การเขียนบทกวี ถือได้ว่าเป็นงานศิลปะที่ต้องใช้ความรู้สึก องค์ความรู้ ถ่ายทอดผ่านถ้อยคำและภาษา เพื่อสื่อให้ผู้อ่านได้รับสารที่กวีส่งถึงโดย มีความเข้าใจหลังจากได้รับสารนั้นๆ แล้ว ซึ่งอาจเป็น กาพย์ กลอน โคลง ฉันท ์ ร่าย หรืออื่นๆ ซึ่งในตำราที่ผู้สนใจศึกษาดูจะเห็นว่า มีลักษณะเหมือนกันคือ มีแต่รูปแบบของฉันทลักษณ์ของแต่ประเภทร้อยกรอง ซึ่งเหมือนไม่อาจบอกอะไรได้มากกว่านั้น ซึ่งตัวผู้เขียนเองก็ศึกษาจาก กระบวนการเริ่มต้นนี้เช่นกัน แต่เมื่อได้ลองลงมือเขียนแล้วจริงๆ จึงได้รู้ว่าบทกวี ไม่ได้มีแค่ฉันทลักษณ์ที่งดงามอย่างเดียวเท่านั้น บทกวีมีหลายสิ่งหลายอย่าง เท่าที่ผู้เขียนรู้สึกได้นั้น ได้แก่ ความมีชีวิตของคำและภาษาที่กวีสื่อออกมา, ความเคลื่อนไหวหรือความมีชีวิตของถ้อยคำ, ความยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจมีในที่อื่นๆ เป็นต้น ซึ่งตัวผู้เขียนเองเรียนรู้ผ่านหลายๆ วิธี โดยเริ่มตั้งแต่การศึกษาฉันทลักษณ์ที่มีอยู่ต ามที่กล่าวไปแล้ว , การหางานกวีรุ่นเก่า-รุ่นใหม่ มาอ่านให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้, การได้แลกเปลี่ยนพูดคุยกับกวีหรือนักเขียน เท่าที่มีโอกาส เนื่องจากว่าในมุมมอง-วิธีคิดและการมองโลก ของนักเขียนมีอะไรที่น่าสนใจ (แต่ก็ต้องดูว่ามุมมองนั้นสร้างสรรค์หรือทำลายนะ) ซึ่งทั้งหมดนี้เมื่อผ่านเวลาไปสักพักหนึ่ง คนเขียนจะเริ่มเห็นแนวทางและความชัดเจน ในการเขียนมากขึ้น แต่หมายความว่าผู้ที่จะเป็นนักเขียนต้องมี การฝึกฝนอย่างจริงจังด้วยประการหนึ่ง ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ คล้ายว่าเป็นพื้นฐานที่คนเขียนหนังสือหรือบทกวี ต้องเริ่มพร้อมๆ กัน ในส่วนอื่นๆ ผู้เขียนเอง พอจะรวบรวมเป็นประเด็นไว้บ้าง ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ กับผู้ที่สนใจได้บ้าง ดังนี้ 1. เป็นคนช่างสังเกต การเป็นคนช่างสังเกตจะทำให้เรามองเห็นในเรื่องราวต่างๆ ต่างไปจากคนทั่วไป เช่นว่า ในการเดินทางของเรา เมื่อเราเห็นต้นไผ่ริมทางเราอาจมองให้ลึกซึ้งว่า ไผ่ไหวเอนหรือไม่ ไหวเอนเพราะอะไร ให้ความรู้สึกอย่างไร ดินมีสภาพอย่างไร ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งประเด็นจากที่เราเริ่มหัดสังเกต จะผลต่อไปในอนาคตว่าเราจะสามารถ เชื่อมโยงสิ่งที่เราสังเกตนี้เข้ากับโลกนี้ได้อย่างไร เช่น ต้นไผ่ มีที่ไปที่มาอย่างไร ไผ่เปรียบได้กับอะไร ไผ่ช่วยโลกและสัมพันธ์กับโลกนี้ได้อย่างไรบ้าง ไผ่ทำให้คนมีน้ำกิน มีที่อยู่อาศัย มีอาหารได้อย่างไร เช่นที่ อาจารย์เนาวรัตน์เขียนไว้ว่า ใบไผ่ไหวตะวัน ก็ลองไปหาคำตอบดูว่าเป็นอย่างไร 2. พยายามใช้ความรู้สึกเข้าไปจับ หมายความว่า ให้สมมติว่าถ้าเราเป็นสิ่งนั้น เราจะคิดอย่างไร อย่างที่วิสุทธิ์ ขาวเนียม เขียนไว้ในบทกวี ที่ชื่อว่า เสียงผีเสื้อว่า มาเริงรำด้วยกันกับฉันสิ ถ้าเราอ่านดีด ี จะเห็นว่า กวีกำลังเป็นผีเสื้อแล้ว ความรู้สึกอย่างนี้ต้องพยายามทำให้เกิดให้ได้ในงานเขียน 3. กระบวนการคิดและลำดับเรื่องราว ตรงนี้นับว่ามีความสำคัญมาก เนื่องจากงานเขียนเป็นงาน ที่สื่อความคิดเป็นภาษา ดังนั้นถ้าความคิดของผู้เขียนไม่ชัดจะทำให้คนอ่านสับสนไปด้วย ผู้เขียนจะต้องคิดและลำดับ เรื่องราวให้ถี่ถ้วน ซึ่งในช่วงแรกๆ อาจยากจนทำให้หลายคนวางปากกาไปเลยก็มี ซึ่งถ้าจะยกตัวอย่างที่ไม่ชัดก็มีเช่น เมื่อเดินทางมาพบประสบรัก อยู่ริมทางศาลาพัก คนเศร้าหงอย คงคาไหลเลื่อนเล่นกระทงลอย แล้วค่อยค่อยเอื้อมเก็บดอกหญ้าดม จะเห็นว่าสัมผัสได้ตามฉันทลักษณ์ กลอนสุภาพเป็นอย่างดีแต่อ่านเนื้อหาแล้วอยู่คนละเรื่องกันเป็นต้น ซึ่งถ้าจะยกตัวอย่างกลอนที่เป็นเอกภาพเช่น พับยาเส้นใบจากเชี่ยนหมากไม้ ผู้เฒ่าชราวัยนัยตาฝัน ชานบ้านไม้ครึคร่ำยามเย็นนั้น มวลใบจากอวลควันตะวันพลบ อย่างนี้เป็นต้น 4. การเลือกใช้คำ และภาษา เมื่อเราผ่านกระบวนการคิดในประเด็นที่เราจะเขียนถึงแล้ว ต่อไปก็เป็นการเลือกคำมาใช้ให้เหมาะกับ เหตุการณ์ที่เราคิดไว้ เช่น ถ้าเราเขียนกลอนถึงเรื่องรัก เราก็ควรที่จะใช้คำหวานๆ ถ้าเราเขียนถึงเรื่องอดีต ก็ควรใช้คำที่เป็นอดีตบ้างเพื่อให้เห็นภาพของเมื่อวาน เป็นต้น ซึ่งการเลือกใช้คำนี้ ควรที่จะให้คำทุกคำได้ทำงานเนื่องจากบทกวีมีข้อจำกัดในการใช้คำ ดังนั้นทุกคำควรเป็นคำที่มีความหมายที่คัดแล้วและวางได้อย่างถูกที่ 5. การหาความรู้เพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลา โดยส่วนตัวแล้วนักเขียนควรมีความรู้ที่กว้างและลึก -รู้รอบและกว้าง เนื่องจากทุกเรื่องราวเป็นประโยชน์ ในงานเขียนของเราทั้งสิ้น ดังนั้น ไม่ว่าทางไหนที่จะเป็นประโยชน์กับเราต้องขวนขวายหามาเก็บไว้ ไม่ว่าจะเป็น การอ่านหนังสือทุกประเภทเท่าที่จะหาได้ ดูข่าว ฟังเพลง ดูหนัง เที่ยว พูดคุย ฯลฯ โดยให้สังเกต การใช้คำจากที่ต่างๆ ซึ่งในวันข้างหน้ารับรองได้ว่า จะเป็นประโยชน์แน่นอน 6. การจดบันทึก การจดบันทึกเป็นการเก็บความรู้สึก ได้ดีที่สุดวิธีหนึ่ง เมื่อเราผ่านเวลาไปนานๆ แล้วเราได้กลับมาอ่านบันทึกเราจะได้ความรู้สึกนั้น กลับมาด้วยไม่เชื่อลองดู ทั้งหมดนี้เป็นประเด็นที่ผู้เขียนเองปฏิบัติอยู่ ซึ่งก็ยังไม่สมบูรณ์ทุกกระบวนการ และบางประเด็นก็อยู่ในช่วงที่ฝึกฝนอยู่ ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมดอยู่ที่การฝึกฝน และความรักที่จะลงมือทำอย่างจริงจัง ผู้เขียนมีความเชื่อว่า ในความธรรมดาของบทกวีเรา จะพบความยิ่งใหญ่อัศจรรย์อยู่ในนั้น ซึ่งไม่อาจอธิบายได้อย่างในตำราซึ่ง คงอยู่ไม่ไกลแล้วจริงๆ . ต้นกล้า
23 ธันวาคม 2551 19:21 น. - comment id 102993
น่าสนใจเทคนิคการเขียนบทกวีนะคะ แต่ไม่ชำนาญการเขียนบทกวีคะ ขออ่านไปเป้นความรุ้นะคะ
25 ธันวาคม 2551 16:39 น. - comment id 103012
ขอบคุณค่ะ ชอบอ่านกวีค่ะ มันต้องใช้ความรู้สึกนำทาง สนุกดีค่ะ อิอิ แต่เขียนไม่เป็น อิอิ
29 ธันวาคม 2551 21:55 น. - comment id 103083
ขอบคุณครับ
29 ธันวาคม 2551 22:55 น. - comment id 103086
อธิบายได้ดี เห็นด้วยทุกประการที่บอกสำหรับคนรักศิลปะการเขียน ที่สำคัญน่าจะต้องฝึก และอ่านรวมทั้งคิดและฝันออกมาเป็นตัวอักษร ดีมากคับกับเทคนิคต่างๆที่บรรยายมา