*+*+*ขวดนมและขวดเหล้า ตอนที่ 1 *+*+*

13 นางมาร

...........แว้ แง้ แง้ อุแง้ อุแง้ เสียงเด็กอ่อนในเปลแผดเสียงร้องดังขึ้นดังขึ้น หน้าตาแดงก่ำ นิ้วเท้าเล็กเรียงขนาดใหญ่ไม่เกินเม็ดถั่วแดง จิกงองุ้มลง หญิงวัยกลางคนรูปร่างท้วม ต้องละมือจากการล้างทำความสะอาดขวดนม เช็ดมือและมาอุ้มเจ้าตัวน้อยขึ้น มาจากเปล จับดูผ้าอ้อมมีรอยชื้นเป็นดวง 
" ดูสิพึ่งกินนมเสร็จ ก็ฉี่อีกแล้ว เฮ่อ " 
ปากก็บ่นมือก็ควานหากระกร้า ผ้าอ้อม หยิบผืนใหม่มาเตรียมเปลี่ยนให้เจ้าตัวน้อย ใช้เวลาไม่นาน สมศรีก็สามารถกล่อมลูกชายคนเล็กให้นอนต่อได้ 
ด้วยความที่มีประสปการณ์การเลี้ยงเด็กมาแล้วจากลูกคนแรก 
อากาศเริ่มเย็น แสงแห่งดวงตะวันเริ่ม ลาลับที่ขอบฟ้า เย็นวันนี้ก็เหมือนทุกวันที่สมศรีจะต้องเตรียมทำกับข้าว 
ไว้ให้คุณอเนกสามีและ ลูกสาวคนโตวัย 3 ขวบ วันนี้สมศรีเจอยอดฝักแม้วที่ตลาด จำได้ว่าสามีชอบ จึงได้ซื้อมาผัด และเตรียมทำแกงจืดเต้าหู้ไข่ใส่หมูสับและผักกาดขาวให้น้องแป้ง ส่วนตัวเองสมศรีจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองชอบกินอะไร รู้แต่คนข้างๆ ชอบกินอะไรตัวเองก็จะไปเสาะแสวงหามาให้ ด้วยรู้สึกว่าการได้เห็นคนที่เรารักได้กินของโปรด ได้มีความสุขกับอาหารที่เราทำ 
ความสุขความอิ่มใจ มันก็มากมายจนเหลือคณา มากเกินกว่าทำของโปรดของตัวเอง 
กรี๊งๆ เสียงโทรศัพท์ดังทำลายความเงียบลง " สวัสดีค่ะ ต้องการพูดกับใครค่ะ " กรอกเสียงลงไปตามสาย 
"ศรีหรอ พี่น่ะ วันนี้ติดงานเลี้ยงลูกค้า กินข้าวกับลูกไปก่อนน่ะไม่ต้องรอ " 
" แล้วเค้าไม่ได้นัดล่วงหน้าหรอค่ะ วันนี้ศรีอุตส่าห์ทำของโปรดของพี่" ก้อนแข็งๆ ขึ้นมาจุกที่ลำคอ น้ำตาปริ่มๆอยู่ที่ขอบตา 
" ขอโทษจริงๆ น่ะ เค้านัดมาด่วน พี่ไม่กลับค่ำ ไม่เกิน เที่ยงคืนน่ะจ๊ะ แค่นี้น่ะ ขาดคำปลายเสียงเสียงก็ดัง 
"ตุ๊ด ตูด ตู๊ด ๆ.ตุ๊ด ตุ๊ด ." 
สมศรีวางโทรศัพท์ลง หันไปมองเจ้าตัวน้อยที่หลับปุ๋ยอยู่ในเปล นึกถึงลูกสาวคนโต น้องแป้ง ที่ป่านนี้คงกำลังเล่นอยู่บ้านคุณยาย นึกดีใจ ที่วันนี้ คุณยายและญาติๆ ขอตัวน้องแป้งไปเล่น กับหลานๆ ที่มาเยี่ยม อีกสักพักเมื่อได้เวลาอาหารเย็น คงจะให้น้าศรมาส่ง เพราะว่าวันนี้ศรีบอกไว้แล้วว่าทำแกงจืดใส่เต้าหู้ไข่ไว้ให้ 
.............บรรยากาศยามนี้ช่างเงียบเหงา จนจับจิต ศรีเดินออามานั่งที่ระเบียงข้างบ้าน ที่ระเบียงมีเก้าอี้สีขาว ตั้งอยู่สอง ตัวพร้อมโต๊ะกลม หันหน้าออกไปที่สวนข้างบ้าน สวนที่จัดไว้สวยงาม กระถางดินเผา ที่เราสองคนช่วยกันเดินหา ล้อมรอบด้วยต้นไม้ประดับอยู่รอบๆ ต้นข้าหลวงหลังลาย ยังคงความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ แผ่ใบหยักเขียวสร้างความสดชื่น 
เก้าอี้ตัวเดิมดูเก่ามอซอ ต่างจากวันที่เธอเคยปรึกษาฉันว่า จะซื้อเป็นคู่หรือว่าซื้อตัวเดียว ด้วยว่าราคาค่อนข้างสูง และในที่สุดเธอเองที่บอกว่า ซื้อเป็นคู่ ไว้ให้ ผมกับศรี ได้นั่งเคียงข้างกัน ในบ้านของเรา 
แล้ววันนี้ ไหนล่ะ คนที่เคยบอกว่าจะอยู่ข้างกัน ในบ้านของเรา ไหนล่ะคนที่บอกว่าเราจะมีบ้านที่อบอุ่น 
หากจะนับ ฉันขอนับว่านี่เป็นบ้านของฉันและลูกเท่านั้น จะถูกต้องกว่า เพราะบ้านของคุณก็คือที่ทำงาน 
คุณใช้เวลาอยู่ที่ทำงานมากกว่าวันละ 10 ช.ม. 
คิดพลางเอาเข่าทั้งสองขึ้นมาชันบนเก้าอี้ เท้ายันไว้โดยไม่ใยดีว่าเก้าอี้จะเปื้อน ฉันเอาแขนที่อวบอ้วน มากอดเข่าไว้หลวมๆ ด้วยติดไขมันที่หน้าท้องที่ถูกดันขึ้นมาชิดกันเป็นลอน 
หายใจเข้าออกอย่างแผ่วเบา มองไปยังท้องฟ้าเห็นนกน้อย 2 ตัวบินเคียงกันกลับรวงรัง ความเจ็บ ความเหงา ยิ่งเผาผลาญจิตใจ สะท้อนในอก 
พักหลังฉันเรียนรู้ที่จะกอดเข่าในยามที่ไม่มีเขาอยู่เคียงข้าง เข่ายังไงก็เป็นเพื่อนที่ดีที่ทำให้ หัวใจฉันได้อบอุ่นได้บ้าง ที่สำคัญเข่าไม่เคยทิ้งให้ฉันต้องกินข้าวคนเดียว
..........ความคิดล่องลอย ถอยหลังไปถึงวันวารที่ยังหวาน 7 ปีแล้วน่ะที่ฉันและสามีได้ตกลงใจใช้ชีวิตร่วมกัน 
นึกถึงวันแรกที่เราเจอกันเมื่อ 10 ปีที่แล้ว สมศรียังจำได้ดี บางครั้งการเก็บอะไรดีๆไว้ในความทรงจำมันก็ทำให้ชีวิตมีความสุข ได้ยิ้มละมัยทุกครา 
........ ที่โบสถ์แห่งหนึ่งซึ่งศรีเดินทางไปเป็นสักขี พยานให้เพื่อนรักเข้าพิธีวิวาห์ งานแต่งงานเรียบง่าย มีเพื่อนและญาติ ของคู่บ่าว สาวมา ร่วมงานไม่มากนัก ศรีเห็นเขาก่อนใคร ด้วยว่าเสื้อที่เค้าใส่สีช่างเหมือนท้องฟ้า สีเข้มปั๊ด 
ดวงหน้าเข้ม ตาคม จมูกโด่งเป็นสัน ไรเคราขึ้นเขียว ศรีมีเวลาไม่นานก่อนที่เจ้าสาวจะโยนช่อดอกไม้ ในการแอบไปถามเพื่อน ว่าเขาคือใคร มาจากไหน สืบมาได้ความว่า ชื่ออเนก เพิ่งกลับมาจากการไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ นิสัยดีพอใช้ ที่สำคัญโสด เอาล่ะเป็นไงเป็นกัน ศรีจะลองเสี่ยงดู 
"อุ๊ย ขอโทษค่ะ " 
หลังจากที่พยายามยืนอยู่ใกล้ๆ เค้าตอนที่เจ้าสาวโยนช่อดอกไม้ 
" ไม่เป็นไรครับ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า " 
ตามแผนที่คิดไว้ ไม่ยากที่คนอย่างเธอจะแสดง ท่ากระโดดรับดอกไม้ให้ดูเหมือนจริง ทั้งที่แท้จริงแล้วศรีตั้งใจจะกระโดดชนเค้าคนนั้น ให้องศาพอดี ต่างหาก 
หลังจากวันนั้น 3 ปี หลังจากดูใจกันมา ระฆังวิวาห์ ของสมศรี และอเนก ก็ดังขึ้น การ์ดเชิญของเราสองคน เรียบง่าย การ์ดแผ่นเดียวที่ด้านบนทีคำสลักไว้ว่า Now and Forever 
ด้านล่างเป็นรูปเงาของคนสองคนที่หันหลังซบกันอยู่ที่ริมทะเลยามตะวันยามตกดิน สามปีที่ใช้เวลาศึกษากันและกัน สามปีที่เป็นช่วงเวลาดีๆ ในชีวิตของสมศรี หลังแต่งงานจำได้ว่าเพื่อนที่ทำงานมาทักทายถามไถ่ 
" อิจฉาเธอจังน่ะ ศรี เธอโชคดีจัง ที่ได้เจอคนดีๆ อย่างคุณเนก " ป้อมเพื่อนที่ทำงานแผนกเดียวกันพูด 
" ใช่ เราก็เห็นด้วยเธอไปเจอเค้าที่ไหน ยังมีเหลืออีกสักคนไหม นี้ ชั้นน่ะยังหาไม่เจอเลยเธอ " เพื่อนอีกคนพูดขึ้น 
สมศรีคิดในใจ ว่าใครจะไปบอกพวกเธอว่าคน นี้เองที่ฉันตั้งใจกระโดดไปชน 
"แหม พวกเธอก็ ไม่ขนาดนั้นหรอก ไปไป ทำงานกันได้แล้ว" สมศรีพูดตัดบท 
ยามนั้นสมศรีทำงานอยู่ที่บริษัทโฆษณาแห่งหนึ่ง งานที่ทำเป็นงานที่เธอรัก ด้วยการใช้ความคิดออกแบบ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์นั้นเป็นที่ติดตลาด สมศรีเป็นสาวยุคใหม่ บุคลิก คล่องแคล่ว รูปร่างสมส่วน ผิวขาว ตาโต แก้มเนียนใส หน้าตาถูกแต่งเติมไว้เป็นสีชมพู เรื่อยๆ ให้ดูเป็นสาวสุขภาพดี ผมสีน้ำตาลยาวเป็นลอน ประบ่า 
กับเธอ คนที่ฉันกระโดดชน เมื่อเรียนจบกลับมาจากเมืองนอก ก็ได้ทำงานในบริษัท ผลิตอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ชื่อดัง ซึ่งมีสาขาอยู่ทั่วโลก 
"ศรี วันนี้เดี๋ยวผมไปรับน่ะ ศรีเลิกงานหรือยัง" เสียงของอเนกส่งมาตามสาย 
"ผมคิดถึงศรี จะขาดใจอยู่แล้ว" 
"อะไรจะขนาดนั้นค่ะ เดี๋ยวเย็นนี้ก็เจอกันแล้ววันนี้อยากกินอะไรค่ะ " สมศรีหัวเราะ ยามหวานเค้าก็ช่างออดอ้อน 
"อยากกินศรีอย่างเดียวล่ะครับ ตอนนี้" 
"ไม่เอา พูดเล่นอยู่ได้ เอาจริงๆ สิค่ะ ศรีจะได้เตรียมซื้อได้ถูก" เสียงของศรีเริ่มเข้มขึ้น 
"กินอะไรก็ได้ เอาง่ายๆ ผัดผักก็ได้คับผม คุณแม่" 
ในบ้านหลังไม่ใหญ่ บ้านที่สร้างมาด้วยหยาดเหงื่อของเราสองคน กระเบื้องทุกอัน ไม้ทุกแผ่น ต้นไม้ทุกต้น ที่ประกอบกันเราสองคนช่วยกันสร้าง ช่วยกันหา ช่วยกันเลือก หลังอาหารค่ำ เราสองคนจะออกมานั่งสูดอากาศ ที่ ระเบียงบ้าน อเนกชอบฟังเพลง เค้าจะเปิดเพลงคลอเบาๆ ส่วนสมศรีก็จะชงกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาล 
ยกมาให้เค้า ส่วนตัวเองก็ดื่มน้ำขิง ร้อนๆ เคียงข้างเค้า นั่ง ชมแสงดาว แสงเดือนด้วยกัน จากนั้นก็เป็นเวลาที่เราสองคนจะได้ซุกกายบนเตียงนุ่ม ใต้ผ้าห่ม ซุกไซ้ ด้วยกายอันเปลือยเปล่า 
แนบชิดหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เสียงหายใจที่หอบถี่ขึ้น เสียงเนื้อแนบเนื้อ บรรเลงเป็นจังหวะลีลา โรมรัน โหมกระหน่ำ กอดเกี่ยว พลันกายลอยละล่อง ไปในละอองเศษสวรรค์ 
" เนกอยากมีลูกไหมค่ะ " สมศรีนอนเกยท่อนแขนของสามี 
" เราสองคนก็อายุ เริ่มมากแล้ว เดี๋ยวแก่ไปจะเลี้ยงไม่ไหวน่ะ " 
" ค่ะ เราจะได้เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์สักที" ฝันถึงครอบครัวที่มีพ่อ มีแม่ และลูกๆ ในบ้านหลังน้อย 
................................ 
กริ๊งๆเสียงกดกริ่งหน้าบ้าน ทำให้สมศรี ตี่นจากภวัง และเดินไปเปิดประตูหน้าบ้านคงจะเป็นคนบ้านนู้นที่ขับรถมาส่งเด็กหญิงตัวน้อย 
" แป้ง ถืออะไรมาด้วยลูก ไหนมาให้แม่ดูสิ " ในมือเด็กหญิงถือกล่องขนมปัง 
" พี่ศรี ผมเอาแป้งมาส่งแล้ว น่ะ เห็นบอกว่า วันนี้พี่ทำของโปรดไว้ให้แก " 
" อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนไหม ศร น้องมีธุระอะไรไหม " ศรีเอ่ยปากชวนน้องชาย 
"แล้ว พี่อเนกยังไม่กลับหรอ ไหนวันนี้ ได้ยินเจ้าแป้งบอกว่า พ่อจะกลับมากินข้าว" ศรีหน้าเจื่อนไปนิดนึง 
"มา เข้ามาเถิด วันนี้พอดีอเนกเค้าติดงาน มากินข้าวเป็นเพื่อนที่หน่อย" ออนเดินน้ำหน้า พร้อมอุ้มน้องแป้ง 
เข้าบ้านไม่ให้น้องชายเห็น หยดน้ำน้อยๆที่ล้นปริ่มๆ อยู่ที่ขอบตา 
อุ้มน้องแป้งมาที่โต๊ะกินข้าว แล้ววางลงบนเก้าอี้พิเศษ สำหรับเด็ก 3 ขวบ 
"แม่ แม่วันนี้ แป้งจะกินเองน่ะ น้องแป้งโตแล้ว น้องแป้งจะไปโรงเรียนแล้ว" เด็กหญิงวัย 3 ขวบช่าง 
ฉอเลาะ เด็กผู้หญิงก็พูดเก่งอย่างนี้ 
"ใครสอนมาลูกว่าน้องแป้งโตแล้ว" ศรียิ้ม ขันกับความแก่แดดของเด็กหญิง 
สมศรีวางชามแกงจืดที่ใส่เต้าหู้ ตัดเป็นชิ้นเล็กๆ หมูสับบด พร้อมด้วยผักกาดขาวหวานนิ่ม 
" ก็คุณยายบอกว่า แป้งโตแล้ว แป้งกินข้าว อาบน้ำเองได้แล้ว " 
หันไปมองน้องชายที่เดินไปที่ มุ้งเล็กๆสีฟ้าที่ครอบเจ้าตัวเล็กไว้ 
"เจ้าตัวเล็กนี่มาทีไร หลับทุกทีเลยน่ะพี่ศรี " 
" เพิ่งหลับไปตอนหัวค่ำนี้เอง ปาล์มเลี้ยงง่ายไม่งอแง" ศรีบอกพลางตักข้าวสวย หอมกรุ่นใส่จาน 
"มา มานั่งนี่ กินข้าว พี่หิวแล้ว กินให้หมดไม่ต้องเหลือเลยน่ะ" 
" พี่ศรี นี่ก็เก่งน่ะ ใครจะนึกว่า ผู้หญิงเก่งอย่างพี่จะออกจากงานมาอยู่บ้านเลี้ยงลูก" 
" พี่เองก็ไม่นึกเหมือนกันน้องเอ๋ย ว่าชีวิตพี่จะต้องเป็นอย่างนี้ " 
******โปรดติดตาม ขวดนมและขวดเหล้า ตอนจบได้เร็วๆนี้****************				
comments powered by Disqus

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน