A Quiet Sunday รักเงียบงันวันอาทิตย์

พีรเดช นวลสาย

                กี่ปีผ่านไปเขาก็ยังคงเป็นคนแพ้อากาศหนาว และมักจะป่วยเป็นประจำเมื่ออากาศเปลี่ยนแปลง ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เคยตั้งแง่รังเกียจหน้าหนาว ไม่เลยสักครั้ง เช่นเดียวกับชื่อที่เขาไม่เคยคิดจะไปเปลี่ยนมัน แม้จะถูกเพื่อนล้อว่าเชย เขาก็ยังคงชื่อ เหมันต์ อย่างนั้น ไม่เปลี่ยนแปลง แม่บอกว่าเขาได้ชื่อนี้เพราะเกิดมาในฤดูหนาว หลายคนบอกว่ามันคือฤดูแห่งความโรแมนติค แต่เหมันต์อกหักครั้งแรกในฤดูหนาว มันเป็นทั้งรักแรก และยังคงเป็นรักแค่ครั้งเดียวของเขาตราบจนทุกวันนี้

                เธอเป็นเพื่อนที่โตมาด้วยกัน เรียนหนังสือมาด้วยกัน เธอรู้จักเขาดีที่สุด เหมือนที่เขาคิดว่ารู้จักเธอดีที่สุดแล้ว จึงไม่มีเหตุผลที่เขาจะไม่ตกหลุมรักเธอ เป็นความรักบริสุทธิ์ก่อนที่เขาจะโตทันได้สนใจเรื่องเพศซะอีก แต่เธอให้เขาได้มากสุดคือความเป็นเพื่อน มากที่สุดเท่านั้น และมันก็ไม่เคยมีโอกาสได้พัฒนาไปเกินกว่านั้น เขาไม่เคยเข้าใจเลยว่าระหว่างเธอกับเขาทำไมถึงไม่สามารถพัฒนาความสัมพันธ์จากเพื่อนเป็นคนรักได้ ในเมื่อทั้งคู่ต่างรู้จักและเข้าใจกันและกันเป็นอย่างดี เธอบอกสั้นๆ แค่เพียงว่า เป็นเพื่อนกันน่ะ     ดีแล้ว ฉันเป็นภรรยาเธอไม่ได้หรอก เชื่อฉันเถอะ เธอว่าอย่างนั้น ในวันที่เขาตัดสินใจสารภาพความในใจออกมา คำตอบของเธอทำเอาคำพูดของเขาแทบละลายหายไปในแสงแดดบอบบางกลางเดือนพฤศจิกายน ยิ่งกว่านั้นเขารู้สึกเหมือนตัวเองลอยล่องไร้ทิศทางไปกับลมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดพาเอาความเย็นเยียบมาคลี่คลุมหัวใจของเขาเอาไว้ด้วย

                “ฉันพูดจริงนะ เธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดที่ฉันเคยมี  และฉันก็อยากให้เธอเป็นแบบนั้นไปตลอด อย่าหาว่าฉันใจร้ายกับเธอนะ อย่างนี้จะดีกับเราสองคนมากกว่า” เธอพูดพลางกุมมือเขา ราวรู้สึกว่าเขากำลังจะล่องลอยจากไปเสียต่อหน้า ตั้งแต่นั้น เหมันต์ก็ไม่เคยรู้สึกถึงความหนาวในฤดูหนาว เขาแพ้อากาศทุกปี ทั้งที่ไม่เคยรู้สึกถึงความเย็นชาโหดร้ายของมัน

                หลังจากนั้น ไม่นานเขากับเธอก็ต้องแยกกันไปคนละทาง เธอไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยต่างจังหวัด เธอเลือกจังหวัดในภาคเหนือ เพราะเธอชอบอากาศหนาว เป็นความฝันของเธอที่จะได้อยู่ในที่อากาศเย็นสบายตลอดปี ส่วนเขาเรียนสายอาชีพในวิทยาลัยอาชีวะใกล้บ้าน เขาเลือกเรียนอิเล็กทรอนิกส์เพราะชอบรื้อแผงวงจรเครื่องเสียงของพ่อออกมาดูตั้งแต่เด็ก ความจริงเขาชอบที่จะซ่อมมันมากกว่า เขารู้สึกมีความสุขเมื่อลงมือทำให้มันกลับมาใช้งานได้อีก ให้มันเล่นเพลงเพราะๆ กล่อมเกลาผู้คน โลกไม่ควรขาดเสียงเพลง ต่อให้เป็นเพลงที่เศร้าที่สุด ก็ต้องมีใครสักคนอยากฟังอยู่ที่ไหนสักที่หนึ่ง

                ที่จริงเขาอยากเป็นนักดนตรี อยากเป็นศิลปิน ติดที่พรสวรรค์ด้านดนตรีมีอย่างจำกัด และมันก็ตีวงอยู่แค่การฟังเท่านั้น ไม่อาจเอื้อมแม้แต่จะลองเล่นเครื่องดนตรีที่ง่ายที่สุด เพราะเขายังไม่เคยเจอเจ้าเครื่องดนตรีที่ว่านั่นสักที จุดเริ่มต้นจริงๆ น่าจะมาจากครั้งหนึ่งในวัยเด็กที่เขาเคยซ่อมหีบเพลงให้เธอ พอมันเล่นเพลงได้อีกครั้ง นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นรอยยิ้มที่สว่างไสวที่สุดในชีวิต และสาบานกับตัวเองว่าจะเก็บรักษามันไว้อย่างนั้น ตลอดไป

                พอย่างเข้าสู่วัยหนุ่ม แม้จะค่อนข้างเก็บตัว เขาก็ยังอุตส่าห์มีเด็กสาวมาชอบพร้อมกันถึงสองคน และเขามีเซ็กส์กับหนึ่งในนั้น ทว่ามันเป็นความรู้สึกที่เย็นเยียบและแห้งผากราวกับนอนทับบนก้อนหินอายุนับพันปี หญิงสาวคนนั้นไม่ใช่สาวบริสุทธิ์ และทุกครั้งของการมีเซ็กส์ก็เป็นหล่อนที่เป็นฝ่ายเริ่มและร้องขอจากเขา ทว่ายิ่งทำเขากลับยิ่งเหงา เหมือนส่วนหนึ่งของวิญญาณมันยิ่งเดินถอยหลังห่างออกไปเรื่อยๆ ที่สุดก็คล้ายกับว่ามันได้ไปถึงจุดที่ไกลและเงียบเชียบเกินกว่าจะเรียกให้กลับมาได้ เขาจึงขอเลิกกับเธอกลางฤดูฝนในปีถัดมา กับหญิงสาวอีกคน เขาไม่เคยแม้จะแตะเนื้อต้องตัวเธอ เพียงแต่ชวนมานั่งฟังเพลงด้วยกันในห้องนอนที่ล็อคประตูปิดสนิท และแยกย้ายกันหลังสองทุ่ม เธอทนสภาพนั้นได้แค่สามเดือน

                เขาไม่เคยได้เจอกับเด็กสาวทั้งสองคนอีกเลย ไม่แม้แต่จะโทรพูดคุยไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบ มีครั้งเดียวที่เขานึกใจหายวาบเมื่อได้ยินข่าวทางวิทยุว่ามีหญิงสาวโดดสะพานฆ่าตัวตาย เธอเลือกเวลาในต้นฤดูหนาว กระโดดลงไปในแม่น้ำอันเย็นเฉียบ ในเช้ามืดของวันอาทิตย์อันแสนเงียบงัน ช่างเลือกเวลาตายได้แย่ที่สุด เขาเผลอสบถ แต่แล้วก็รู้สึกวิตกว่า แล้วถ้าเด็กสาวคนนั้นเป็นหญิงสาวหนึ่งในสองคนที่เขาเคยรู้จัก  คนใดคนหนึ่งล่ะ

                เขาเฝ้าติดตามข่าวนั้นอยู่ทั้งอาทิตย์ หาข้อมูลให้มากที่สุดเท่าที่จะหาได้ และล้มเลิกไปเมื่อค่อนข้างมั่นใจว่าเด็กสาวที่ฆ่าตัวตายอย่างไร้คนสนใจไม่ใช่คนที่เขารู้จัก เพราะเธอเป็นคนใบ้และหูหนวก ที่ถูกผู้ชายคนหนึ่งทำให้เสียใจจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป

                หลายปีต่อมาเมื่อเรียนจบ เขาขอเงินก้อนหนึ่งจากพ่อมาลงทุนเปิดร้านซ่อมเครื่องเสียงเล็กๆ นอกจากซ่อมแล้วเขายังนำเครื่องเล่นแผ่นเสียงเก่าเข้ามาขาย ส่วนใหญ่แล้วรายได้จะมาจากงานซ่อม เพราะเครื่องเล่นแผ่นเสียงเก่าของเขานานทีไปหนจึงจะมีคนแวะเข้ามาดูอย่างสนใจ และนานมากกว่านั้นอีก ที่เคยมีคนมาซื้อไปเครื่องหนึ่ง แต่เขาก็ไม่ได้เดือดร้อนที่จะต้องเร่งรีบขายมัน เพราะเข้าใจว่ามันเป็นของที่หลุดไปจากยุคสมัยแล้ว เป็นเหมือนวิญญาณเก่าแก่ที่เร้นตัวอยู่ตามซอกรอยแตกร้าวของกำแพง ยากที่จะมีใครสังเกตเห็นหรือค้นพบ

                เขาจำไม่ได้ว่าได้พบกับเธออีกกี่ครั้ง เพราะมันเป็นการพบและทักทายกันอย่างผิวเผิน เธอโตขึ้น สวยขึ้น เป็นสาวเต็มวัย และยังคงยืนอยู่หลังเส้นคำว่าเพื่อนที่เธอขีดเอาไว้ชัดเจนก่อนหน้านี้  คล้ายรอยกิ่งไม้ขีดบาดลึกลงบนพื้นดินเปียกหลังฝนตกที่เขากับเธอเคยใช้มันสร้างบ้านในจินตนาการแบบเด็กๆ แบ่งออกเป็นห้องต่างๆ เยอะเท่าที่ไม่ขี้เกียจขีดเส้น เขาได้แต่เฝ้าหวังลึกๆ ให้มีพายุใต้ฝุ่นหอบเอาฝนห่าใหญ่มาชะทำลายรอยเส้นบนผิวดินนั้นไปเสีย แต่นับวันดูเหมือนมันจะยิ่งกัดกร่อนลึกลงไปในเนื้อดินจนเป็นเหมือนเส้นกั้นเขตแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีอะไรสามารถหักล้างทำลายลงได้ง่ายๆ

                และแล้วข่าวร้ายที่เขาไม่ต้องการได้ยินมันมากที่สุดก็เดินทางมาถึงในเย็นวันหนึ่ง คลับคล้ายว่าเป็นวันอาทิตย์ที่เขาไม่อยากจะได้ยินเสียงอะไรแม้แต่เสียงหายใจของตัวเอง เธอแวะมาหาที่บ้านพร้อมกับชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง และแนะนำให้เขารู้จักว่าเป็นหนุ่มที่เธอกำลังคบหาดูใจกันอยู่ เขามีไร่ชาอยู่ที่เชียงใหม่ วันหนึ่งหากทั้งสองคนแต่งงานกันเธอก็จะย้ายไปทำไร่ชาอยู่ที่นั่น มันเป็นความฝันของเธอแต่ไหนแต่ไรมา

                ต่างกับเขาที่ไม่เคยมีความฝันจะไปจากที่นี่ ก็ในเมื่อทุกอย่างในชีวิตเขามันอยู่ที่นี่ เขาก็เลยไม่รู้จะไฝ่ฝันหาดินแดนอื่นใดนอกจากนี้อีก โดยเฉพาะความทรงจำในวัยเด็กที่เขามีร่วมกับเธอ มันเกิดขึ้นที่นี่และยังปะปนอยู่กับพื้นดิน ต้นไม้ อากาศ และทุกๆ อย่าง เขาเคยคิดเล่นๆ ว่าคงจะดีไม่น้อยถ้าชีวิตเขาหยุดเวลาไว้ได้แค่นั้น เวลาแห่งความทรงจำก่อนที่เธอจะขีดเส้นที่มองไม่เห็นแต่ทรงอานุภาพเส้นนั้นขึ้นมา เขายินดีถ้าชีวิตเขาจะเดินมาถึงเพียงแค่นั้นแล้วแตกดับสูญสลายไปตลอดกาล หรือถ้ามันจะวนเวียนซ้ำๆ อยู่แค่ในช่วงเวลานั้นอย่างไม่รู้จบสิ้นก็ยิ่งดี ทว่าความจริงที่เจ็บปวดก็คือเวลาแห่งความสุขที่เขาแสนจะหวงแหนนี้ สุดท้ายกลับพบว่ามันกลายเป็นแค่เสี้ยวหนึ่งของชีวิตอันยาวนานเท่านั้นเอง

เขารู้สึกอย่างไรที่เธอพาชายคนรักมาแนะนำให้ได้รู้จัก ไม่สำคัญหรอก แค่ได้เห็นรอยยิ้มที่เธอยิ้มอย่างมีความสุข เขาเองก็รู้สึกเป็นสุข แม้จะหายใจติดขัดเหมือนอาการแพ้อากาศหนาวกำเริบ

เธอหายหน้าไปอีกหลายปี และกลับมาพร้อมข่าวดีในกลางฤดูหนาวปีที่เขามีอายุ 29 ปี ครั้งนี้เธอมาหาเขาคนเดียวพร้อมกับการ์ดสีชมพูใบหนึ่ง มือขาวซีดเหมือนโครงกระดูกของเธอที่ยื่นการ์ดแผ่นนั้นมาให้คล้ายกำลังผลักไสเขาให้ถอยห่างไปหลังเส้นศักดิ์สิทธิ์ ไปยังดินแดนอันมืดมิดเงียบงันที่มีเขาเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียว

“ไปให้ได้นะ ถ้าเธอไม่ไปฉันจะเสียใจมาก” เธอย้ำกับเขา พร้อมรอยยิ้มที่ดูเหมือนเส้นตวัดขีดอย่างแม่นยำบนพื้นดินเปียก

เขาไปงานแต่งของเธอ และได้พบความประหลาดใจว่า เจ้าบ่าวที่นั่งเคียงข้างรับน้ำสังข์นั้น เป็นคนละคนกับชายหนุ่มที่เธอเคยพามาแนะนำให้รู้จักเมื่อหลายปีก่อน เป็นไปได้ว่านอกจากไร่ชาแล้วหมอนั่นอาจจะไม่มีอะไรที่เข้ากับเธอได้เลย เธอจึงขอเลิกกับเขาพร้อมกับขีดเส้นที่มองไม่เห็นและขังเขาไว้ในนั้น

“ขอบใจมากนะ ที่รักษาสัญญา” เธอบอกกับเขาพลางถามคำถามที่แม้ตัวเขาเองก็ไม่เคยคิดเตรียมคำตอบเอาไว้มาก่อน “เมื่อไหร่จะแต่งงาน?”

“คงอีกนาน” เขาตอบยิ้มๆ แล้วเงียบไว้แค่นั้น ใช่ล่ะ คงจะอีกนาน หรืออีกนัยหนึ่งคือมันอาจจะไม่มีวันเกิดขึ้นเลยก็ได้ เขาไม่เคยคิดเรื่องนี้ ไม่เคยวาดฝันว่าภรรยาเขาจะต้องเป็นคนแบบไหน นับตั้งแต่กลางฤดูหนาวในปีนั้นเป็นต้นมา

หลังงานแต่ง เธอย้ายไปอยู่กับสามีที่จังหวัดหนึ่งในภาคใต้ เขาได้ยินว่าสามีของเธอเป็นเจ้าของรีสอร์ทชายทะเลในเมืองท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง เธอชวนเขาไปเที่ยวบอกว่าทะเลสวยมาก อากาศก็ดีมากด้วย เขารับปากว่าสักวันหนึ่งจะไปตามคำเชิญนั้น แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปี เขาก็ไม่เคยไปตามคำเชิญของเธอ เขาแทบไม่ออกไปไหนไกลจากบ้านด้วยซ้ำ

จนเมื่อฤดูหนาวปีที่เขาอายุ 35 ปี เธอมาหาเขาอีกครั้ง คราวนี้เธอเปลี่ยนไปจากเดิมเยอะมาก ใบหน้านั้นคล้ายเป็นใบหน้าของคนอื่นที่มาปิดทับหน้าเดิมของเธอที่เขาเคยรู้จัก ดวงตาของเธอว่างเปล่าราวกับเป็นหลุมดำขนาดมหึมา ไร้แสง ไร้อากาศ ไม่มีความรู้สึกใดๆ สามารถล่วงล้ำเข้าไปได้ เธอเล่าเรื่องราวชีวิตหลายปีที่ผ่านมาให้เขาฟัง รวมทั้งบทสรุปอันแสนเจ็บปวดระหว่างเธอกับสามีที่ต้องแยกทางกันจากผลพวงที่เขาก่อขึ้น

“เขานอกใจฉัน เขาไปมีผู้หญิงอื่น อยู่กินกันอย่างลับๆ อยู่หลายปี จนผู้หญิงคนนั้นตั้งครรภ์เรื่องมันเลยแดงขึ้นมา เขาเลือกผู้หญิงคนนั้น ยังไงก็แล้วแต่ ฉันคงทนอยู่กับคนทรยศอย่างนั้นไม่ได้หรอก เธอเข้าใจฉันนะ” เธอเล่าทั้งน้ำตา

“ฉันเข้าใจ” เขาตอบไปแค่นั้น แม้ว่าเขาจะไม่มีวันเข้าใจมันไปตลอดชีวิตนี้เลยก็ตาม เขาเฝ้าถามตัวเองซ้ำๆ ทำไมเธอถึงไม่เลือกเขา เขาจะไม่มีวันทำให้เธอเจ็บแม้แต่ครั้งเดียว เขาจะไม่มีวันทรยศต่อเธอ แต่เขาก็ไม่เคยพูดสิ่งที่คิดนี้ออกมา ได้แต่ปล่อยให้มันจมหายไปในร่องลึกของเส้นที่เธอขีดไว้ให้

“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ฉันเสียลูกไปตอนใกล้คลอด เด็กมีความผิดปกติอย่างมากจนหมอแนะนำให้เอาเธอออก ไม่งั้นอาจจะเสี่ยงทั้งแม่ทั้งลูก สามีฉันเห็นด้วยกับหมอ เขาบอกว่าคงทนไม่ได้ถ้าต้องเสียฉันไป มาคิดดูในตอนนี้  ฉันว่าฉันน่าจะลองเสี่ยงดูในตอนนั้น อย่างน้อยถ้าฉันมีลูก เรื่องมันอาจจะ...” เสียงเธอขาดหายไปแค่นั้น

เขากอดเธอ เป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสตัวเธออีก นับตั้งแต่ที่เคยจับมือกันในวัยเด็ก ร่างกายเธอเย็นเฉียบคล้ายก้อนเมฆที่ไม่เคยกลั่นตัวเป็นฝน เป็นอีกครั้งที่เขาอยากให้เวลาหยุดอยู่แค่นี้ อยากให้ชีวิตของเขาแตกดับและสิ้นสุดไปในวินาทีนี้ พอเพลงที่สามจากเครื่องเล่นจบลงเธอก็ผละจากอ้อมกอดเขา ปาดน้ำตาที่กลายเป็นคราบแห้งๆ และพูดขึ้น

“ขอบใจนะ” เธอยิ้มออกมา แต่มันเป็นคนละรอยยิ้มกับที่เขาเคยจดจำ “เราจะไม่ได้เจอกันสักพัก”

“หมายความว่า?”

“ฉันจะหลบไปพักผ่อนที่เชียงใหม่สักเดือนสองเดือน” เธอเผยแผนการ “หรืออาจจะปีสองปี แล้วแต่ว่าฉันจะพร้อมที่จะก้าวต่อไปหรือยัง เธอคงเข้าใจนะ?”

“เธออยู่ที่นี่ก็ได้ มีเพื่อนเยอะแยะ” เขาบอกตามความรู้สึก

เธอยิ้ม ด้วยรอยยิ้มที่ส่งสัญญาณว่า ฉันได้ตัดสินใจไปแล้ว ก่อนที่จะบอกให้ใครรู้ด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น มันจะไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงความคิดที่ได้ตั้งมั่นอย่างแน่วแน่นี้ได้ และมันก็เป็นเช่นนั้นมาตลอด

วันรุ่งขึ้นเธอก็ออกเดินทางไปโดยไม่ได้แวะมาร่ำราเขา แน่นอนว่าเธอคงไม่อยากฟังคำทัดทานใดๆ  และไม่อยากให้เขาเป็นกังวลต่อเรื่องของเธอมากไปกว่านั้นอีก

เขากลับมาสู่กับดักชีวิตของตัวเองอีกครั้ง เป็นชีวิตที่เขาปล่อยให้เธอเป็นคนตัดสินโดยที่เธอไม่เคยรู้ตัวเลยสักนิด แต่เส้นที่เธอขีดสร้างอาณาเขตไว้ให้เขาโดยเฉพาะนั้นยังคงดำรงอยู่และกรีดร่องลึกลงไปทุกๆ วินาทีในชีวิตที่เหลืออยู่ของเขา

 ฤดูหนาวปีต่อมา เขาก็ได้รับข่าวร้ายเกี่ยวกับเธอ มีคนพบร่างไร้ลมหายใจของเธอในรีสอร์ทแห่งหนึ่ง ตัวเธอผอมซีดคล้ายโครงกระดูกที่ถูกแช่แข็งผ่านกาลเวลามาหลายร้อยปี หมอสรุปผลชันสูตรว่าเธอกินยานอนหลับเกินขนาด เป็นการเจตนาฆ่าตัวตาย เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าตัวเองได้ก้าวพ้นเส้นศักดิ์สิทธิ์ที่เธอขีดไว้ให้ หรือไม่มันก็ได้สิ้นสูญอำนาจและเสื่อมสลายไปเอง แต่เมื่อปราศจากอาณาเขตของเส้นนั้นแล้ว เขากลับรู้สึกเหมือนกำลังล่วงหล่นลงสู่หลุมดำอันไร้ขอบเขต

งานศพเธอถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย มีเพียงญาติและเพื่อนสนิทเท่านั้นที่มาร่วมงาน เถ้ากระดูกเธอถูกนำไปลอยอังคารลงแม่น้ำตามคำขอที่เธอเคยพูดไว้ ไม่มีสิ่งใดที่เคยเป็นเธอหลงเหลืออยู่ นอกจากภาพถ่ายที่ดูไร้ชีวิตชีวาจำนวนหนึ่ง

มีแต่เขาเท่านั้นที่รู้ว่าลมหายใจของเธอยังอยู่ มันอยู่กับเขามาเนิ่นนาน ในถุงพลาสติกใบเล็กๆ ที่เขาเคยขอให้เธอเป่าลมใส่เข้าไปในวันหนึ่ง ขณะที่นั่งเล่นอยู่ด้วยกันริมแม่น้ำ

“จะเอาไปทำอะไร?” เธอขมวดคิ้วสงสัย

“เหอะน่า แค่เป่าลมเข้าไป จะหวงไปทำไม”

“ไม่ได้หวง แค่อยากรู้”

“ไม่ต้องรู้หรอก”

“ก็ได้ จะเป่าให้ แต่เธอต้องให้สัญญากับเราอย่างหนึ่งก่อน”

“กี่อย่างก็ได้ว่ามาเหอะ”

“อย่างเดียวก็พอ ถ้าวันหนึ่งเราตาย เธอต้องเอาเถ้ากระดูกเรามาลอยอังคารที่แม่น้ำนี่นะ”

“บ้า พูดอะไรบ้าๆ”

หลังเสร็จสิ้นงานศพของเธอ เขาเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านหนึ่งสัปดาห์โดยไม่ออกไปไหนและไม่พูดคุยกับใคร กระทั่งวันที่แปด หลังสายฝนที่ตกลงมาราวฟ้ารั่วหยุดไปสักพัก เขาจึงเดินออกจากบ้านไปอย่างเงียบเชียบพร้อมกล่องใบหนึ่ง เขามาหยุดยืนนิ่งอยู่ตรงลานดินโล่งใกล้แม่น้ำ ตรงที่ครั้งหนึ่งในฤดูหนาวเมื่อหลายปีก่อน เขาเคยยืนเผยความในใจต่อหน้าเธอ ตรงที่เธอเริ่มต้นขีดเส้นศักดิ์สิทธิ์เส้นนั้นลงบนหัวใจเขา

เขาหยิบเศษไม้มากรีดลงบนผิวดินเปียกหมาดและวาดเส้นวงกลมรอบตัวเอง จากนั้นเปิดฝากล่อง และหยิบถุงพลาสติกเก่าๆ ที่มีอากาศอัดไว้ในนั้นขึ้นมา ค่อยๆ แกะหนังยางที่มัดปากถุงไว้แน่นหนาอย่างระมัดระวัง เมื่อมันเปิดออกเขากวัดแกว่งถุงไปรอบๆ ตัวและหลับตาสูดลมหายใจเข้าไปจนเต็มความจุปอด วินาทีนั้น เขารู้สึกว่ากำลังล่องลอยไปสู่ดินแดนพิเศษที่ถูกสร้างขึ้นมาสำหรับตัวเขาโดยเฉพาะ  น้ำตาอุ่นๆ ไหลออกมาราวสายฝน มันเป็นการร้องไห้ครั้งแรกนับแต่ถูกปฏิเสธในเช้าวันอาทิตย์กลางฤดูหนาว

...ริมฝีปากเขามีรอยยิ้มเล็กๆ ...

 

 

comments powered by Disqus

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน