตาลงข้างๆ จอคอมพิวเตอร์ แล้วถอนหายใจเล็กๆ ข้อมูลในอินเตอร์เนตไม่ได้แตกต่างอะไรกับข้อมูลที่ทางคลื่นวิทยุแจ้งให้ทราบก่อนที่จะสมัครไปร่วมรายการ แต่สิ่งที่เธออยากรู้มากไปกว่านี้คืออะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้หญิงสาวผู้นั้นกระทำการอัตวิบากกรรม
เสียงสะอื้นร่ำไห้ ในค่ำคืนนั้นยังแว่วอยู่ในหู
ตะวันบ่ายคล้อยของวันอาทิตย์ หญิงสาวเผลอหลับไปท่ามกลางความสงสัย
....................................................................................................................................
เสียงเพลงแว่วมาไกลๆ แต่ก็ยังพอจับจังหวะได้ว่าเป็นเพลงบรรเลงสากลในยุค 60 แสงแห่งวันใกล้จะหมดไปแล้วแต่ก็ยังคงมีแสงหลงเหลือให้เห็นสภาพแวดล้อมรายรอบได้อย่างชัดเจน จากสามแยกแหม่มสาวท้าวไปตามเสียงเพลงนั้น มันค่อยๆ ดังขึ้นๆ จนกระทั่งถึงที่มาของต้นเสียง หญิงสาวหยุดอยู่ที่หน้าบ้านหลังนั้น มันเป็นบ้านร้างที่เธอไปร่วมสำรวจกับรายการวิทยุที่เพิ่งผ่านพ้นไป แต่ทว่าสภาพบ้านตอนนี้ดูมีชีวิตชีวาโดยจะค่อนไปทางคึกคักเสียด้วยซ้ำ รายรอบบ้านถูกจัดแต่งให้สวยงาม ไม่ว่าจะเป็นสวนรอบบ้านที่ถูกประดับประดาไปด้วยไฟกระพริบหลากสี กลางสนามมีเตาย่างบาบีคิวอันใหญ่ที่ถูกล้อมรอบด้วยบรรดาเชฟมือสมัครเล่นทั้งหลาย ควันสีขาวลอยโขมงสู่ชั้นบรรยากาศ ใครบางคนถือถาดบาบีคิวเดินไปรอบๆ บ้านและใครอีกบางคนกำลังขมีขมันกับการเปิดเบียร์เย็นๆ แจกสมาชิกที่กำลังยืนรออยู่
ถัดไปที่ข้างบ้านเลยยาวไปจนถึงรั้วหลังบ้าน เป็นสระว่ายน้ำเล็กๆ ที่บัดนี้กลีบกุหลาบสีแดงสดนับร้อยๆ กลีบกำลังลอยเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน ข้างๆ กันเป็นกลุ่มชายหญิงที่ทั้งนั่งทั้งยืนสนทนาปนกับเสียงหัวเราะอย่างรื่นเริง
แน่นอนว่ามันคืองานเลี้ยง
แขกไม่ได้รับเชิญค่อยชะโงกหน้าผ่านประตูใหญ่หน้าบ้านที่ถูกเปิดกว้าง หน้าบ้านมีรถจอดอยู่หลายคัน อย่างไม่รอรีเธอก้าวเข้าไปในบริเวณบ้าน มันช่างเป็นงานเลี้ยงที่น่าสนุกเสียจริง แต่ทว่ากลับไม่มีใครมองเห็นเธอแม้แต่คนเดียว หญิงสาวเดินผ่านผู้คนเหล่านั้นไปคล้ายกับตนเองเป็นเพียงอากาศธาตุ เธอก้าวขึ้นบันไดเตี้ยๆ หน้าบ้าน เพื่อนำพาตนเองไปยังระเบียงหน้าบ้าน หญิงสาวได้แต่มองเข้าไปภายในบ้านที่นับว่ามีสมาชิกมากกว่าด้านนอกหลายสิบคน
“เอาละๆ มาเพื่อนๆ เรามาอวยพรให้เพื่อนของเราทั้งสองคนดีกว่า”
ชายรูปร่างสมบูรณ์คนหนึ่งยืนขึ้นพูดด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ แล้วสมาชิกทุกคนต่างก็หลั่งเข้าไปในตัวบ้าน
ข้างชายรูปร่างสมบูรณ์คนนั้น น่าจะเป็นหญิงสาวคนที่เธอพบ เมื่อมองหน้าเธอชัดๆ เธอไม่จัดว่าสวยมากหากแต่มันมีเสน่ห์บางอย่าง โดยเฉพาะเวลาเธอยิ้ม ดูเธอน่ารักทีเดียว ถัดไปเป็นชายรูปร่างสูงโปร่งหน้าตาคมเข้มคนหนึ่ง ยืนถือแก้วบรั่นดีแล้วยกขึ้น
“ขอบใจเพื่อนทุกคนที่มางานเลี้ยงส่งเรากับรันในวันนี้ เอ้า !!! ดื่มเพื่ออนาคตที่สดใส”
ทุกคนต่างก็ยกแก้วในมือชูขึ้นพร้อมกับดื่มพร้อมๆ กัน
“ฉันละเชื่อพวกแกสองคนจริงๆ เลย ทำไมไม่แต่งงานกันเลยวะ”ใครบางคนตะโกนมา
“เฮ้ย !”ชายหญิงอุทานออกมาพร้อมๆ กัน
“ไอ้บ้า! พวกเราเป็นเพื่อนกัน เลิกจับคู่ซักทีเถอะวะ เป็นเพื่อนกันอยู่ดูแลกันไปอย่างนี้แหละ ใช่ไหมโชค”หญิงสาวพูดพร้อมกับหันหน้าไปทางเพื่อนชายหน้าตาคมเข้มคนนั้น
“ใช่ ฉันว่าพวกแกก็เลิกจับคู่สักทีเถอะ คบกันมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว ถ้าจะชอบกันคงชอบกันตั้งแต่เรียนอยู่ละมั้ง ตอนนี้มันเลยวัยแล้วหว่ะ อยู่มาจนอายุขึ้นเลข 3 แล้วยังไม่มีใครมีแฟนเป็นตัวเป็นตนซักที คงต้องไปอยู่คานทองนิเวศน์ด้วยกันหมดนี่แหละวะ”ว่าแล้วทุกคนก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาพร้อมๆ กัน
“แล้วนี่แกสองคนจะไปเมื่อไหร่”หญิงสาวร่างเล็กเอ่ยถามบ้าง
“เคลียร์บ้านเสร็จ ก็คงเดินทางทันที”
“แล้วทางบ้านไอ้โชคว่าไง ที่รันจะไป”
“พ่อกับแม่ก็โอเคนะ แม่ฉันนี่จะดีใจเสียด้วยซ้ำ ถือซะว่าปลดเกษียณให้โอกาสคนรุ่นใหม่ไฟแรงไปบริหารบ้าง”
“พวกเราจะเอาใจช่วยนะ ขอให้กิจการของพวกแกเฮงๆ นะ”
ผู้เฝ้ามองพอจะคาดเดาเหตุการณ์ออกกรายๆ ถึงงานเลี้ยงในคืนนี้ มันน่าจะเป็นงานเลี้ยงส่งจากเพื่อนๆ ที่หญิงชายคู่นี้กำลังจะเดินทางไปสานต่อธุรกิจอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่ในเมืองหลวงแห่งนี้ ใบหน้าของชายหญิงคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม มันช่างต่างกับภาพและเสียงที่แหม่มเพิ่งได้สัมผัสมา
............................................................................................................
ข้าวของในบ้านถูกจัดเก็บลงกล่องพลาสติก และแยกหมวดหมู่ไว้อย่างเป็นระเบียบ ผ้าคลุมผืนโตกำลังถูกคลี่ออกเพื่อห่มคลุมโซฟาตัวใหญ่ในห้องรับแขก หญิงสาวใช้หลังมือปาดเหงื่อที่กำลังจะไหลเข้าตา ส่วนฝ่ายชายกำลังล็อคห้องเก็บของใต้บันใด หญิงสาวถือกระติกน้ำใบเล็กๆ สองใบเดินนำออกไปด้านนอก พลางมองไปทางชายหนุ่มแล้วพยักหน้า พร้อมกับใช้สายตามองออกไปด้านนอก เพื่อแทนคำพูดในการเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายออกไปนั่งด้านนอกด้วยกัน
เสื่อผืนย่อมถูกกางออกกลางสนามหญ้าหน้าบ้าน หญิงสาวนั่งมองดูกระถางต้นกุหลาบที่กำลังเบ่งบาน อีกไม่นานเธอจะจากบ้านหลังนี้ไปแล้ว การจ้างแม่บ้านมารดน้ำต้นไม้สัปดาห์ละครั้งจะเพียงพอหรือไม่สำหรับการอยู่รอดของเหล่าต้นไม้และดอกไม้ที่เธอรัก
“จะยากอะไรรัน แกก็ขนเอาต้นกุหลาบพวกนั้นไปด้วยสิ” ชายหนุ่มเอ่ยทำลายความเงียบ
“ฉันกำลังคิดอยู่เหมือนกัน แกนี่มันช่างรู้ใจฉันจริงๆ เลยวะโชค” หญิงสาวละสายตาจากกระถางดอกไม้แล้วหันไปทางชายหนุ่ม
“ฉันรู้ว่าแกรักต้นไม้พวกนั้น เออแล้วฉันจะช่วยขน ส่วนต้นใหญ่ๆ ก็ค่อยให้คนที่ป้าแกจ้างมาเขารดก็แล้วกัน”
แทนคำตอบหญิงสาวสิ่งยิ้มให้ชายหนุ่ม แล้วใช้มือเล็กๆ นั้นสัมผัสกับพื้นหญ้าสีเขียวที่โผล่พ้นเสื่อออกมา
“แกลงมานั่งกับฉันสิ มานั่งนี่” หญิงสาวว่าพลางใช้มือตบลงบนที่ว่างบนเสื่อข้างๆ ตัว
“อีกหน่อยเราจะไม่ได้มานั่งกันแบบนี้แล้วนะ”
“แกก็พูดอย่างกับว่าจะไม่กลับบ้านแกอีกงั้นแหละ ฉันพาแกไปทำงานนะ ไม่ได้พาไปแล้วไปเลยซะหน่อย ถ้าว่างแกก็กลับมาสิ” ชายหนุ่มแย้งแล้วพาร่างตนเองลงไปนั่งอยู่ข้างๆ หญิงสาว
“ไม่คิดเลยว่าพวกเราจะคบกันมา 18 ปีแล้ว มันเร็วจนไม่น่าเชื่อเลยวะ” ชายหนุ่มเอ่ย
“รันฉันถามแกจริงๆ เถอะวะ แกไม่คิดจะมีแฟน แล้วแต่งการแต่งงานเหมือนคนอื่นบ้างเลยเหรอ คือที่ฉันถามแกเนี่ย .....” ชายหนุ่มเอ่ยคำถามแต่ยังคงค้างไว้
“แกไม่ต้องถามต่อหรอก ฉันเคยคิด แต่มันนานมาแล้ว” หญิงสาวชิงตอบคำถามเสียก่อน
“กับใครวะ”
“พี่โบ๊ทไง”
“คนที่เขาทิ้งแกไปอะนะ”
“เออ ไม่ต้องมาย้ำหรอก”
“ฉันรักเขา คิดว่าถ้าเรียนจบแล้วทำงานอีกซักสองปี ก็จะแต่งงาน แต่มันก็อย่างที่แกเห็นนั่นแหละ สุดท้ายก็เฮงซวย ช่างมันเถอะ ตอนนี้ฉันคิดว่าเก็บเงินเยอะๆ เอาไว้ใช้ตอนแก่ ถ้าไม่มีใครได้อย่างใจจริงๆ ขออยู่คนเดียวดีกว่า ว่าแต่แกเถอะ กลับไปอยู่บ้านอย่างนี้แล้วพวกสาวๆ ของแกจะทำไงวะ”
“มันพูดยากวะรัน แกก็รู้ว่าฉันมันลูกคนเดียวยังไงฉันต้องกลับไปอยู่บ้าน ดูแลพ่อแม่ จะมีใครวะอยากไปอยู่ต่างจังหวัด อยู่บ้านนอก”
“แกก็พูดซะน่ากลัว บ้านน้งบ้านนอกอะไรกัน ก็แล้วทำไมแกไม่บอกไปล่ะ ว่าที่บ้านแกเปิดร้านอาหารใหญ่โตขนาดไหน ดันไปบอกเขาเองนี่หว่าว่าเป็นลูกแม่ค้าขายข้าวแกงในตลาด”
“ก็นั่นไง ถ้าเขารักฉันจริง เขาต้องไม่สนใจสิว่าครอบครัวฉันจะทำงานอะไร เขาต้องรับให้ได้สิวะ”
“เฮ้ย แต่ฉันว่ามันต้องมีสิวะ ถ้าเขารักแกจริง”
“แกจำโอ๋ได้ไหมละ ฉันคิดว่าฉันชอบผู้หญิงคนนี้มาก แต่พอเจอแม่ฉันทดสอบไม่กี่บท ก็ใส่เกียร์ถอยแทบไม่ทัน” ชายหนุ่มพูดปนรอยยิ้ม
“เอาเป็นว่าต่อไปนี้เรื่องความรักสำหรับแกกับฉัน หยุดไว้ก่อน ตั้งหน้าตั้งตาหาเงินเก็บเยอะๆ ดีกว่าใช่ไหม” หญิงสาวเอ่ยสายตารื่นเริง
“โอเค ได้เลย ใครเก็บเงินได้เยอะกว่ากันภายในห้าปี คนนั้นชนะ” ชายหนุ่มว่า
“แล้วถ้าใครมีแฟนก่อนกัน อะไรดีน้า” หญิงสาวทำหน้าทะเล้น พลางหลับตาครุ่นคิด
“คิดออกแล้ว ถ้าใครมีแฟนก่อนคนนั้นต้องไปกระโดดบันจี้จั๊ม” ทั้งสองต่างมองหน้ากันแล้วระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมๆ กัน
“แกจำตอนไปสมุยได้ไหม” หญิงสาวเอ่ยพร้อมเสียงหัวเราะเล็กๆ
“ทำไมจะจำไม่ได้ แกกับฉันหลอกให้พวกไอ้อ้วนกระโดดก่อน แล้วก็ขับรถหนีพวกมันที่ท้าให้เรากระโดดบันจี้จั๊ม”ชายหนุ่มร่วมสนทนาเรื่องขบขันในอดีตอย่างออกรสออกชาติ
“จนต้องนอนค้างบนรถ” ทั้งสองพูดพร้อมกันกลั้วเสียงหัวเราะ
...........................................................................................................................
ก็อกๆๆๆๆๆๆ
เสียงเคาะประตูห้องทำให้แหม่มถูกกระชากออกมาจากการสนทนาที่แสนรื่นเริงนั้น หลังจากลืมตาแล้วเธอยังคงงุนงงกับภาพรอบๆ ตัวที่บัดนี้มันกลายเป็นอพาร์ทเม้นท์ของเธอ ไม่ใช่เทอร์เรซหน้าบ้านที่เธอกำลังยืนมองชายหญิงสองคนนั่งคุยกันอยู่
“แหม่ม! เปิดประตูเร็วเข้า ฉันอยากเข้าห้องน้ำ”
เสียงชมพู่นั่นเอง ตามด้วยเสียงเคาะประตูที่ถี่ยิบหลังจากเปิดประตูให้เพื่อนแล้ว ชมพู่วิ่งพรวดเข้ามาในห้องและเลยไปห้องน้ำด้านหลังอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวยังคงยืนงัวเงียอยู่ที่ประตู ใจก็นึกถึงแต่เรื่องราวในความฝันที่เพิ่งผ่านพ้นไปไม่กี่วินาที ซึ่งเธอยังไม่แน่ใจว่าจะเล่าให้เพื่อนฟังดีหรือไม่