เปิดม่านสาหรี่ ****** การเดินทางไปดินแดนที่เรียกว่าพุทธภูมินั้น มีเรื่องตื่นเต้นมากมายนับตั้งแต่การขึ้นเครื่องบิน ผู้เขียนขอนำเสนอข้อเขียนจากประสบการณ์ของสตรีผู้หนึ่ง I am first flight บอกตรงๆว่าตื้นเต้นมากกับการที่จะได้ขึ้นเครื่องบินครั้งแรกในชีวิต.. ๐๙.๓๐ น. ขณะที่กำลังยืนรออยู่ในคิวของผู้โดยสาร เพื่อเช็คอิน ใจเต้นผิดปกติยังไงไม่รู้ ได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นตึกๆๆ เอ๊..เวลาเครื่องบินมันวิ่งทะยานสู่ท้องฟ้าจะมีความรู้สึกอย่างไร. มันเหมือนนกบินไหมที่กางปีกบินไหม .เอ๊..แล้วนกเวลามันอยู่สูงๆความรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง นึกไม่ออกจริงๆค่ะ น้องคะ น้องคะ เสียงหวานแหวของพนักงานสาวการบิน มาแทรกเข้าโสตประสาทข้าพเจ้า ความนึกคิดที่มืดมนต้องหยุดชะงักลงทันที ขอพาสปอร์ตหน่อยคะ เจ้าหน้าที่สาวการบินไทยบอกเจตจำนงฉัน ฉันยื่นพาสปอร์ตให้ด้วยอาการขวยเขินนิดๆ มีเพื่อนหลายคนเสนอให้ฉัน ย้ายประเทศไปไว้ที่อินเดีย แต่ฉัน ว่ามันยังไม่จำเป็นถึงขนาดนั้น เพราะกระเป๋าใบใหญ่ตั้ง ๓ใบ น่าจะเพียงพอสำหรับการอยู่ในประเทศอินเดียได้อย่างไม่เดือดร้อนภายใน ๒ ปี ขนาดเรามีกระเป๋าใบใหญ่ ๓ใบแล้ว ไม่เข้าใจว่าทำไมเพื่อนจึงเสนอให้ฉัน ย้ายประเทศไทยด้วยก็ไม่รู้ มันหารู้ไม่ว่าการย้ายประเทศไม่ใช่เรื่องเล็ก บางทีเขาอาจห่วงใยเราก็ได้ ในกระเป๋า ๓ ใบนั้นเต็มไปด้วย มาม่า ไวไว แต่ละใบถูกล็อคกุญแจอย่างดี โดยเฉพาะเจ้ากระเป๋าใบใหญ่สีแดง เพราะคิดว่าตอนลงจากบนเครื่องบินจะได้หาได้ง่ายและถูกต้อง จะได้ขึ้นเครื่องบินแล้วว๊าว ดีใจจัง ฉัน ตะโกนลั่น แต่เป็นการตะโกนในใจ ขืนตะโกนเป็นเสียงออกมา เขาก็หาว่าเป็นคนบ้านนอกน่ะสิ จริงๆแล้วฉันเป็นคนจังหวัดพิษณุโลก อาจจะ เป็นคนชนบทโดยแท้ ไม่ใช่คนบ้านนอกนะ แอบเถียงในใจ เจ้าหน้าที่การบินไทย พาฉันพร้อมเพื่อนรักอีกสองคน ไปที่ห้องผู้โดยสารขาออก เจ้าหน้าที่การบินไทยน่ารักทุกคนเลย อำนวยความสะดวกให้เป็นอย่างดี ก่อนเข้าห้องพักรอ ขึ้นเครื่อง เจ้าหน้าที่ประจำห้องพัก ตรวจเช็คผู้โดยสารอีกครั้งหนึ่ง พอตรวจมาถึงเพื่อนคนหนึ่ง เครื่องตรวจร้อง อีดๆๆเหมือนถูกเหยียบ อะไรคะ เจ้าหน้าที่ถามด้วยความอยากรู้ เพื่อนก็เปิดตัวให้ดู ทั้งเม็ดประคำ ทั้งตะกรุด ทั้งเหรียญหลวงพ่อต่างๆ พร้อมกล้องถ่ายรูปห้อยระย้อยระย้าเต็มตัวไปหมด ดูท่าทางพนักงานการบินไทยอยากจะถามให้มากกว่านี้ แต่ผู้โดยสารท่านอื่นคอยคิวยาวเหยียดไม่สะดวกในการที่จะถามต่อ ก็เลยบอกให้พวกเราเข้าไปข้างในห้องพัก โอ้โห! เครื่องบินตัวใหญ่จริงๆ แล้วทำไมเวลามันบินอยู่บนท้องฟ้าเหลือตัวเล็กนิดเดียว ฉัน แปลกใจก็เลยอุทานถามตัวเอง สักครู่ต่อมาเจ้าหน้าที่สาวการบินไทยก็มา เชิญผู้โดยสารทุกท่านขึ้นเครื่องได้แล้วคะ หัวใจขเต้นโครมครามๆ อย่างไม่เป็นจังหวะ เหมือนหมาวิ่งเหยียบบนสังกะสีเก่าๆอะไรทำนองนั้น จะได้ขึ้นเครื่องบินแล้วหรือนี่ พอเท้าก้าวเข้าตัวเครื่องบิน เสียวแว๊ปที่ฝ่าเท้า เชิญทางนี้ค่ะ หมายเลขที่เท่าไรคะ แอร์โฮลเตสใจดี ถาม พวกเราได้ที่นั่งง่าย เพราะได้รับการช่วยเหลือจากแอร์โฮลเตส หาเองคงต้องใช้เวลาเป็นวันแน่ เราทั้ง สามคนได้ที่นั่งคนละที่ แต่ทั้งหมดติดหน้าต่าง โชคดีมาก หากได้นั่งกลางๆ คงไม่มีอะไรโม้ให้ผู้อ่านฟังแน่เลย คงไม่รู้จักท้องฟ้า เมฆหมอก เป็นแน่แท้ ฉัน นั่งเรียบร้อยแล้วก็หันไปเตือนเพื่อนซึ่งนั่งอยู่ข้างหลังด้วยความเป็นห่วง อย่าลืมรัดเข็มขัดนะ เดี่ยวเครื่องขึ้นแล้ว เตือนเพื่อนด้วยความหวังดี ทั้งที่ข้าพเจ้าเองก็ไม่เคยเหมือนกัน แต่เขาว่ามาอย่างนั้น จริงๆแล้วท่านผู้รู้ได้แนะนำถึงวิธีรัดเข็มขัดแก่ฉัน ก่อนที่จะขึ้นเครื่องไม่นานมานี้ แต่เอาจริงๆ ความรู้ที่ข้าพเจ้าเรียนมามันหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ ไม่มาปรากฏในสมองเลย พยายามสอดเข็มขัดเข้ารูโน้นรู้นี้ แต่ทำไมมันไม่ยักจะอยู่ก็ไม่รู้ ขณะที่ง่วนอยู่กับเข็มขัด อยู่นั้น ผู้ชายท่าทางสุภาพ ท่านหนึ่งนั่งข้างๆ ก็ช่วยสอดเข็มขัดให้ฉัน อยากขอบคุณ ผู้ใจดีเหลือเกิน แต่เกรงว่า เขาจะฟังภาษาไทยไม่ออก เพราะดูหน้าตาเป็นชาวต่างชาติ พยายามนึกศัพท์ภาษาอังกฤษที่ร่ำเรียนมาแทบตาย แต่ก็ไม่มีศัพท์ไหนเสนอหน้ามารับใช้เลย ในยามขับขันเช่นนี้ไม่รู้พากันหนีไปไหนหมด Thank you, I am first flight ไม่รู้ว่าฉัน พูดถูกหรือเปล่า? อ๋อ เพิ่งเคยมาเที่ยวแรกหรือครับ นั้นพูดภาษาไทย ฉันไม่ได้หูฝาด อายจัง ขวยเขินนิดๆ ใช่ค่ะ คุณ ครั้งแรกที่หนู ขึ้นเครื่องบิน ตอบไปอย่างภาคภูมิใจ อยากจะถามต่อไปว่า ทำไมคุณจึงพูดภาษาไทยได้ แต่ไม่กล้าถาม ฉันนั่งด้วยความอึดอัด ขยับตัวไม่สะดวก หายใจก็ไม่คล่อง เพราะเข็มขัดรัดแน่นเกินไป แต่ก็ไม่กล้าคลายออก กลัวว่าจะผิดกฎระเบียบการนั่งบนเครื่องบิน ชายคนเดิมเห็นอาการแปลกๆของฉัน ก็รู้ว่าต้องการอะไร ไม่ต้องรัดแน่นขนาดนั้นหรอกครับ คลายออกหน่อยก็ได้ เขานั้นแนะนำด้วยความเอ็นดู และอมยิ้ม แอบมองฉันบ่อยครั้ง โอย โล่งอกไปที อิๆ นึกว่าเป็นกฎของบินซะอีก บอกตรงๆนะว่าเคยอิจฉานก บินไปไหนมาไหนได้อย่างมีความสุขบนท้องฟ้าและเห็นอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะบนท้องฟ้า แต่วันนี้ เป็นของฉัน คิดว่านกมันต้องอิจฉาฉัน บ้างแหละ วันนี้ อยู่เหนือเมฆ นึกถึงสมัยเป็นเด็กเล็กๆ เคยมองดูเมฆบนท้องฟ้า ชอบจินตนาการให้เป็นตามที่ต้องการ เป็นรูปยักษ์บ้าง เป็นรูปช้างบ้าง และบ้างครั้งก็สงสัยว่า เทวดาจะมีเมฆเป็นของส่วนตัว แล้วขี่ไปโน้นมานี่ได้ตามชอบใจ ตอนนี้ฉัน อยู่เหนือเมฆ มองหาเทวดา แต่ก็ไม่ยักเห็น แฮะ อยากจะเดินเล่นบนก้อนเมฆ ดูซิว่าเวลาเดินแล้วจะมีความรู้สึกอย่างไร อยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง แล้วมาเล่นก้อนเมฆบนท้องฟ้าที่ ทอดด้วยตัวยาวสุดลูกหูลูกตา ขณะนี้ เรากำลังบินอยู่เหนือประเทศพม่า เสียงเจ้าที่บนเครื่องบินประกาศ ฉัน ดึงความคิดที่ท่องเที่ยวไปกับก้อนเมฆกลับมา แล้วทอดสายตาไปเบื้องล่าง ดูประเทศพม่าตามที่เจ้าหน้าที่ประกาศ ภาพเบื้องล่างเป็นสีเขียว ชอุ่ม คิดว่าไอ้ที่เขียวๆ นั่นน่าจะเป็นต้นไม้ แต่ทำไมต้นไม้พม่าจึงแตกต่างจากต้นไม้ในประเทศไทย ต้นไม้เมืองไทยเป็นสีเหลือง ตอนที่เครื่องบินทะยานสู่ท้องฟ้า สังเกตเห็นเป็นเช่นนั้นจริงๆ อาจจะเป็นเพราะว่าดินแดนและอากาศบ้านเราแตกต่างจากประเทศพม่าก็ได้ ปล่อยความคิดไปเรื่องเปื่อย มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อกับตันเครื่องบินประกาศว่า ขณะนี้เรากำลังลงสู่สนามบินกัลกัตต้า สติค่อยๆๆ กลับเข้ามาหาตัวเอง อีกครั้ง ความดีอกดีใจของกลายเป็นความกังวล เป็นห่วงกระเป๋า ๓ ใบ กระวนกระวายนั่งไม่ค่อยเป็นสุข มองซ้ายแลขวาหาเจ้าหน้าที่เครื่องบิน จะได้ฝากบอกเขาช่วยดูแล กระเป๋าให้หน่อย เครื่องบินลดเพดานลงต่ำ ท้องน้อยเสียวเสียวแป๊บ พอล้อเครื่องบินแตะถนนลาดยาวของสนามบิน และชะลอตัวอย่างช้าๆ ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นแขก ก็ลุกพรึบทันที ฉัน ไม่เข้าใจก่อนเครื่องบินลงสู่พื้น แอร์โฮสเตสก็ประกาศ ให้ผู้โดยสารนั่งอยู่กับที่และรัดเข็มขัดด้วย จนกว่าเครื่องจะจอดสนิท ไม่เข้าใจว่าทำไมแขกจึงลุกทันทีทั้งที่เครื่องบินก็ยังไม่จอดสนิท หลังจากเครื่องบินจอดสนิทแล้ว ผู้โดยสารทยอยกันออก ส่วนฉันกับเพื่อนยังนั่งอยู่กับที่ ให้คนออกไปให้หมดก่อน ลงจากเครื่องบิน แล้วมองหากระเป๋าตัวเอง เดินวนเวียนบริเวณเครื่องบินด้วยความกระวนกระวาย เฮ้ ไหนกระเป๋าของเราค่ะ ด้วยความเป็นห่วงกระเป๋าตัวเอง โดยเฉพาะใบใหญ่สีแดง ครับ กระเป๋าทุกใบ เจ้าหน้าที่ยกไปรอเจ้าของอยู่ที่ด้านในตึกแล้วครับ ฉันกับเพื่อนรักทั้งสอง ก็เดินตามหลังกันต้อยๆ รอการตรวจจากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง แหมกว่าจะถึงคิว นานเหลือเกิน ทำไมแขกทำงานช้าจังก็ไม่รู้ บ่นพึมพำให้ตัวเองฟัง รอนานตรงช่องตรวจคนเข้าเมืองแล้วยังไม่พอ ยังต้องมารอรับกระเป๋านานอีกต่างห่าง กว่าจะได้กระเป๋าครบทุกใบ เล่นเอาเหงื่อแตกพลั่กเลย เข็นรถกระเป๋าออกมาด้วยหวังว่าได้เจอนักศึกษาทุนจากเมืองไทย จากพาราณสีมารับ มองหาชะเง้อหาก็ไม่เจอ ใจชักไม่ดี กำลังจะออกจากตัวอาคารอยู่แล้ว เจ้าหน้าที่สนามบินแขกมาเรียกเพื่อน ไปหา แล้วชี้ไปที่ย่ามใบโต พร้อมยิงคำถามเป็นภาษาอังกฤษใส่ กล้องถ่ายรูป เพื่อนตอบเป็นภาษาไทยหน้าตาเฉย เขาฟังไม่รู้เรื่อง ก็ย้ำคำพูดเดิมอยู่นั่นแหละ ก็เลยเปิดยามให้ดู เห็นเป็นกล้องถ่ายรูป เจ้าหน้าที่ก็ชี้ให้ไปโต๊ะอีกตัวหนึ่งซึ่งอยู่ถัดไป ฉัน ก็ตามไปด้วย แล้วเราก็ยังคุยกันไม่รู้เรื่อง เพราะคุยกันคนละภาษา ฉัน นึกด่าพวกเจ้าหน้าที่แขกในใจว่า ทำไมพวกเองไม่เรียนภาษาไทยไว้บ้าง ไปดูประเทศไทยบ้าง เขาพูดกันได้ทั้งบ้านทั้งเมือง ขณะที่พวกเราช่วยกันพูดภาษาอังกฤษจนเมื่อยมืออยู่นั้น มีผู้หญิงกลางคน คนหนึ่งเป็นคนประเทศไหนไม่ทราบ ท่าทางใจดี เห็นว่าพวกเราคุยกันไม่รู้เรื่อง จึงเข้ามาช่วยคุยให้ เรื่องทั้งหมดจึงลงเอย เจ้าหน้าที่แขกจดหมายเลขกล้องถ่ายรูปไว้ และจำนวนราคากล้องไว้ในพาสปอร์ตของเพื่อนฉันไว้ พวกเราเข็นรถที่พะรุงพะรังด้วยกระเป๋าใหญ่ออกประตูอาคาร ข้าพเจ้าเหลือบไปเห็นเพื่อนนักศึกษา เมืองพาราณสี สองคน มารับพวกเราอยู่ข้างนอก ฉันยิ้มอย่างสดชื่นและมีความสุข คิดในใจว่า รอดตายแล้วกู
23 กุมภาพันธ์ 2552 08:23 น. - comment id 104001
เขียนเรื่องได้น่ารักดีนะคะ โดยเฉพาะประโยคสุดท้าย อ่านแล้วทำให้ยิ้มออกจริงๆ
26 กุมภาพันธ์ 2552 11:38 น. - comment id 104056
เออว่ะ รอดตายแล้วกู คำนี้ ใช้ไม่บ่อย แต่ใช้แล้วสบายใจ เนอะ
26 กุมภาพันธ์ 2552 16:30 น. - comment id 104073
อ่านแล้วได้ใจมากเลยครับ