อากาศปลายเดือนธันวาคมหนาวเย็น จนควันไฟที่ลอยเรี่ยอยู่ทั่วไปตามหมู่บ้านชนบทเคล้ากันแทบเป็นสายเดียวกับหมอกฟ้าที่เรี่ยพื้น ผู้เฒ่าและเด็กน้อยต่างละจากที่นอนและผ้าห่มผืนบางมานั่งล้อมกองไฟที่สุมขึ้นอย่างเรียบง่ายแต่ให้ความอบอุ่นได้ต่อเนื่องและค่อนข้างนาน หลายวันก่อนลมหนาวพัดแรงจนแนวไผ่ไหวเอน ลมอย่างนั้นทำไผ่สีกอระรัวฟังคล้ายกับใครบางคนสะอึกแกมสะอื้นในบางคราวที่เหงาและหมองหม่นยิ่ง วานซืนอากาศก็ยังเป็นอย่างนั้นแต่วันนี้ท้องฟ้ากลับเปลี่ยนแปลงไป เมฆดำแกมหมองแผ่เป็นแนวบาง ๆ คลุมไปทั่วท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว แล้วฝนก็พรำลงมาจนแม้แต่คนหนุ่มบางคนยังถึงกับสะบัดหนาว นั่นเองที่ทำให้กองไฟในที่โล่งหลายแห่งต้องเปลี่ยนตำแหน่งไปอยู่ใต้เพิงหมาแหงนใกล้คอกวัวแทน "อากาศมันเปลี่ยนไวอย่างนี้ ผู้เฒ่าผู้แก่ลำบากแย่เลย .. เอ้านี้ข้าวจี่สุกแล้ว" "ขอบใจจ้ะ..เด็กก็เป็นหวัดเป็นไข้กันแยะมาก ใครไม่มีเสื้อหนาวยิ่งลำบาก" "หลายปีก่อนแถวบ้านเรามีคนเอาเสื้อหนาวมือสองราคาถูกๆมาขายหาซื้อที่ไหนก็ได้" "สองปีมานี้พวกพ่อค้าหันไปขายพวกของกินกันหมด..หนังเค็มคงจะสุกแล้วมั้ง" "อืม..กลิ่นหอมเชียว เดี๋ยวฉันจะทุบหนังวัวเผานี้ให้เอง กินกะแจ่วปลาร้าอร่อยอย่าบอกใครเลยล่ะ เออมันเทศก็สุกแล้วด้วย ว่าแต่ว่ามีใครอยากจิบวิสกี้ข้าวเหนียวกะหนังเค็มไหม ฉันจะยกมาให้" "ยกมาเลย " วงสนทนาของคนวัยกลางคนสามคนดำเนินไปท่ามกลางกลิ่นควันไฟเคล้ากลิ่นหนังวัวเผา แจ่วปลาร้าและวิสกี้ข้าวเหนียว ฝนยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก "พี่ไปทำงานที่ไหนต่อหลังจากแยกทางกับหน่วยงานเก่า" "ก็ไปรับจ้างฝรั่งทำงานอยู่แถวใกล้เขื่อนน้ำงึมของลาว พอเขาหมดงบจ้างก็ไปทำงานกับหน่วยงานวิจัยของมหาวิทยาลัยในกรุงเทพ" "แล้วพี่สะใภ้ล่ะ" "เขาก็ยังทำงานอยู่ที่เก่า ลูกชายตอนนี้ก็แต่งงานไปแล้วและไปอยู่บ้านเมีย เหลือลูกสาวอีกคนอยู่กับแม่ของเขา" "เราไม่ได้เจอกันสิบกว่าปีแล้วนี่เนาะ ผมกับแฟนดีใจมากเลยที่พี่แวะมาเยี่ยม" "พี่ก็ดีใจ พอดีหน่วยงานใหม่ของพี่เขามาเปิดงานแถวนี้ก็เลยคิดถึงพวกเอง นี่ได้น้องกี่คนแล้วล่ะ" "ยังไม่มีน้องเนิ้งซักคนเลยพี่" "เออ..ว่าไปแล้วมันก็ดีอีกแบบหนึ่ง คือไม่ต้องพะวักหน้าพะวงหลังกับภาระแบบคนเป็นพ่อแม่" "แต่บางทีมันก็เหงา เราคิดว่าถ้ามีลูกคงมีอะไรทำร่วมกันเยอะแยะ" "เอ็งสองคนใครเป็นหมันล่ะ" "คงเป็นหมันทั้งคู่ค่ะ" "งั้นก็อย่าไปซีเรียสเรื่องลูกเลย มีอะไรให้ทำสนุกเยอะแยะไปอีกอย่างก็ไม่ต้องห่วงเรื่องลูกด้วย" "อ้าว..ทำไมล่ะคะ" "ก็เด็กทุกวันนี้ ถ้าเราเลี้ยงเขาด้วยเงินอย่างเดียวโดยไม่มีเวลาดูแลอบรมนิสัยใจคอก็จะเสียผู้เสียคนได้ง่ายดาย อย่างที่พวกเราเห็นในข่าวทุกสื่ออยู่ทุกวัน" "อ๋อ..เข้าใจค่ะ แถว ๆ ชนบทบ้านเราก็เป็นแบบในข่าวแล้วหลายราย เรียนยังไม่จบท้องป่องกันซะแล้ว เสร็จแล้วก็ไม่มีปัญญาเลี้ยงลูก เดือดร้อนพ่อแม่ต้องรับกรรมจากความสนุกชั่วประเดี๋ยวประด๋าวของตัวเอง" "พี่เคยเก็บข้อมูลวิจัยว่าทำไมเด็กจึงท้องในวัยเรียนกันมาก" "ได้คำตอบว่ายังไงหรือครับ" "เด็กเขาบอกว่า พ่อแม่ไม่มีเวลาอยู่ด้วย ไปหาเงินต่างถิ่น อยู่กับยาย ยายก็ไม่มีเวลาติดตามสอดส่องดูแล ครูก็ไม่มีเวลาอบรมนิสัยใจคอ ทุกคนไม่มีเวลาสำหรับเด็ก สื่อก็โฆษณาลงไปทำให้เด็กเห็นดีเห็นงามกับพฤติกรรมชวนให้ชิงสุกก่อนห่าม เด็กเลยเอาอย่าง" "โอ..มันเหมือนทุกคนโดนตบหน้าฉาดใหญ่เลยนะคะเนี่ย" "พี่ก็คิดอย่างนั้น แต่ดูเหมือนไม่มีใครกลับมาทบทวนตัวเองกันเลย มีแต่วิ่งไปข้างหน้า ตะกายฝันว่าจะร่ำรวย โดยที่ไม่คิดว่า วันนั้นคิอวันที่ได้สูญเสียคุณค่าของความสุขของครอบครัวไปแล้ว" "มีคนเคยถามผมว่าเราจะแก้ปัญหานี้อย่างไร" "แล้วเอ็งตอบเขาว่าอย่างไร" "ผมไม่มีคำตอบสำหรับเขา ผมมีแต่คำถาม ผมถามว่าทำไมพ่อแม่ต้องเลี้ยงลูกด้วยเงิน ทำไมพ่อแม่ต้องไปจากบ้าน ทำไมครูอาจารย์จึงสอนแต่หนังสือแต่ไม่สอนชีวิต สื่อสารมวลชนจึงคิดถึงแต่เงินไม่คิดถึงคุณภาพของสังคมไม่คิดถึงคุณธรรมจริยธรรมของสังคมและอีกหลายคำถาม" "แล้วเขาตอบเองไหม" "ไม่ครับ" "นั่นไง ทุกคนก็เหมือนกันตรงที่เรียกร้องเอาคำตอบจากคนอื่น เรียกร้องคาดหวังให้คนอื่นเป็นฝ่ายแก้ โดยที่ตัวเองก็ไม่ลงมือทำ คำตอบมันง่ายนิดเดียว เริ่มตรงไหนก่อนก็ได้ เพราะมันกระทบกันไปหมด" "งั้นอันแรก หยุดเลี้ยงลูกด้วยเงินนั้นก็ได้" "ใช่..ก็ได้ ถ้าเราเลิกให้เงินมีคุณค่ากว่าความเป็นมนุษย์เราก็จะมองมันด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป เราจะมองคนรวยแต่ขี้โกงด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป เราจะมองการเลี้ยงลูกด้วยเงินของเราเองด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป เราจะกลับมาสนใจคนในครอบครัวมากขึ้น เลี้ยงดูเขา เอาใจใส่ได้มากขึ้น" "สังคมเลวร้ายไม่ใช่เราไม่มีส่วนทำให้มันเลวร้าย" "ถูกต้อง... เราแห่ไปตาม ๆ กัน เห็นอ้ายหมอนั่นรวยก็อยากรวยอย่างมัน นับถือมันทั้งที่มันฉ้อฉลเอาจากคนอื่น ๆ ดิ้นรนสายตัวแทบขาดเพื่อที่จะรวยจนลืมถามลูกว่า จริง ๆ ลูกต้องการความรักความเอาใจใส่ดูแลหรือต้องการแค่เงิน" "อา...ผมเห็นแจ้งแล้วจริง ๆ หนอ แต่ว่าสังคมของเราไปไกลมากเลยนะครับ" "ใช่..มันไปไกลมาก จนไปเห็นทางตัน ไม่กลับก็ไปต่อไม่ได้" "หนทางเดียวที่เหลืออยู่คือหันกลับมาทบทวน สถานการณ์มันบีบทุกคนเอง" "ถูกต้อง...."
27 ธันวาคม 2551 14:55 น. - comment id 103017
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/poem121761.html วัฒนธรรมความเข้มแข็งของครอบครัว จะถูกครอบงำโดยความเจริญ ทางวัตถุ เพราะคนมุ่งรวย มิได้เฉลียวใจว่ารวยมิได้ สุขใจแต่เป็นเพียงแค่สุขกาย คือสะดวกสบายเท่านั้น แต่ใจจะยิ่งโหยหาและบอบบาง โลกแห่งผีเปรตไงกินไม่รู้พอ
27 ธันวาคม 2551 15:03 น. - comment id 103018
ขอบคุณครับคุณกันนา ดีใจที่คุณแวะมาทักทาย
27 ธันวาคม 2551 15:28 น. - comment id 103019
บางทีเราก็ลืมสิ่งที่สำคัญที่สุดของคำว่า "ครอบครัว" ไปจริงๆ ครับ ชัยชนะที่ได้มา หากต้องแลกกับความพังทลายของครอบครัว มันช่างเป็นชัยชนะที่ น่าเสียใจที่สุดครับ ขอบคุณสำหรับเรื่องสั้นดีๆ ครับ
27 ธันวาคม 2551 15:30 น. - comment id 103020
.....โฆ พี่ก่อพงษ์ มาได้ไงคะเนี่ย หายไปนานเลยนะคะ วันก่อนยังพูดกับพี่อีกคนว่า พี่ก่อพงษ์หายไปนานมากๆ ยังอ่านคอมเม้นท์ที่พี่เคยเม้นท์ให้ฉางน้อยแล้วยิ้มคะ พี่สบายดีไหมคะ อย่าหายบ่อยน๊า แหมๆ ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆคะ
27 ธันวาคม 2551 18:24 น. - comment id 103022
ขอบคุณครับคุณเอื้องคำ ผมเห็นด้วยกับที่คุณว่านะครับ บางทีส่วนหนึ่งที่ทำให้อะไรเลวร้ายกว่าที่คาดเป็นเพราะเราไม่รู้จักความพอดีครับ ทักทายคุณฉางน้อย ขอบคุณมากที่ยังจดจำกันได้ ผมมีความสุขที่ได้คุยกับคุณฉางน้อยนะครับ
27 ธันวาคม 2551 21:02 น. - comment id 103024
คิดถึงค่ะ . .:) อ่านเรื่องสั้นของคุณ ติดใจตรงมันเทศเผา หลายครั้งหลายหนแล้ว ที่เวลาไปแคมปิ้งในป่าตามดอย ร่ำ ๆ จะพกมันเทศไปเผากินให้ฉ่ำกับบรรยากาศ ได้แต่คิด นะ .. ยังไม่เคยทำซักที ..
27 ธันวาคม 2551 21:20 น. - comment id 103025
ขอบคุณครับคุณอัลมิตรา มิตรของผม บรรยากาศแคมปิ้ง ถ้ามีอะไรทำแบบนั้น น่าจะทำให้มีความสุขและคิดถึงแล้วเอมใจ ผมเคยไปเที่ยวกับเพื่อน ไม่ได้เผามันเทศกิน แต่จับปลา ชื่อ ปลาหลาด ตัวเหมือนปลาหลด แต่ตัวเขื่องกว่า และมีลายจุดสะดุดตากว่า เอามาเคล้าเกลือและย่างจนสุกหอมกรุ่น กินกะน้ำพริกที่เขาขายสำเร็จรูปกะข้าวเหนียวที่หาซื้อเอาในตลาด ผมนึกถึงตอนที่ลงเบ็ดกับเพื่อนแล้วก็ได้อมยิ้มในท่าทางเก้กังแต่ตื่นเต้นของเพื่อนชาวกรุงเทพ เบ็ดของเขาติดปลามากกว่าของผมอีก ตอนนั้นเราไปเที่ยวกันแถวพิษณุโลกครับ น่าจะเป็นแถวน้ำตกวังทองอะไรนี่แหละครับ
27 ธันวาคม 2551 21:52 น. - comment id 103026
เคยได้ปลามา 1 ตัว ค่ะ จากท้องทะเล คราวไปเกาะกุฏี จะบอกว่าตกปลาเองก็พูดไม่ได้เต็มปากนัก เพราะเจ้าของเบ็ดตกปลา ฝากคันเบ็ดไว้ ตัวเขาไปชงกาแฟดื่ม อัลมิตราก็ถือคันเบ็ดไว้ระยะหนึ่ง รู้สึกหนัก ๆ เหมือนถูกลาก กลัวแต่ว่าช่วงนั้นคลื่นลมแรง จะไปพันกับเศษอะไรในทะเลหรือหินโสโครก ที่ไหนได้ ปลากระเบนตัวเขื่องดันถึงคราวเคราะห์ มิวายถูกค่อนว่าทำบาปตกปลา โอ้ละหนอ .. ถือเบ็ดเฉย ๆ เองนะเนี่ย ไส้เดือน เหยื่อปลา เคยแตะต้องซะที่ไหนกัน
27 ธันวาคม 2551 22:15 น. - comment id 103027
ฮา.. ความจริงผมก็ทำบาปไม่ค่อยขึ้นนักครับ แต่คงเป็นคราวเคราะห์ของปลาอย่างที่คุณอัลมิตราว่า เบ็ดฝรั่งนี่ผมเพิ่มมาเรียนรู้และซื้อหามาใช้เมื่อปีที่แล้ว ก่อนหน้านี้เคยแต่อ่านเรื่องตกปลาในหนังสือของอาจารย์เสกสรรค์ ประเสิรฐกุล ก็ไม่รู้สึกรู้สมในคุณค่าและความหมายของเบ็ดซักเท่าไร ณ วันนี้ผมรู้พอเลา ๆ แล้วว่าการตกปลาสอนเราได้หลายอย่างไม่ว่าจะเป็นศิลปะของการรอคอยและการอ่อยเหยื่อ แต่จริง ๆ ผมเลี้ยงชีวิตของตัวเองมากว่า หมายความว่าผมหาปลาเลี้ยงชีพ ผมไม่ได้ทำเพื่อการกีฬาหรือการเลี้ยงอัตตาของตัวเอง ความสุของการตกปลาคือการได้ปลามาทำกับข้าวมื้อนัน้น ๆ และการได้เข้าใจสัจจะข้อหนึ่งที่ว่าสมหวังกับผิดหวังนั้นเป็นของคู่กันที่จะสลับสับเปลี่ยนมาให้เราได้ส่งยิ้มให้ ครั้งแรกที่ลงเบ็ดฝรั่ง ผมได้ยี่สกเทศขนาด 5.35 กิโลครับ หลังจากนั้นได้แต่ตะเพียนตัวเล็ก ๆ ก็พออยู่พอกินดีครับ ฮา
27 ธันวาคม 2551 22:24 น. - comment id 103029
เคยอ่านหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นค่ะ เกี่ยวกับเด็กน้อยคนหนึ่งที่ชื่นชอบการตกปลา ในวิถีของคนตกปลา ก็เป็นศาสตร์อีกแขนงหนึ่งที่ให้แง่คิดหลายอย่าง ความอดทน สมาธิ ต้องมีแน่นอน การที่เด็กน้อยคนนั้นจะตกปลาได้ ก็ต้องเรียนรู้นิสัยใจคอของปลาแต่ละชนิด อ่านแล้วก็เพลินดีเหมือนกันค่ะ ได้ความรู้จากสิ่งที่ไกลตัว ชีวิตของคุณก่อพงษ์ก็เหมือนกัน สภาพแตกต่างจากอัลมิตรามาก ในหลายเรื่องที่คุณก่อพงษ์เล่านั้น ทำให้อัลมิตราเกิดภาพคล้อยคิดด้วย นี่ .. แอบเมาท์ช้างใหญ่กัน เชื่อป่ะ พรุ่งนี้เช้า เขาจะมาแอบอ่านเรื่องสั้นชุดนี้ อ๊ะ .. อย่าเพิ่งงง คนที่ชื่อเป็นตัวเลขหลักร้อยหลักพันนั่นแล
27 ธันวาคม 2551 22:35 น. - comment id 103031
จริงครับ นิสัยใจคอหรือธรรมชาติของเขาเป็นสิ่งที่เราต้องสังเกตให้รู้จัก เท่าที่ผมสัมผัสมาช่วงหนึ่ง ปลาแต่ละชนิดกินเหยื่อที่ระดับความลึกแตกต่างกัน กลิ่นของอาหารก็มีผลต่อโอกาสในการได้ปลา กับปลาก็เรียนรู้ที่จะหลีกเลี่ยงภัยของเบ็ดได้เหมือนกัน เชื่อไหมครับ ตอนที่ยังไม่ลงเบ็ด ผมกำรำเอามือจุ่มลงน้ำปลาเข้ามาใกล้ให้ลูบหลังได้เลย แต่พอถือเบ็ดฝรั่งมาเท่านั้นแหละยังไม่หย่อนตะกร้อเหยื่อลงน้ำพวกเขาก็แตกกระเจิงกันไปหมดแทบจะทันที ผมนึกแล้วยังขำครับ ____ อ๋อ..คุณร้อยแปดพันเก้า หรือครับ ผมดีใจจังที่จะได้พูดคุยกันอีก ฝากความระลึกถึง ถึงคุณร้อยแปดพันเก้าด้วยครับ
27 ธันวาคม 2551 22:40 น. - comment id 103032
ง่วงแหล่วววว !! .. รายนั้นเขาจะซุ่มอ่านค่ะ โจทก์แยะ ฮา .. ไม่หรอก ล้อเล่น ราตรีสวัสดิ์นะคะ และฝากราตรีสวัสดิ์อีกสองหนุ่มด้วยค่ะ
27 ธันวาคม 2551 22:43 น. - comment id 103033
:) x 2 ขอบคุณแทนลมตะวันกับปานตะเว็นด้วย ราตรีสวัสดิ์ครับผม
28 ธันวาคม 2551 10:35 น. - comment id 103048
สวัสดีค่ะ พี่ก่อพงษ์ ดอกบัวดัใจจังที่ได้อ่านงานของพี่ก่อพงษ์ พี่ก่อพงษ์ และครอบครัวสบายดีนะค่ะ ดอกบัวอ่านงานของพี่ก่อพงษ์สองชิ้นนี้ และคุณเสียตรงนี้ที่เดียวไปเลยนะค่ะ ดอกบัวมองความเป็นอยู่ครอบครัวรอบข้าง ทั้ง ชนบท และในเมือง เวลาลูกๆเกเร ก็จะโทษว่าเป็นเพราะพ่อแม่ ไม่มีเวลาใกล้ชิดลูกๆ ยิ่งสังคมในเมือง ที่พ่อแม่ เป็นมนุษย์เงินเดือน หรือเป็นเจ้าของบริษัทร้านค้า เวลาที่จะจุนเจือครอบครัวย่อมน้อยลงไป เพราะฉะนั้น แต่ละครอบครัวต้องปรับระบบ ในครอบครัวให้ได้ หนึ่ง อาทิตย์แบ่งเวลาให้ครอบครัวสักวันสองวัน สอนลูกๆให้อยู่ในระบบด้วยความรักความเข้าใจซึ่งกัน และสังคมต้องมีความรับผิดชอบต่อประชากรครอบครัว ด้วยการป้องกัน ดูแล สื่อสารทุกชนิด เพราะปัญหาครอบครัวปัจจุบัน ครอบคุมไปทั่ว ปัญหาเยาวชน ที่ได้รับข่าวสาร เห็นพฤติกรรมที่ออกมาทางสื่อ แล้วทำตาม สังคมเมืองหลวง มีสิ่งที่ยั่วยุต่อเยาวชนมากมาย ทั้งทีวี อินเตอร์เน็ตและตามห้าง พ่อแม่จะต้องสอนลูกๆด้วยความรักและเหตุผล คุณครู ชี้แนะ ให้ความรู้ ทั้ง โทษของพิษภัย และความดีที่อยู่ในครรลอง การเพาะบ่มเยาวชนต้องเริ่มตั้งแต่ อยู่ในท้องของแม่เป็นหน้าที่ในครอบครัว เป็นต้นมา สังคมปัจจุบันไม่เหมือนสมัยปู่ย่าตายาย สมัยนี้ไฮเทคเยอะจัง ยอดผักถ้าดูแลดีๆทุกฤดูกาลก็จะได้ลิ้มลองผักอวบๆตลอด ยอดคนก็เช่นกันน้อยนักที่จะได้ยอดคนที่มีคุณค่า แต่ก็ภาวนาขอให้ประเทศ ปลอดภัยด้วยมือของคนไทยทั้งชาติ ผสมผสานหล่อหลอมให้ทุกๆคนรักผืนแผ่นดินบ้านเกิดด้วยความเมตตาซึ่งกัน แล้วเราจะเป็นยอดคนที่ผนึกกำลังร่วมกันค่ะ ดอกบัวขอให้พี่ก่อพงษ์และครอบครัว ร่มเย็นเป็นสุข มีสุขภาพแข็งแรง เจริญรุ่งเรืองตลอดปีและตลอดไปค่ะ
28 ธันวาคม 2551 12:55 น. - comment id 103051
ขอบคุณครับน้องดอกบัว แนวคิดที่น้องดอกบัวเสนอน่านิยมครับ พี่คิดว่าหากพ่อแม่มีทัศนคติที่ดีที่ถูกต้องต่อชีวิตและโลก เขาก็น่าจะเลี้ยงลูกและสอนลูกให้เติบโตขึ้นมาเป็นคนที่มีคุณค่ายิ่งต่อเขาเอง สังคมและโลก เวลานี้โลกของเราต้องการความกรุณาและใส่ใจอย่างยิ่งจากทุกคน หาไม่โลกก็จะรุ่มร้อนจนเราอยู่อย่างเยือกเย็นไม่ได้ พรอันเลิศขอจงบังเกิดเป็นผลสัมฤทธิ์แด่น้องดอกบัวเช่นกันครับ
30 ธันวาคม 2551 18:52 น. - comment id 103103
แอบมาอ่านหลายรอบ ถือโอกาสนี้ขอให้คุณและครอบครัวมีแต่ความสุขคิดอะไรสมปรารถนา ตลอดปีและตลอดไปในชีวิตค่ะ
30 ธันวาคม 2551 22:21 น. - comment id 103108
ขอบคุณครับคุณกระต่ายใต้เงาจันทร์ ผมดีใจมากที่ทราบว่าคุณอ่านเรื่องที่ผมเขียน พรอันประเสริฐจงเป็นของคุณเช่นกันนะครับ