THE PROMISE คำมั่นสัญญา
เสียงดนตรีแหลมสูงถูกบรรเลงอย่างช้าๆ ท่วงทำนองที่ฟังดูหดหู่เศร้าสร้อยนั้น ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ผู้สร้างเสียงเพลงนี้ยืนถือเครื่องดนตรีสายขนาดเล็กอยู่ที่ระเบียงสีขาวสะอาดตาโดยออกแบบให้เข้ากับตัวอาคารแบบตะวันตก เธอเป็นหญิงสาวน่าตาสละสลวยอายุราว 20 ปี เธออยู่ในชุดกระโปรงยาวสีเทาโดยมีลายโค้งไปมาที่ชายกระโปรง ผมปล่อยยาวดำเงาไหวไปตามทิศทางลม ในขณะที่เธอบรรเลงไวโอลินตัวโปรด ดวงตากลมโตเอ่อล้นไปด้วยน้ำจากภายในจับจ้องไปยังดวงจันทร์บนฟากฟ้าท่ามกลางหมู่ดาวนับล้าน ที่ต่างพากันเปล่งแสงแข่งกันในยามค่ำคืน เธอเพียงแต่หวังว่าใครคนนั้นจะยังคงมองดวงดาวดวงเดียวกันอยู่ หญิงสาวค่อยๆ หลับตาลง ทำให้น้ำตานั้นหยดไหลลงมา
“เสียงเพลงดังลงไปถึงข้างล่าง ฟังดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยนะ” หญิงสาวรีบปาดคราบน้ำตาออกจากแก้มทั้งสองข้าง ก่อนจะหันมามองเจ้าของคำทักทายเมื่อสักครู่ ชายหนุ่มร่างกายกำยำในเครื่องแบบทหารเรือสีน้ำเงินเข้มยืนอยู่หน้าประตูระเบียง เขาปิดประตูลงแล้วเดินเข้ามาหาเธอด้วยท่าทางที่สนิทสนม
“อลิเซีย ข้ารู้ว่าเจ้ายังใจหายกับการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปถึงสองคน ทั้งพ่อและชายคนสนิท เป็นใครๆ ก็อดเสียใจไม่ได้” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยความเห็นใจ
“เอเดียส เจ้ามาหาข้า มีอะไรรึ” เธอถามด้วยความเย็นชา
“แล้วถ้าบอกว่าไม่มี แค่เป็นห่วงเจ้าล่ะ” ชายหนุ่มตอบ
“งั้นข้าคงต้องบอกว่าข้าสบายดี ไม่ต้องห่วง คงไม่ต้องรบกวนเจ้ามาที่นี่” อลิเซียเบี่ยงเบนสายตามองไปทางอื่น เพื่อหวังให้คู่สนทนารับรู้ว่าเธอไม่อยากจะสนทนาด้วย
“ข้าเต็มใจมาหาเจ้า ยอมรับเสียเถิดอลิซ เจ้าไม่เหลือใครแล้ว” ชายหนุ่มพยายามพูดเพื่อให้หญิงสาวทำใจ
“ข้ายังมีโดมินิก” บุคคลที่ถูกขานชื่อออกมาจากปากหญิงสาว ถึงมันจะได้ยินไม่ชัด แต่ชายหนุ่มก็รู้ดีว่าคนคนนั้นคือใคร
“อะไรนะ! อลิเซีย ฟังให้ดีๆ นะ เรือเราล่มกลางมหาสมุทร ร่างกับตันกับลูกเรือก็เพิ่งฝังไปเมื่อวานเจ้าก็เห็น มีหรือคนอื่นจะรอด”
“แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าโดมินิกตายแล้วจริงๆ ยังไม่มีใครเห็นร่างเขาด้วยซ้ำ” อลิเซียหันกลับมามองชายผู้อยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกไม่พอใจ
“ซากเรือเกลื่อนเต็มชายฝั่งขนาดนี้ ถ้ามันรอดมาได้ก็ปาฏิหาริย์” เอเดียสพูดอย่างมีเหตุผล ทำให้หญิงสาวไม่กล้าพูดอะไรต่อ ทำได้เพียงยืนรับฟังความจริง
“ทำใจเสียเถิดอลิเซีย ชีวิตเจ้ายังต้องเดินต่อไป คนตายไปแล้วเจ้าร้องไห้อย่างไรเขาก็ไม่กลับมา” ชายหนุ่มวางมือบนบ่าเธอเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ และให้ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น อลิเซียกลับหลังหันกลั้นน้ำตาเพื่อไม่ให้ใครเห็น
“กลับไปเถิดเอเดียส ข้าต้องการอยู่ลำพัง” เธอพูด
“ถ้ามันเป็นความต้องการของเจ้าข้าก็ยินดี แล้วพรุ่งนี้เช้า ข้าจะมาหาใหม่ ราตรีสวัสดิ์”เอเดียสดึงมือกลับ ก่อนจะเดินออกจากประตูไป ปล่อยให้หญิงสาวมีน้ำตาไหลรินอยู่เพียงลำพัง
“โอ้จันทรา ดวงดารา บนฟากฟ้า ได้ยินข้า เรียกหา ใครบ้างไหม
สุดที่รัก ดั่งดวงแก้ว ดั่งดวงใจ อยู่หนใด ท่านช่วย บอกข้าที
เสียงสะอื้น แผ่วเบา ไร้ชีวิต เป็นเนืองนิตย์ ขวัญเอย อย่าได้หนี
กลับมาเถิด มาอยู่เป็น คู่ชีวี กลับมาเถิด คนดี ข้าเฝ้ารอ…”
สี่วันเวลาผ่านไปไม่มีหยุด สำหรับบางคนอาจจะดูว่ามันเร็วจนทำอะไรแทบไม่ทันแต่สำหรับอลิเซีย แต่ละวัน ช่างผ่านไปช้าเหลือเกิน ร่างกายที่เริ่มซูบผอม หน้าตาเริ่มซีดเซียว ขอบตาคล้ำดำ ร่างที่เหมือนไร้วิญญาณสวมชุดสีดำค่อยๆ เดินลงมาที่โต้ะอาหารไม้สักชั้นดีกลางห้องโถง สาวรับใช้ที่เอเดียสจ้างมาดูแลรีบเดินนำอาหารหลายจานจัดวางบนโต๊ะ
“เอเดียสล่ะ” หญิงสาวเอ่ยปากถามสาวรับใช้ เมื่อไม่เห็นเขา ซึ่งปกติเอเดียสจะต้องมารอแล้วนี่
“อ๋อ…ท่านได้รับคำสั่งประชุมด่วนค่ะ ท่านฝากบอกมาว่าห้ามให้คุณหนูออกจากคฤหาสน์ ส่วนเรื่องอาหาร ดิฉันจะดูแลเองค่ะ” สาวรับใช้วัยกลางคนบอกดด้วยท่าทางสุภาพ อ่อนน้อม ก่อนจะเดินไปจัดการเก็บกวาดห้องครัว
หญิงสาวรู้ว่าตอนนี้เอเดียสเป็นคนเดียว ที่สามารถดูแลเธอได้ แต่ทำไมเมื่อเขาไม่อยู่ เธอไม่รู้สึกเหงาสักนิด กลับรู้สึกดีด้วยซ้ำ หลังจากมื้อเช้าสิ้นสุดลง อลิเซียออกมาสูดอากาศที่ระเบียงเช่นเคย มันเป็นที่ที่เธอผ่อนคลายที่สุดในคฤหาสน์หลังนี้ หรือบางทีระเบียงที่ยื่นออกมาหลังตัวเรือนเผยให้เห็นทุ่งหญ้าเขียวชจี อาจทำให้เธอสงบขึ้น สายลมปะทะต้นหญ้าบนพื้นดินว่างเปล่า ทำให้เกิดเสียงเสียดสีกันดังไปมาจากอีกฝั่งของรั้ว
นกป่าสีสวยบนท้องฟ้ากำลังประสานเสียงกันร้องเพลง เสียงนกตัวหนึ่งดังมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ แต่เมื่อลองฟังให้ดีๆ เสียงนี้ไม่ได้เป็นเสียงนกร้องตามธรรมชาติ หากแต่เป็นเสียงผิวปากของมนุษย์!
“นั่นใครน่ะ!” เธอถาม
“…” ไร้ซึ่งคนตอบ หรือบางทีเธออาจจะคิดมากไปเองก็เป็นได้
ในขณะที่หันหลังกลับเข้าตัวบ้าน เธอได้ยินเหมือนมีใครเรียก
“อลิเซีย” เสียงนั่นชัดเจน และเธอรู้สึกคุ้นกับเสียงนี้มาก เสียงที่เธออยากได้ยินมานานแสนนาน
“โดมินิก” อลิเซียรีบกลับมาที่ริมระเบียง จึงได้เห็นเจ้าของเสียงนั้นยืนอยู่นอกกำแพง ชายหนุ่มรูปงามสวมชุดกะลาสียืนยิ้มให้อย่างอบอุ่น เธอแทบไม่เชื่อในสายตาตนเองว่านี่ไม่ใช่ความฝัน
“ข้าจะขึ้นไปหาเจ้า” ชายหนุ่มพูดไม่ค่อยดังเท่าไหร่พร้อมทำท่าประกอบตามคำพูด หญิงสาวพยักหน้ารับรู้ ด้วยน้ำตาที่พร้อมจะไหลเต็มที โดมินิกปีนขึ้นต้นโอ๊คใหญ่ มันสูงพอที่จะกระโดดเข้ามาที่ระเบียงมาได้ หญิงสาวยื่นมือออกไปให้จับแล้วดึงเข้ามาอยู่ด้วยกัน ทั้งสองโผกอดกันด้วยความคิดถึง น้ำตาแห่งความดีใจหลั่งไหลลงมา เป็นสาย
“บอกข้าทีว่าข้ามิได้ฝันไป ข้านึกแล้วว่าเจ้าต้องกลับมา” อลิเซียพยายามพูดให้เสียงไม่สั่น แต่ก็ไร้ประโยชน์
“ข้าอยู่ตรงนี้แล้วคนดีข้าจะทิ้งเจ้าได้อย่างไร ดวงใจของข้า” โดมินิกพูดข้างๆหูเธอ
“เจ้าหายไปไหนมา ทำไมปล่อยให้ข้าเดียวดายเช่นนี้ ตอนที่ข้ารู้ว่าเรือล่มพ่อสิ้นใจส่วนเจ้าก็ไม่มีใครพบ รู้ไหม ข้าใจสลายเพียงใด” หญิงสาวร้องไห้ไม่ยอมหยุด
“ข้าขอโทษ เอเดียสให้ทหารคุมรอบกำแพงห้ามข้ามาใกล้ทุกยาม ข้าไม่มีทางมาหาเจ้าได้จนวันนี้ ข้าคิดถึงเจ้าแทบใจจะขาด” ชายหนุ่มถอนกอดออก แล้วมองดูร่างหญิงสาวตรงหน้า ที่ดูทรุดโทรมไม่เหมือนก่อน
“แล้วใครทำกับเจ้าเช่นนี้อลิซ เพราะข้าใช่ไหม ข้าขอโทษ ยกโทษให้ข้าเถิด” โดมินิกสำนึกผิดกับการที่ทำให้ คนรักต้องทุกทรมานใจ
“ขาดเจ้า ข้าเหมือนขาดใจ ได้โปรดอย่าจากข้าไปอีกนะ” หญิงสาวอ้อนวอน
“ข้าไม่จากเจ้าไปไหนอีกแล้ว ข้าสัญญา” ทั้งสองสวมกอดกันอีกครั้ง
เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการจัดฉาก เรือที่ล่องออกไปไม่ได้ล่มเพราะอุบัติเหตุ แต่เกิดจากการลอบวางระเบิดในห้องเครื่อง กัปตันซึ่งเป็นพ่อของอลิเซียและลูกเรือบางส่วนต้องเสียชีวิตไปหลายนาย โชคยังดีที่โดมินิกเป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิตแต่กลับถูกเอเดียสและทหารของเขากันไม่ให้เข้ามาใกล้ตัวเธอเลยโดมินิกเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างให้อลิเซียฟังและใช้เวลาทั้งวันอยู่กับคนที่รัก
ตะวันเริ่มคล้อยลับขอบฟ้า อลิเซียรู้ดีว่าหากโดมินิกยังอยู่ที่นี่อาจไม่ปลอดภัย เพราะเป็นเวลาอาหารเย็นแม่บ้านของเอเดียสอาจขึ้นมาตามเมื่อไหร่ก็ได้ และคงไม่ดีแน่ถ้าเอเดียสหาวิธีทางไม่ให้ทั้งสองพบกันอีกเลย
อลิเซียค่อยๆ ส่งตัวโดมินิกลงถึงพื้นอย่างระมัดระวัง
“ข้าจะมาหาเจ้าอีก” โดมินิกพูดเสียงเบาพร้อมประกอบท่าทางเช่นเดิม เพื่อไม่ให้ใครจับได้
“นานเพียงใดข้าก็จะรอ” เธอส่งยิ้มหวานละมุนให้
“อย่าคิดถึงข้าล่ะ เดี๋ยวข้านอนไม่หลับ” โดมินิกพูดติดตลก
“งั้นเจ้าคงต้องหายาพิษมาดื่มแล้วล่ะ เพราะเจ้าคงนอนไม่หลับตลอดชีวิต” เธอตอบกลับด้วยอารมณ์ขันเช่นเดียวกัน
“อลิเซียข้ามีอะไรบอกเจ้า” ชายหนุ่มพูดขึ้น
“อะไรรึ” อลิเซียถาม
“ข้ารักเจ้า!” โดมินิกตะโกนดังออกมา
“อย่าพูดดังสิ เดี๋ยวก็มีคนได้ยินหรอก” หญิงสาวมองรอบข้างอย่างระแวง
“แล้วเจ้าล่ะ” เขาถามเธอกลับ
“ข้าก็รักเจ้า” อลิเซียตอบกลับด้วยเสียงไม่ดังนัก
“อะไรนะ” เขาแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูด
“ข้าก็รักเจ้า” หญิงสาวเปล่งเสียงให้ดังขึ้นอีกหน่อย
“ข้าไม่ได้ยินเลย” โดมินิกโบกไม่โบกมือไม่ได้ยิน อลิเซียจึงตัดสินใจตะโกนออกไป
“ข้าก็รักเจ้า! ไปได้แล้ว” เธอพูดด้วยความเขินอาย
“ขอรับนายหญิง ราตรีสวัสดิ์ขอรับ” โดมินิกทำท่าทำความเคารพแบบทหารแล้วรีบวิ่งออกจากบริเวณ โดยไม่ลืมที่จะหันกลับมามองนางอันเป็นที่รักครั้งสุดท้าย
“คุณหนูคะ…ได้เวลาอาหารเย็นแล้วค่ะ” เสียงนุ่มๆของสาวรับใช้ดังมาจากข้างหลัง ทำให้อลิเซียตกใจเล็กน้อย
“เดี๋ยวข้าลงไป ขอบใจ” เธอตอบกลับทันที
สาวรับใช้โค้งตัวก่อนจะเดินจากไป
เป็นที่แปลกใจแก่หญิงวัยกลางคนอย่างมาก เมื่อจู่ๆ หญิงสาวที่ใบหน้ามีแต่ความเศร้าหมอง กลับยิ้มแย้มอารมณ์ดี และยังรับประทานอาหารอย่างคล่องตัวซึ่งต่างจากเมื่อเช้าเป็นอย่างมาก ราวกับเป็นคนละคน
“มื้อนี้อาหารถูกปากคุณหนูรึทานเยอะเชียว” แม่บ้านพูดขึ้น
หญิงสาวไม่ตอบอะไร ได้แต่ยิ้มหวานจัดการอาหารในจานตนเอง
“และเมื่อครู่ดิฉันได้ยินเสียงคุณหนูคุยกับใครรึ” ความสงสัยทำให้แม่บ้านต้องถามเธอ
“เอ่อ…ข้า…ข้าคุยกับชาวบ้านนอกกำแพงน่ะ เขาเดินผ่านมาเก็บของป่าไปขายพอดี” เธอเลิกลักที่จะตอบ
“ดีแล้วค่ะที่ไม่ใช่คุณโดมินิก เพราะคุณหนูคงจะต้องโดนคุณท่านไม่พอใจเป็นอย่างมากแน่ๆ” หญิงวัยกลางคนกล่าว
หญิงสาวลอบกลืนน้ำลายก่อนจะรวบช้อนส้อมให้เรียบร้อยแล้วเดินขึ้นห้องอาบน้ำ ปล่อยให้หญิงรับใช้เก็บกวาดจานอาหารไปล้างในห้องครัว
โดมินิกและอลิเซียนัดพบเจอกันทุกวันๆ อลิเซียที่ใบหน้าเศร้าหมอง ร่างกายไม่สมบูรณ์เท่าที่ควรนั้น บัดนี้ ได้เปลี่ยนเป็นหญิงสาวงดงามเช่นเดิมแล้ว
ที่เก่าเวลาเดิม อลิเซียค่อยๆ ส่งตัวโดมินิกลงถึงพื้นอย่างระมัดระวังเช่นทุกครั้ง โดมินิกโบกมือลาเช่นเคย แต่หารู้ไม่ว่า นี่อาจจะเป็นการจากลาครั้งสุดท้ายของทั้งคู่ก็เป็นได้ เธอกลับเข้าห้องนอนของตัวเองและนอนหลับตาพริ้มด้วยความรู้สึกดี พรุ่งนี้พวกเขาจะได้เจอกันอีก
เสียงคนทะเลาะกันดังเข้าไปถึงในห้องนอน ทำให้หญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงตื่นลุกขึ้นด้วยความสงสัย เธอเดินมาตามเสียง ซึ่งน่าจะเป็นเสียงของเอเดียส! เขากลับมาแล้วหรือ แล้วคนที่มีปากเสียงกันอยู่คือใคร อลิเซียรีบวิ่งออกมาดูที่ระเบียงกว้างใหญ่ ทหารหลายนายยืนอยู่รอบๆ เอเดียสกำลังจับตัวใครคนนึงไว้อยู่ในสภาพที่สะบักสะบอม
“โดมินิก!” ยังไม่ทันที่เธอจะก้าวออกไปนอกประตู ทหารสองนายได้เข้ามารวบตัวเธอไว้แน่น
“อรุณสวัสดิ์อลิซ ตกใจรึที่เห็นภาพเช่นนี้” เอเดียสยืนมองเธอนิ่ง
“เอเดียส ท่านจะทำอะไร ปล่อยโดมินิกไปเถิดข้าขอร้อง” หญิงสาวร้องไห้วิงวอน
“ข้าเคยให้โอกาสมันแล้ว ครั้งนี้อย่าหวังว่าข้าจะปล่อยมันไปอีก” แต่ทว่า ดวงตาแข็งกร้าวนั้น แฝงไปด้วยความโกรธอย่างมหาศาล
“อย่า!” อลิเซียร้องขึ้น ก่อนที่เอเดียสจะปล่อยหมัดเข้าที่ใบหน้าโดมินิก
พลั่ก!
เลือดแดงสดไหลซึมออกจากมุมปาก เขารู้สึกเจ็บแปลบแต่ร่างกาย ไม่สามารถขัดขืนได้
“เป็นห่วงมันนักรึ อยากรู้นัก เจ้าจะทำอะไรได้นอกจากดูเฉยๆ” เอเดียสย่างก้าวเข้ามาใกล้หญิงสาวที่ดิ้นรนน่าเวทนา
“เอเดียสได้โปรด” หญิงสาวล้มลงแทบเท้า อ้อนวอนสุดแรง
“ข้านี้รักเจ้ายิ่งกว่าสิ่งใดนะอลิเซีย ข้าทำไปเพราะข้ารักเจ้า” เอเดียสค่อยๆ ลูบใบหน้าอลิเซียอย่างแผ่วเบา
“เจ้าฆ่าพ่อข้า พรากคนสำคัญในชีวิตข้าไป มันมิใช่ความรักเอเดียส มันคือความเห็นแก่ตัว” เธอพูดเสียงเย็นชา
“ทำไมอลิซ ทำไมเจ้าไม่เห็นความรักที่ข้ามีให้เจ้าเลย ทั้งๆ ที่ข้าพยายามทำเพื่อเจ้าทุกอย่าง” เอเดียสพยายามข่มอารมณ์ตนเอง
“เจ้ามิได้ทำเพื่อข้า เจ้าเพียงแต่ทำเพื่อตัวเอง อยากได้ข้าไปเพื่อให้เจ้าเองมีความสุข” หญิงสาวกล่าว
“แล้วทีมันล่ะ ข้าเตือนมันแล้วว่าถ้าไม่อยากให้เจ้าเดือดร้อนก็อย่ามาที่นี่ มันก็ยังมาโดยไม่สนว่าเจ้าจะเดือดร้อน ถ้าข้าเห็นแก่ตัว มันก็คงไม่ต่างอะไรจากข้า” เอเดียสเชยคางอลิเซียขึ้น ด้วยแรงบีบของชายหนุ่มส่งผลให้ร่างบางๆ เริ่มสั่นสะท้าน
“อยากรู้นัก ถ้ามันตายจริงๆ เจ้าจะทำอย่างไร” เอเดียสสะบัดหน้าเธอลง ก่อนจะเดินไปที่โดมินิกแล้วหยิบปืนขึ้นมาจ่อเข้าที่หัวใจเขา
“ถ้ามันตายเจ้าคงรับรักข้า”
“กายและใจข้ามอบให้แด่เพียงโดมินิกผู้เดียว ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติหน้า ข้าก็จะรักเพียงเขา!” อลิเซียให้คำมั่น
ปั้ง!
สิ้นเสียงไกปืนลั่นจบ ร่างชายหนุ่มที่ถูกจับกุมไว้ได้ร่วงลงพื้นราวกับใบไม้ที่ร่วงลงพื้นดิน น้ำสีแดงข้นหลั่งไหลออกจากอกทำให้เสื้อผ้าที่สวมเปียกชุ่มไปด้วยเลือด อลิเซียรู้สึกเหมือนทั้งโลกหยุดหมุน แทบไม่อยากจะหายใจ เสียงกรีดร้องพร่างพรูออกมาจากปาก หญิงสาวพยายามดิ้นทุรนทุรายจากการจับกุมไปหาคนที่เธอรักแต่ก็ไร้ประโยชน์
ขณะนั้นสายตาเธอเหลือบไปเห็นมีดเล่มหนึ่งอยู่ที่ปลอกปืนที่ขานายทหาร เธอคว้ามันมาและตัดสินใจแทงเข้าที่ท้องตัวเอง ร่างบางค่อยๆทรุดตัวลงเธอพยายามใช้แรงที่เหลือในการคลานเข้าไปหาร่างชายที่รักที่นอนแน่นิ่งอยู่เบื้องหน้ารอยเลือดแดงสดยาวตามทาง
“โดมินิก…” เสียงแผ่วเบาของอลิเซียปลุกชายหนุ่มให้ลืมตา
“เจ้าทำเช่นนี้ทำไม…” ชายหนุ่มถามด้วยแววตาเศร้าใจ
“จำได้ไหมว่าจะไม่จากข้าไปไหนข้ามาทวงสัญญาแล้วนะ…” หญิงสาวยิ้มให้จางๆ
“ข้าจำได้…” ชายหนุ่มตอบ
“’เช่นนั้นอย่าผิดสัญญาสิ…” หญิงสาวกล่าว
“ข้าอยู่ตรงนี้แล้วคนดี ข้าจะทิ้งเจ้าได้อย่างไร ดวงใจของข้า…” ชายหนุ่มยิ้มกลับด้วยแรงอันน้อยนิด
“โดมินิก…” น้ำตาของหญิงสาวไหลร่วงลงพื้น
“ข้าไม่จากเจ้าไปไหนอีกแล้ว ข้าสัญญา…” เสียงของโดมินิกเริ่มเบาลง
“ข้ารักเจ้า โดมินิก…” อลิเซียเอ่ยออกมา
“ข้าก็รักเจ้า เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปนะ…” ชายหนุ่มยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
ด้วยแรงทั้งหมดที่มีน้อยนิด ทั้งสองค่อยๆยื่นมือถึงกันแค่เพียงปลายนิ้ว รอยยิ้มละมุนจากผู้ที่อยู่ตรงหน้าทำให้ ต่างคนต่างรู้สึกอบอุ่นในช่วงสุดท้ายของชีวิต
….หากบุญวาสนาเราสองพันผูกกัน ขอให้เราได้เกิดมาคู่กันทุกภพทุกชาติไป….
….‘ข้ารักเจ้า!’โดมินิกตะโกนดังออกมา
‘อย่าพูดดังสิ เดี๋ยวก็มีคนได้ยินหรอก’ หญิงสาวมองรอบข้างอย่างระแวง
‘แล้วเจ้าล่ะ’ เขาถามเธอกลับ
‘ข้าก็รักเจ้า’ อลิเซียตอบกลับด้วยเสียงไม่ดังนัก
‘อะไรนะ’ เขาแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูด
‘ข้าก็รักเจ้า’ หญิงสาวเปล่งเสียงให้ดังขึ้นอีกหน่อย
‘ข้าไม่ได้ยินเลย’ โดมินิกโบกไม่โบกมือไม่ได้ยิน อลิเซียจึงตัดสินใจตะโกนออกไป
‘ข้าก็รักเจ้า!ไปได้แล้ว’ เธอพูดด้วยความเขินอาย
‘ขอรับนายหญิง ราตรีสวัสดิ์ขอรับ’ โดมินิกทำท่าทำความเคารพแบบทหาร แล้วรีบวิ่งออกจากบริเวณ โดยไม่ลืมที่จะหันกลับมามองนางอันเป็นที่รักครั้งสุดท้าย….
สองลมหายใจสิ้นสุดลงพร้อมกัน พร้อมกับเรื่องราวของทั้งสอง ที่จะถูกตราตรึงไว้บนโลกใบนี้ตลอดกาล