เขาเป็นตำรวจชั้นประทวน ยศจ่าสิบตำรวจ มีชื่อจริงที่พ่อและแม่ตั้งให้ แสนจะไพเราะเพราะพริ้ง และเป็นศิริมงคลแก่ชีวิตเป็นอย่างยิ่ง คือ “ บุญรวย “ …จ่าสิบตำรวจบุญรวย แต่ไม่ใคร่มีใคร เรียกชื่อจริงของเขา และ มีน้อยคนนักที่จะรู้จักชื่อจริง ส่วนมากทั้งตำรวจและชาวบ้านทั่วไป จะเรียกเขากันติดปากว่า จ่าฉี ไม่มีใครทีไม่รู้จักตำรวจผู้นี้ เขาเป็นผู้มีผลงานมากมาย มีสถิติการจับกุมคดีต่าง ๆ มาอย่างโชกโชน คดียาเสพติด โดยเฉพาะคดีตาม พระราชบัญญัติการพนันทุกประเภท เขามีผลการจับกุมมากมาเป็นอันดับหนึ่งของโรงพัก และทั่วจังหวัดนี้เลยก็ว่าได้ เขาเป็นตำรวจที่มีความขยันขันแข็ง อารมณ์ดี มีเพื่อนฝูงรักใคร่ชอบพอกันมากมาย ถึงจะจับกุม กระทบกระทั่งกับชาวบ้านมามากต่อมาก แต่เพราะเขาเป็นคนพูดเก่ง มีมนุษย์สัมพันธ์ดี ปากหวาน ก็ลดกระแสการเกลียดชังไปได้พอสมควร ก่อนที่จะมากล่าวเล่าเรื่องราว เรื่องการทำงานของตำรวจน้ำดีคนนี้ จะขอเล่าประวัติความเป็นมาของเขาเสียก่อนพอหอมปากหอมคอ จ่าบุญรวย หรือจ่าฉี นั้นอายุประมาณสี่สิบเศษ ๆ เศษไปอีกเกือบแปดปี เขาแต่งเครื่องแบบสะอาดสะอ้าน ติดเครื่องหมาย แถบเหรียญต่าง ๆ เต็มหน้าอกทั้งสองข้าง เป็นตำรวจเจ้าสำอาง แลดูจึงไม่ค่อยจะแก่ไปตามอายุขัย และอันที่จริง วงการตำรวจนั้น จะไม่มีใครยอมเป็นคนแก่ ไม่มีค่ำว่า ลุง น้า ..มีแต่คำว่า พี่กับน้องเท่านั้น เพราะแม้หลายคน อายุจะใกล้เกษียณแล้วก็ตาม เด็กรุ่นน้องก็ต้องเรียกว่า พี่ ห้ามมีใครเรียกใครที่มีอายุแก่กว่าพ่อ ว่าลุงเป็นอันขาด นี่เป็นข้อห้ามโดยพฤตินัย มิได้เป็นลายลักษณ์อักษร ของวงการสีกากีเลยทีเดียว ถ้าใครตะขิดตะขวงใจที่จะเรียกคนที่มีอายุแก่กว่าพ่อ ว่าพี่แล้ว ก็จะเปลี่ยนไปเรียก ยศนำหน้า ตามด้วยชื่อจริง หรือชื่อเล่น อย่างเช่น ผู้หมวดตู้ ผู้กองนัด หรือจ่าฉี เป็นต้น เมื่อประมาณ ๓๐ ปี ที่แล้ว จ่าฉี ได้รับการบรรจุเป็นพลตำรวจใหม่ ๆ ไม่ได้มีชื่อเล่นว่า ฉี แต่อย่างใด ก่อนนั้นพ่อแม่ตั้งชื่อเล่นให้เขามาแต่เด็ก ว่า “ น้อย “ แต่ไม่มีใครเรียกชื่อเล่นนี้ ตั้งแต่เขาเข้ามารับราชการเป็นตำรวจ กลับมาเรียกชื่อเล่นว่า จ่าฉี แทน ส่วนคำว่าฉี นั้นมันมีที่มาที่ไป โดยในขณะนั้นมีหนังจีนกำลังภายในที่ฉายทางทีวี อยู่เรื่องหนึ่ง ดังมาก ๆ คือเรื่องกระบี่ไร้เทียมทาน ติดกันงอมแงม ทั่วบ้านทั่วเมือง รวมทั้งจ่าฉี คนหนึ่งด้วย พระเอกนั้น ชื่อเสียงโด่งดัง ชื่อว่า ฉี เส้า เฉียน หนังจะ ออกฉายทางทีวี ตอนประมาณสามทุ่มกว่า ๆ จ่าฉี แกชอบเรื่องนี้มาก และชอบพระเอกสุดเท่ห์คนนั้นด้วย อยู่มาคืนหนึ่ง ก็เกิดเรื่อง เมื่อจ่าฉี ได้เวลาไปรับหน้าที่เวรยามต่อจากเพื่อนที่โรงพัก แต่มันบังเอิญที่ทีวีโรงพักมันเกิดเสียมาตั้งแต่ช่วงกลางวัน จ่าฉี จึงเบี้ยวไม่ยอมมารับเวรให้ตรงเวลา เพราะมัวแต่ดูหนังจีนให้จบก่อน เลยถูกหัวหน้าโรงพักสั่งลงทัณฑ์ ขัง ในห้องขัง มีกำหนด ๗ วัน เนื่องจากขาดเวรยาม ตั้งแต่นั้น เพื่อนตำรวจก็เลยตั้งชื่อใหม่ให้ และเรียกเขาว่า จ่าฉี เส้า เฉียน แต่นั้นมา แต่เพราะชื่อมันยาวเกินไป เรียกยาก ก็เลยเรียกกันสั้น ๆ ง่าย ๆ กันติดปากว่า จ่าฉี มันจึงเป็นเช่นนี้แล จ่าฉี มีตำแหน่งหน้าที่ปฏิบัติเป็นสายตรวจรถยนต์ ถ้าวันไหนผู้หมวดว่างก็จะนั่งรถไปด้วยกัน ถ้าไม่ว่างก็จะให้จ่าฉี ไปกับลูกน้อง คอยออกตรวจตรา รับผิดชอบทั้งเขตอำเภอ เขามีนิสัยตำรวจอย่างหนึ่งก็คือ ชอบสงสัย ในทุก ๆ สิ่ง ทุก ๆอย่าง รอบ ๆ ข้าง โดยมักจะพูดติดตลกว่า “ ตำรวจนั้นต้องสงสัยไว้ก่อน ถ้าตำรวจสงสัยให้จับ ….แต่ถ้าศาลสงสัย ให้ปล่อย (ผู้กระทำผิด) และเพราะความเป็นคนขี้สงสัยนั้นเอง จ่าฉี จึงมีผลงานการจับกุม ปรากฏให้เห็นมากมาย จนได้รับโล่เป็นตำรวจดีเด่นติดต่อกันมาหลายปี เมื่อออกตรวจท้องที่ เขาจะให้พลขับขับตระเวนไปตามถนนสายต่าง ๆ ทั้งตรอกซอกซอยเล็ก ๆ สอดส่ายตาแลหาผู้กระทำผิดกฎหมาย ถ้าผ่านไปหน้าบ้านหลังใด ถ้าเห็นมีรถจักรยานยนต์ รถยนต์ หลายคัน จอดอยู่แถวบริเวณใกล้ ๆ เห็นผิดปกติ หรือ ที่หน้าบ้านหลังใด มีรองเท้าวางอยู่หลาย ๆ คู่ แต่ไม่เห็นคนปรากฏกายอยู่บริเวณดังกล่าว ก็ให้สันนิษฐานไว้เลยว่า แถบบ้านใกล้เคียงบริเวณดังกล่าว จะมีคนเล่นการพนันกัน ไม่หลังใดก็หลังหนึ่ง เขาจะจอดรถพากำลังไปตรวจสอบ แล้วก็พบคนเลนการพนันกันเป็นประจำ จะพูดว่าความสงสัยของเขานั้นมีประโยชน์มากทีเดียว วันนี้ เขากับผู้หมวดและลูกน้องอีกสองคน นั่งรถยนต์ตราโล่ ออกตรวจไปตามเส้นทางหลังสถานีรถไฟ เมื่อผ่านเลยตึกอาคารคูหาสามชั้นที่กำลังก่อสร้าง และเห็นบ้านไม้หลังหนึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน จ่าฉี เอามือตบหลังพลขับ แล้วบอกให้หยุดรถ เมื่อหันไปเห็นหน้าบ้านดังกล่าว ประตูหน้าบ้านเปิดแง้มอยู่ เห็นมีผู้คนหันหลังให้ ลักษณะเหมือนกำลังล้อมวงกัน ก้มหน้าก้มตาทำอะไรสักอย่าง …. รองเท้าแตะหน้าห้อง มีประมาณเกือบยี่สิบคู่ “ น่าจะเล่นป๊อกเด้ง หรือไม่ ก็ไฮโลว์ “ จ่าฉี บอกผู้หมวด พร้อมกับมองสังเกตการณ์ ไปยังจุดบริเวณดังกล่าว ซึ่งอยู่ห่างจากที่รถจอดประมาณ ๑๐๐ เมตร ผู้หมวดกับพวก ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร จ่าฉี เห็นชายคนหนึ่ง เดินก้าวออกจากทางหลังบ้าน ท่าทางมีพิรุธ เดินออกไปด้วยอาการที่เร่งรีบ “ไปผู้หมวด พวกมันรู้ตัวแล้ว “ จ่าฉี พูดพร้อมกับเปิดประตูรถตอนหลัง วิ่งออกไปยังจุดหมายอย่างรวดเร็ว ผู้หมวดพร้อมพลขับ และตำรวจอีกคนหนึ่ง ยังเงอะงะอยู่ในรถ เมื่อผู้หมวดกับพวกเปิดประตูก้าวลงจากรถจะวิ่งตาม จ่าฉีไป พลันก็เห็น และได้ยินเสียงเอะอะ โวยวายดังขึ้น เห็นจ่าฉีกระโดดผ่านประตูเข้าไปในบ้านหลังนั้น ได้ยินเสียงเหมือนถ้วยจานกระทบกันดังสนั่นหวั่นไหว “ ฮ่วย ตำรวจ ทำอะไรกันแหน “ สำเนียงคนอีสานดังกันเซงแซ่ ผู้หมวดพร้อมพวกวิ่งไปถึงหน้าประตูหน้าบ้าน เห็นจ่าฉี นอนล้มคลุกคลานอยู่บนพื้นไม้กระดาน ถ้วย จาน เห็นมีอาหารหลายอย่าง กระจัดกระจาย ระเกะระกะอยู่ จ่าฉี ลุกขึ้นปัดเศษอาหารที่ติดกางเกง ด้วยสีหน้า เจื่อน ๆ ได้กลิ่นส้มตำปลาร้าโชยมาแต่ไกล ปรากฏว่ามันไม่ใช่วงไพ่ แต่คนงานก่อสร้างกำลังตั้งวงเปิบข้าวเหนียวมื้อเที่ยงกันอย่างเอร็ดอร่อยอยู่นั่นเอง แทนที่จะได้นักพนัน จ่าฉี ต้องมาเสียฟอร์ม อย่างที่เห็น ๆ ผู้หมวดและตำรวจอีกสองคนหัวเราะกันดังลั่น หลังจากจ่าฉี กับผู้หมวด ขอโทษขอโพยคนงานแล้ว โดยบอกว่ามีคนแจ้งว่ามีการเล่นการพนันที่นี่ แต่ไม่ดูให้ดี คนงานซึ่งเป็นคนต่างพื้นที่ก็เข้าใจ “ เป็นงัย จ่าฉี ..ทีหลังจะทำอะไร ก็ให้ดูให้ละเอียดเสียก่อน ดีนะที่เขาไม่ร้องเรียน…” ผู้หมวดพูดพร้อมกับยิ้ม ๆ และแซวจ่าฉีต่ออีกว่า “ เฮ้ย …แล้วอย่าลืมเอากระติ๊บข้าวเหนียว ถ้วยส้มตำ ปลาร้า ยึดไปเป็นของกลางด้วยล่ะเด้อ ..อิอิ” หลังจากวันนั้น เป็นต้นมา ข่าวที่จ่าฉี ไปตะครุบวงข้าวเหนียวส้มตำ ก็ดังไปทั้งอำเภอ จนจ่าฉี ต้องหยุดความสงสัย และระงับการไปจับการพนันไปเป็นเดือน ๆ อายจริง ๆ เพื่อน ๆ มันก็แซวอยู่นั่นละ ( 2 ) วันนี้ ผู้หมวด จ่าฉี และตำรวจชั้นประทวนอีกสองคน นั่งรถยนต์ออกตรวจตามปกติ มาจอดรถที่หน้าสถาบันราชภัฎ ฯ ลงไปนั่งดื่มกาแฟ ร้านเจ๊ต้อย ซึ่งเป็นร้านขาประจำ จ่าฉี ชอบชวนผู้หมวดหนุ่มมานั่งที่ร้านนี้ รถชาติอาหาร หรือรสชาติกาแฟ ก็งั้น ๆ แต่จ่าฉี บอกว่าร้านนี้บรรยากาศมันดี และเป็นที่ชุมชนนักศึกษาเยอะ ตำรวจควรจะมานั่งเพื่อให้ความอบอุ่นใจกับประชาชน และเพื่อจะได้พูดคุยกับผู้คน สร้างมวลชนสัมพันธ์ที่ดีกับนักศึกษาและประชาชน ตามนโยบายของหน่วยเหนือ ผู้หมวด พยักหน้ารับฟังเหตุผลของจ่าฉี ที่พูดกะล่อนไปวัน ๆ ด้วยความขบขัน ร้านกาแฟ เจ๊ต้อย ชั้นบนเปิดเป็นหอพักนักศึกษา ตำรวจชอบมานั่งตรวจท้องที่ตรงร้านนี้ เพราะทำเลมันเหมาะ ตั้งอยู่ตรงหน้าประตูใหญ่ มีนักศึกษาและประชาชนเดินไปมาในแต่ละวันมากมาย ขณะที่จ่าฉี และพวกกำลังนั่งพูดคุยกันอย่างสนุกสนานอยู่นั้น พลันก็ได้ยินเสียงมันมีพิรุธ ผิดปกติ ดังมาจากชั้นบน พวกเขาได้ยินเสียงนักศึกษาชายพูด และได้ยินเสียงปรบมือ หรือเสียงโห่ฮาดังขึ้นเป็นระยะ ๆ พอมองออกไปทางหน้าร้าน เห็นนักศึกษาสาว ๆ พอเดินผ่านหน้าร้านก็จะแหงนหน้ามองไปทางชั้นบน แล้วพวกเธอก็จะมองมาที่พวกเขาที่นั่งอยู่ ….มันน่าสงสัย ในพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นยิ่งนัก ผู้หมวดนั้นสงสัยยิ่งหนักกว่าคนอื่น แต่จ่าฉี ดูมีท่าทีเรียบเฉย ไม่เหมือนเมื่อก่อน “ เจ็ดแต้ม “ เสียงนักศึกษาชาย คนหนึ่ง พูดขึ้นมา แล้วก็ได้ยินเสียงอีกคนพูดสวนมาว่า “ ไม่ถึงเจ็ด…หกแต้ม ก็พอ “ เสียงอีกคนบอกว่า “ เจ็ดครึ่ง “ ตำรวจทั้งสี่คนเงียบกริบโดยอัตโนมัติ “ ผมว่า “ แปดแต้ม “ อีกคนพูดขึ้นมาอีก น่าสงสัย เอ๊ะ ทำไมมันพูดคำว่า “ แปด “ แต่ไม่พูดคำว่า “ ป๊อก “ ว่ะ เพราะแปดมันก็ป๊อกนี่หว่า หงายไพ่ได้เลย .. หรือไม่ใช่เล่นป๊อกเด้ง อาจจะเล่นไพ่ผสมสิบ หรือเก้าเก หรือไพ่ประเภทใหม่ ๆ ที่พวกนักศึกษาคิดค้นขึ้นมาเอง แต่มันก็ต้องมีเล่นการพนันอะไรสักอย่างหนึ่งเป็นแน่ ผู้หมวด เอ่ยขึ้นเบา ๆ โดยมีลูกน้อง อีกสองคน พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ส่วนจ่าฉี ส่ายหัวพร้อมพูดกับผู้หมวดว่า “ ผมว่ามีอะไรทะแม่ง ๆ อยู่นะผู้หมวด อาจจะไม่ใช่เล่นการพนันก็ได้ ทำไมมันจึงมีคำว่า “ เจ็ดแต้มครึ่ง “ และ “ สี่แต้ม ..ห้าแต้มครึ่ง การพนันอะไร มีคำว่าแต้มครึ่งอยู่ด้วย ผู้หมวดดูให้ดีก่อนดีกว่า “ คำของจ่าฉี ซึ่งเป็น ผู้ชำนาญการเรื่องการพนัน ไม่ว่าจะเป็นการจับ หรือวิธีการเล่น มันก็น่ารับฟัง แต่ผู้หมวด มั่นใจมาก ถึงกับตำหนิจ่าฉี ว่าไม่มีสมอง ฟังดูก็รู้ว่าต้องเป็นการเล่นการพนันอย่างแน่นอน เดี๋ยวจะต้องขึ้นชั้นบนไปจับมันเลย พวกมันไม่เกรงอกเกรงใจตำรวจเลยสักนิดเดียว รถตราโล่ก็จอดอยู่หน้าร้านเห็นชัดเจน .. แต่เจ๊ต้อย เจ้าของร้านก็ไม่อยู่ ไม่เป็นไร ความผิดซึ่งหน้า ขึ้นไปจับได้อยู่แล้ว แต่จ่าฉี ก็คัดค้านว่าไม่ควรผลีผลาม เพราะเจ้าของร้านออกไปข้างนอก ถ้ามีอะไรผิดพลาดเสียหาย เดี๋ยวเขาจะกล่าวหาว่าตำรวจบุกรุกโดยไม่มีเหตุอันสมควรก็ได้ “ เจ็ดแต้ม …หกแต้มครึ่ง “ เสียงนักศึกษาพูดดังขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะและเสียงปรบมือชอบใจ “ นั่น นั่น นั่น สี่แต้ม หยบอยู่ ( แปลว่า แอบ หรือ ซ่อนอยู่ ) กะว่าจะหลอกกินเจ้ามือ..อิอิ “ แล้วเสียงหัวเราะก็ดังครื้นเครง ผู้หมวดหันไปพูดกับจ่าฉี ว่า ได้ยินชัดเจนแล้วหรือยังว่า เล่นป๊อกเด้ง แน่นอน มีคำว่าเจ้ามือด้วย ไม่ได้ยินรึงัย และแล้วผู้หมวด,พลขับและตำรวจอีกนายหนึ่งก็วิ่งไปทางหลังร้าน รีบวิ่งขึ้นบันไดหลังเพื่อไปยังหอพักชั้นสอง ส่วนจ่าฉี เดินตามไปอย่างช้า ๆ เมื่อไปถึงหน้าห้อง ประตูถูกล๊อกจากด้านใน ผู้หมวดเคาะเปิดประตูเรียกสองสามครั้ง พูดเหมือนกับที่ตำรวจทั่วโลกเขาพูดกันว่า” เปิดประตู พวกเราได้ล้อมตำรวจไว้หมดแล้ว..เอ๊ย ตำรวจได้ล้อมพวกนายไว้หมดแล้ว “ เสียงในห้องที่ดังเกรียวเมื่อสักครู่ เงียบกริบ สักพักหนึ่ง นักศึกษาชาย หนึ่งคน นุ่งกางเกงขาสั้น ไม่ใส่เสื้อ เดินออกมาเปิดประตู โผล่หน้ามามองตำรวจอย่างงุนงง ผู้หมวดกับพวกวิ่งกรูเข้าไปในห้อง พบนักศึกษาชายอีก ๔-๕ คน ยืนออกันที่หน้าระเบียงด้านนอก ..ไม่เห็นมีไพ่ ไหนล่ะผ้าปู พร้อมกับเงินของกลาง เอ๊ะ มันอะไรกันนี่ “ ไหน เล่นอะไรกัน “ ผู้หมวดตะคอกถามนักศึกษาหนุ่มกลุ่มนั้น “ ไพ่อยู่ไหน “ “ พวกผม ไม่ได้เล่นไพ่ครับ..” พวกเขาปฏิเสธ “ คือ…พวกผมกำลังให้แต้มสาวๆ อยู่ครับ..” ผู้หมวดหนุ่มงุนงง ให้นักศึกษาทั้งหมดลงไปคุยข้างล่าง ส่วนจ่าฉี ยิ้มอย่างสะใจ พอจะนึกภาพออกแล้ว ทีใครทีมันละผู้หมวด หลังจากพานักศึกษามาพูดคุยข้างล่าง ความกระจ่างก็เกิดขึ้น นักศึกษาได้อธิบายให้ผู้หมวดฟังอย่างละเอียดว่า วันนี้ เป็นเวลาว่างจากคาบเรียน มาอยู่ที่หอ ก็ไปนั่งที่ระเบียง มองสาว ๆ ที่เดินผ่านไปมาตามประสาวัยรุ่น และภายในกลุ่มของเขาก็จะมานั่งวิพากวิจารณ์ และให้คะแนนสาว ๆ กัน โดยยึดเอาที่คะแนนเต็มสิบ โดยแต่ละคนต่างคนต่างให้คะแนนกัน ลดหลั่นกันลงมา แล้วทั้งหมดก็มาหาค่าเฉลี่ยที่ใกล้เคียงกันว่า สาวคนนั้นคะแนนจะอยู่ที่ระดับกี่แต้ม “ แล้ววิธีการให้ของแต่ละคนนี่ ดูกันยังงัย อ้ายน้อง “ จ่าฉี ถามด้วยความสนใจ “ ก็จะดูหมดเลย จ่า ตั้งแต่หน้าตา ความสวย ผิวพรรณ การเดิน การแต่งกาย “ เขาสาธยายให้ฟัง ระดับสาวราชภัฎอย่างเรานี่ แค่เจ็ดแต้มครึ่ง ก็สวยที่สุดแล้ว ..ถ้าระดับแปด เก้า นั่นต้องพวกหุ่นแบบนางแบบโน่น “ ผู้หมวดชักจะหมั่นไส้ จ่าฉี ชอบจังนะไอ้เรื่องสาว ๆนี่ “ แล้วมาให้แต้มสาว ๆ มันมีประโยชน์ อะไร สู้ไปอ่านหนังสือไม่ดีกว่าหรือ “ เขาตอบผู้หมวดไปว่า ” ก็สนุก ๆ ครับผู้หมวด ไม่มีอะไรเป็นอย่างอื่น และอีกอย่าง ภายในกลุ่มหรือวัยรุ่นด้วยกัน เขาจะพูดจาถึงผู้หญิงเรื่องความสวย เขาจะพูดกันเป็นแต้ม เขาไม่ถามแล้วว่า เด็กเอ็งสวยไหมวะ หุ่นดีไหมว่ะ ทำนองนี้ เขาจะถามว่า “ กี่แต้ม “ เราก็จะตอบเขาเป็นแต้มไปว่า ห้า ..หก..หรือเจ็ดแต้ม ก็จะรู้กัน หรือจินตนาการได้ทันทีว่า หน้าตา หรือหุ่นเป็นอย่างไร อยู่ในระดับไหน “ แหมมันถึงขนาดนั้นเชียว จ่าฉี ชี้ไปที่สาวราชภัฎ คนที่เดินผ่านมา แล้วถามว่า “ คนนั้นกี่แต้ม “ นักศึกษาสองคนตอบพร้อม ๆกัน โดยมิได้นัดหมายว่า “ หกแต้ม “ จ่าฉี ตบท้ายทอยมันเบา ๆ พร้อมกับบอกว่า “ ไอ้ ห่…เอ๊ย กดคะแนนชิบ….ขาว สวย หุ่นดี ให้แค่หก ..น่าจะเจ็ดแต้มนะ พี่ว่า… “ เอ้า จ่าฉี ก็เป็นไปกับเขาด้วย..จ่าฉี บอกน้อง ๆ ว่าเดี๋ยวจะกลับมาศึกษาวิธีการให้แต้มสาว ๆ จากพวกเขาอย่างละเอียดอีกที เพื่อจะได้ไปเล่าให้พวกผู้หญิงทั้งหลายฟังว่า ถ้าใครเดินผ่านกลุ่มวัยรุ่น แล้วถูกแซวเป็นตัวเลขว่า หก..เจ็ด ..แปด.. ก็จะได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ภูมิใจในความสวยของตนเองได้ ว่าตัวเองนั่นเริ่ดจริง ๆ แต่ถ้าได้ยินแค่ สี่หรือห้า ก็ให้ด่าพวกมันได้เลยว่า…พวกแกตาไม่ถึง..กดคะแนนชิบ…อิอิ หลังจากนั้น ทั้งหมดก็นั่งรถยนต์เพื่อกลับโรงพัก ..เมื่อออกตรวจมาที่หน้าสถาบันราชภัฎ วิชาการ ความรู้ได้มาเต็มคันรถ “ เดี๋ยว ผู้หมวด “ จ่าฉี ร้องเอะอะขึ้น “ เราลืมอะไรไปบางอย่าง “ ผู้หมวดถามว่า ลืมอะไรหรือจ่าฉี จ่าฉี พูดสวนออกมาพร้อมกับหัวเราะว่า “ เราลืมยึดของกลางป๊อกเด้ง..งัย …โน่น หกแต้ม เจ็ดแต้ม “ เต็มไปหมด พร้อมกับชี้มือไปที่สาว ๆ ราชภัฎที่เดินผ่าน ผู้หมวดขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพึมพำในลำคอร้องขึ้นว่า “ ไอ้…. จ่าฉี เดี๋ยวเถอะ มึงงงงง..…..”
28 พฤศจิกายน 2551 11:07 น. - comment id 102590
คุณลิลิตเจ้าค่ะ แบมถามหน่อย อยากรู้ว่า จ่าฉี ถูกลงโทษ ลงทัณฑ์ ขังจริงๆเหรอคะ แบมกำลังนั่ง สำรวจตัวเองอยู่ค่ะ ว่าฉานนจะได้กี่แต้ม
28 พฤศจิกายน 2551 16:41 น. - comment id 102592
ถูกขังจริง ๆครับ.อยู่ในห้องขัง..แต่แยกเป็นสัดส่วนกับผุ้ต้องหาทั่ว ๆไป.. คุณแบมครับ...สำรวจเสร็จเมื่อไร บอกด้วย..ว่าป๊อก หรือไม่....อิอิ.. ( ผมว่าสาว ๆห้องกลอน ป๊อก ๆ ทุกคน อิอิ )
29 พฤศจิกายน 2551 20:03 น. - comment id 102600
.....พี่บาวลิตคะ ยอมรับคะว่า อ่านแล้ว ยิ้มเฉยๆ ไม่เข้าใจอยู่ดีไม่ว่า 6แต้ม หรือ 5แต้ม หริอว่า 7 แต้มอะไรแบบเนี๊ยะ เฮ้ออออ......เนอะ ไม่เคยเล่นจริงๆคะ ไม่เคยสัมผัสในวงไพ่ด้วยซิคะ