เรากำลังนั่งชมทัศนียภาพของทะเลยามบ่าย อยู่บนศาลาคนเหงาใต้ร่มสนซึ่งเป็นชื่อ
ศาลาที่ฉันตั้งเอง เพราะฉันชอบมานั่งเหงาอยู่ที่นี่เป็นประจำ แต่วันนี้่มีเขาอยู่ด้วย ท่าม
กลางแสงแดดบ่ายแก่ ๆ ซึ่งไม่ยอมลดราวาศอกให้กับสายฝนหล่นปรอย ๆ เลย แสงแดด
อาบน้ำสวยงามอย่างประหลาด ทันใดนั้นรุ้งสองตัวก็ปรากฎขึ้นอย่างชัดเจนเหนือพื้นน้ำสี
ครามของทะเล
" ดูรุ้งซิคะ สวยจัง วันนี้มีสองตัวด้วย" เสียงพูดค่อนข้างตื่นเต้นของฉันทำให้เขา
มองตามทันที
" ดูตัวล่างก่อนซิ สีอะไรอยู่ล่างสุด " เขาถาม
" สีม่วงค่ะ ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง ไม่ต้องมาลองภูมิเลยฉัน
ท่องมาตั้งแต่ชั้นอนุบาล"
" แล้วดูรุ้งตัวบนซิ สีอะไรอยู่ล่างสุด " เขาต้องมีสิ่งที่อยากให้ฉันรู้แน่ ๆ เพราะเขา
เรียนวิทยาศาสตร์มามากกว่าฉัน ฉันจึงหันไปพิจารณารุ้งตัวบน
" รุ้งตัวบนแถบสีแดงอยู่ล่างสุด กลับกันกับตัวแรก แปลกจังนะคะ ไม่เคย
สังเกตเลย " ฉันตอบพร้อมบ่นไปในตัว ว่าฉันปล่อยให้เรื่องที่ควรรู้นี้ ผ่านตาไปได้
อย่างไร
"อาจเป็นเพราะเราไม่ค่อยได้เห็นรุ้งสองตัวพร้อมกันบ่อย ๆ แม้แต่รุ้งตัวเดียวบางที
ก็เห็นไม่ครบเจ็ดสี " เขาไม่อธิบายว่าเพราะบางแถบสีของรุ้งกลืนกัน แต่เมื่อเห็นฉันยัง
ไม่ละสายตาจากรุ้งจึงถือโอกาสพูดต่อว่า "ที่จริงรุ้งเกิดได้มากกว่าสองตัวในเวลาเดียวกัน
แต่ในธรรมชาติเราเห็นได้เท่านี้ "
" แล้วที่เห็นมากกว่าสองตัว เห็นมาจากที่ไหนคะ"
" ในห้องทดลอง " เขาตอบหน้าตาเฉย
แต่รุ้งนั้นพาใจฉันย้อนเข้าสู่ปัญหาระหว่างฉันกับเขาจนได้ ฉันเป็นคนที่บูชาความรัก
ถ้าฉันรักใครแล้วจะให้เปลี่ยนใจเป็นเรื่องที่แสนยาก ฉันเคยเขียนบทกวีนี้ให้เขา
"แม้จะเกิดต่างศักดิ์หากรักมั่น
เรื่องการต่างชนชั้นใช่ปัญหา
มิควรใช้วาที ตีราคา
เพราะคุณค่าความรัก...ศักดิ์เท่ากัน"
ด้วยหัวใจรักอันเต็มเปี่ยม ที่ไม่มีวันยอมให้ใครมาพรากความรักของฉัน ด้วย
เหตุผลน้ำเน่าเรื่องความต่างศักดินา เหมือนยังอยู่ในยุคเจ้าขุนมูลนายอย่างเด็ดขาด
ระบบศักดินาถูกยกเลิกไปตั้งนานแล้ว อย่าเอาเรื่องนี้มาเป็นกำแพงกั้นเราอีกเลย ยิ่งเขา
ชอบใช้คำพูดเปรียบเปรย ว่าเขาเหมือนกระต่ายหมายจันทร์ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ฉันน้อยใจ
รู้สึกเหมือนเขากำลังบอกเลิกทางอ้อม โดยใช้คำพูดที่ชี้ว่า ปราการที่กั้นเขาออกจากฉัน
นั้นคือศักดินา
" เห็นรุ้งแล้วเศร้าค่ะ" ฉันพูดเบา ๆ ทอดสายตาฝ่าม่านฝนปรอยๆ กลางแสงแดด
อ่อนของยามบ่ายภายนอกอย่างหวั่นไหว ฉันพูดประโยคนั้นแล้วก็นิ่งไปนาน เพราะรู้สึก
ตีบตันจนพูดไม่ออก นานจนเขารู้สึกผิดปกติ
" คิดอะไรอีกหล่ะ " เขาถามน้ำเสียงจริงจัง
" ฉันกำลังกลัวค่ะ " ฉันตอบเสียงเหมือนจะร้องไห้ "กลัวว่าเรื่องของเราจะเป็น
เหมือนเรื่องรุ้ง " คำพูดที่จะพูดต่อถูกกลืนลงไปในคอ
" เรื่องเป็นยังไง เล่ามาก่อนสิ ถึงจะบอกได้ว่าเหมือนหรือเปล่า " เขาพูดพร้อม
กับมองหน้าฉันนัยน์ตาอย่างนั้นบอกว่าฉันไม่มีทางเลี่ยงเลย
" เรื่อง รุ้งกินน้ำ ค่ะ ตามความเชื่อของชาวอาทิวาสี ชนดั้งเดิมในแคว้นอัสสัม"
"ในประเทศอินเดีย " เขาต่อคำพูดของฉันอย่างคนมั่นใจในคำพูดเต็มที่
" ค่ะ ครั้งนั้น เจ้าชายภาคนภา ซึ่งอยู่บนฟากฟ้าได้ก้มมองลงมาเห็นความสวยสด
งดงามของเมทินีดล เธอเกิดความพิศวาส จึงยื่นหัตถ์แห่งความรักลงมาประทานให้
เมทินีดลก็ตอบสนองความรักอย่างเต็มอกเต็มใจ จึงตกลงนัดกันจะเข้าสู่พิธีวิวาห์ค่ะ"
" แต่ต้องรอฤกษ์ใช่ไหม ? " เขาถามเพราะเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าการแต่งงานต้อง
หาฤกษ์หายาม
"เมื่อผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายปรึกษากับโหราจารย์แล้ว จึงเลือกเอาเวลาเที่ยงคืนเป็น
เวลามงคลอุดมฤกษ์เพื่อประกอบพิธีวิวาห์ค่ะ"
"การแต่งงานไม่ว่ายุคไหน เป็นงานใหญ่เสมอ ทั้งสองฝ่ายคงเตรียมงานอย่าง
ใหญ่โตมโหฬารละซี" เขาเสริมอย่างคนที่รู้จักโลกเป็นอย่างดี
" ทั้งเจ้าบ่าว เจ้าสาว เตรียมเสื้อผ้าอาภรณ์อย่างวิจิตร สำหรับเจ้าสาวนอกจาก
เตรียมทั้งเครื่องทองรูปพรรณ เพชรนิลจินดา แล้ว เธอยังร้อยกรองพวงมาลัยขึ้นด้วย
บุปผานานาพรรณเพื่อเตรียมไว้คล้องคอ ให้แก่เจ้าบ่าวเมื่อขบวนแห่เจ้าบ่าวมาถึง ค่ะ"
ฉันอธิบาย แต่เมื่อเห็นเขาฟังโดยไม่แสดงความคิดเห็นใด ๆ ฉันจึงถือโอกาสอธิบายต่อ
"เพราะการเตรียมงานอย่างเอิกเกริกนี้เอง พวกพ่อค้า แขกเหรื่อจากหัวเมืองต่าง
ก็เดินทางมาเพื่อวัตถุประสงค์ของตน แต่ทำให้มนุษย์เกิดความวิตกอย่างยิ่ง เพราะ
ตระหนักดีว่า เมื่อผ่านพิธีแต่งงานแล้ว เมทินีดลจะต้องย้ายไปอยู่กับภาคนภาเบื้องบน ค่ะ"
"แล้วมนุษย์ทำยังไง ?" เขาถาม
"พากันไปเฝ้าเทวดา ขอให้ช่วยขัดขวางพิธีแต่งงานนี้ค่ะ"
"ตามเคย มนุษย์พออับจนเข้าจริง ๆ ก็ต้องพึ่งเทวดา" เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ฉัน
ตีความหมายไม่ได้ว่าเห็นใจมนุษย์หรือบ่น
"เทวดาท่านเวทนามนุษย์ค่ะ เพราะท่านมองเห็นชะตากรรมของมนุษย์มาตลอด
ไหนจะต้องเผชิญกับความวิปริตผิดธรรมชาติของฤดูกาล ไหนจะดินฟ้าอากาศที่ร้อน
หนาวหนักหนาสาหัสสากรรจ์แล้วจะต้องเจอกับสภาพที่ฟ้า-ดิน ปลีกตัวไปหาความสุข
ด้วยการแต่งงานเสียอีก ท่านจึงวางแผนการช่วยเหลือมนุษย์ทันที " ฉันหยุดพูดไปดื้อ ๆ
"ไม่เล่าต่อได้ไหมคะ ? "
" เทวดาไม่ได้ทำอะไรร้ายแรง ไม่ใช่เหรอ " เขาทั้งเดาและถามในประโยค
เดียวกัน
"ถึงคืนวันที่นัดแต่งงาน ขบวนเจ้าบ่าวก็แห่แหนลงมา ระหว่างนั้นสังคีตของดนตรี
ปี่พาทย์ก็บรรเลงขับกล่อม คณะปุโรหิตาจารย์ต่างก็ร่ายมนต์ เพื่อความสวัสดิมงคลอยู่
ภายในห้องที่จะจัดพิธีเจ้าสาวก็ถือพวงมาลัยรอ บรรดาเทวดาก็เตรียมลงมือทำตามแผน
อยู่เหมือนกัน คือพระวิษณุทรงจำแลงเป็นไก่แจ้ ซุ่มคอยอยู่บนหลังคาบ้านของเจ้าสาว "
"เทวดาจะทำอะไร ? " เขาถามเพราะฉันอาจเล่าช้าไม่ทันใจ
" พอได้เวลาฤกษ์มงคล ขบวนแห่เจ้าบ่าวย่างเข้าเขตบ้านเจ้าสาว ไก่แจ้จำแลงก็
ส่งเสียงขัน เอ้ก-อี-เอ๊ก- เอ๊ก ! ความโกลาหลอลหม่านก็เกิดขึ้น แขกเหรื่อต่างอุทาน
เป็นเสียงเดียวกันว่า จวนสว่างแล้วนี่ เลยเวลาเที่ยงคืนแล้ว หมดเวลาที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวจะ
ได้แต่งงานกันเสียแล้ว ! แขกเหรื่อต่างพากันกลับ เทวดาเข้ามาห้อมล้อมอุ้มเจ้าบ่าวกลับ
คืนสวรรค์ "
"เทวดาเล่นแรงไปนะนี่ " เขาออกความความเห็น
"เมทินีดลยืนคว้าง น้ำตานองหน้า มือถือพวงมาลัยค้างอยู่ในท่าที่เตรียมจะคล้อง
คอให้เจ้าบ่าว " แม้ฉันพยายามพูดด้วยเสียงปกติ แต่รู้สึกเหมือนอะไรติดคอ ทำให้เขารู้สึกได้
"อ้าวแล้วกัน จะเป่าปี่เสียแล้ว " เขาบ่นฉัน กึ่งปลอบ
"ไม่เล่าต่อก็ได้นะ " คราวนี้เขาเป็นฝ่ายโอนอ่อนเห็นใจฉัน
" เจ้าสาวผู้ค้างการวิวาห์ร้องไห้ปานจะขาดใจ แต่ทุกอย่างสายไปหมดแล้ว เพราะอุดม
มงคลฤกษ์ ได้ผ่านไปแล้วอย่างมิมีวันคืนหลัง เธอจึงใช้ความพยายามครั้งสุดท้ายเหวี่ยงพวง
มาลัยที่ถืออยู่ ขึ้นไปบนฟ้าสุดแรงเกิด พวงมาลัยแห่งพิธีวิวาห์ลอยขึ้นไปสวมคอภาคนภาผู้เป็น
เจ้าบ่าวได้พอดิบพอดี ค่ะ"
"ไม่น่าให้ฤกษ์ยามมาเป็นอุปสรรคอย่างนี้เลย" เขาบ่น
"เดี๋ยวนี้คู่แต่งงานทุกคู่ก็ยังถือฤกษ์ถือยามกันอยู่นี่คะ" ฉันแย้ง
"นั่นนะซี " เขาพูดอย่างที่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรมากกว่านี้
"คู่รักคู่นี้รักกันเหลือเกิน แม้จะไม่ได้แต่งงานกัน ยามไหนที่ภาคนภากำลังรำลึกถึง
เมทินีดล เธอจะสวมพวงมาลัยเจ็ดสีอันสดสวยวิจิตรนั้น แล้วร้องไห้ จนน้ำตาไหลรินลงต้องกาย
เมทินีดล เป็นเครื่องหมายแห่งความเศร้าสลดของฟ้าสูง-แผ่นดินต่ำ ค่ะ และคำพูดนี้จะยังคง
อยู่ชั่วนิรันดร ตราบใดที่คุณยังคิดว่าคุณเป็นกระต่าย " ฉันจบเรื่องเศร้านั้นด้วยวกเข้ามาสู่เรื่อง
ของเรา และทันได้เห็นเขาหลบสายตาฉันแสดงว่าไม่มีข้อโต้แย้ง
อวสาน อวสาน อวสาน