ตชด.ที่รัก 2
ลิลิต
ครูเพ็ญมาบรรจุเข้ารับราชการครูครั้งแรกที่นี่wfhปีกว่าแล้ว ส่วนเขามาอยู่ที่นี่ไม่กี่เดือน คิดว่าจะหัดพูดภาษายาวีให้ได้เร็ว ๆ เพื่อจะได้ไว้พูดกับชาวบ้าน จะได้สร้างสายสัมพันธ์อันดีระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐกับชาวบ้านที่นี่ ซึ่งปัจจุบันนี้เจ้าหน้าที่ของรัฐโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในสายตาของชาวบ้านแล้วภาพพจน์มันติดลบอย่างหนัก เขาก็กำลังเร่งศึกษาวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของชาวมุสลิม สภาพวัฒนธรรม ประเพณีท้องถิ่น และข้อปฏิบัติทางศาสนา ให้เข้าใจ เพื่อจะได้ลดเงื่อนไขความไม่พอใจต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐ และทราบจากทางการข่าว มาว่ามีบรรดาแกนนำขบวนการก่อการร้ายกลุ่มต่าง ๆ ในพื้นที่เข้ามาปลุกระดม ใส่ร้ายป้ายสีทางราชการ มีผลทำให้ชาวบ้านจำนวนหนึ่งไขว้เขว และสับสน
เขาเข้าไปกระซิบกระซาบกับไอ้ตัวเล็ก และไอ้ตัวเล็กก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้เขา แล้วกระซิบข้างหู แล้วทั้งคู่ก็หัวเราะออกมาอย่างถูกอกถูกใจ
“ อะไรคะ หมวด ..” เธอถามด้วยความฉงน “ หัวเราะอะไร อะหมัด บอกครูมาเดี๋ยวนี้ “ เธอพูดขู่อะหมัด
“ ไม่มีอะไรครับครู “ อะหมัดหัวเราะพูดตอบปฏิเสธ แล้วก็วิ่งขึ้นไปบนอาคารเรียน
“ บอกมานะหมวด ว่าหมวดพูดนินทาอะไรกับอะหมัด “
ครูเพ็ญ หยิกที่แขนของเขา ลักษณะอาการกระเง้ากระงอด หัวร่อต่อกระซิก ของทั้งสองหาได้พ้นสายตาของเพื่อนครู และลูกน้องของเขาไปไม่
“ ไม่มีอะไรจริง ๆ ครับครู “ เขาหยุดนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อไปว่า “ …อะหมัด สอนให้ผมพูดว่า ครูเพ็ญ มอและ จริง ๆ..” เขาพูดช้า ๆ เนิบ ๆ ซึ่งแปลความหมายได้ว่า ครูเพ็ญสวยจริง ๆ
“ อากู ( ชี้ที่ตัวเขาเอง ) กาเซะ ( ชี้ที่หน้าอกซ้ายของตัวเอง ) มู ( และชี้ที่ตัวครูเพ็ญ ) “
“ บ้า ….. “ เสียงครูเพ็ญพูดเบา ๆ ทำท่าค้อนขวับ หน้าแดงเรื่อด้วยอาการขวยเขิน พร้อมกับใช้กำมือเรียวงามทุบไปที่ต้นแขนเขาเบา ๆ เขากลับหัวเราะชอบใจ อย่างมีความสุข สุขเสียจนลืมความทุกข์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในทุกวินาที สุขจนลืมความเครียดที่ได้ประสบมาในการปฏิบัติงานที่ผ่านมา เมื่อเห็นรอยยิ้ม ยินเสียงหัวเราะที่อยู่ตรงหน้า ดูแล้วโลกทั้งโลกนี้ช่างสดใสเสียนี่กระไร
และหลังจากนั้นสายสัมพันธ์รักของคนทั้งสอง ก็พัฒนาก้าวไปไกลอย่างรวดเร็วมาก ๆ จนน่าอิจฉา พลอยทำให้คนข้าง ๆ มีความสุขตามไปด้วย
เมื่อตอนเย็นได้ยินเสียงเด็กประถมท่องสูตรคูณกันเสียงดัง เป็นสัญญาณว่าโรงเรียนใกล้จะเลิกแล้ว ได้เวลาที่พวกเขาจะได้ทำภารกิจ เพื่อคุ้มครองครูกลับไปส่งที่บ้านพักภายในตัวอำเภอ ภารกิจมันเป็นวัฏฐจักรเช่นนี้แหละ ทุกวัน เว้นเสาร์อาทิตย์ หรือวันหยุดราชการ จนกว่าจะปิดเทอม
เช้าวันนี้ ผู้หมวดไปส่งครูเพ็ญ ที่โรงเรียนตามปกติ และบอกเธอว่าจะกลับเข้าไปในเมือง เพื่อซื้อข้าวของเตรียมเสบียงไว้ให้ลูกน้องที่ฐานปฏิบัติการ
“ เดี๋ยวตอนเย็นจะแวะเข้ามารับ… “
“ ค่ะ “ เธอตอบ และบอกเขาว่า “ สองทุ่มคืนนี้เจอกันที่บ้านนะ จัดเบิร์ทเดย์ให้ เตรียมของขวัญไว้ให้แล้วค่ะ “
วันนี้ เป็นวันเกิดครบรอบยี่สิบห้าปีของเขา ถ้าอยู่ที่บ้านคงจะได้จัดงานกับครอบครัวและเพื่อนฝูงอย่างสนุกสนาน และหลังจากนั้นคงจะได้ท่องราตรีกันตามประสาหนุ่มโสด แต่เมื่อเขามาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาคงจะมีความสุขแบบนั้นไม่ได้แน่ ๆ แต่เขาก็ขัดไม่ได้ เมื่อครูเพ็ญ ขอร้องว่าจะจัดงานวันเกิดให้เขาที่บ้านพักในตัวอำเภอ เป็นการจัดเลี้ยงกันเล็ก ๆ ภายในเพื่อนครูด้วยกัน ไม่กี่คน จริง ๆ เขาไม่อยากให้จัดหรอก เป็นห่วงลูกน้องที่ฐานปฏิบัติการ แต่ลูกน้องก็คอยเป็นกองเชียร์คะยั้นคะยอและบอกเขาว่าผู้หมวดห้ามปฏิเสธความหวังดีของครูเพ็ญเป็นอันขาด
ก่อนพลบค่ำ เขากับนายดาบ ขับรถยนต์โฟวิล ออกจากฐาน มุ่งหน้าเข้าเมืองเพื่อไปที่บ้านพักครู ระยะทางไม่ไกลนักประมาณ สิบห้ากิโล เท่านั้นเอง แต่ช่วงเวลากลางคืนถึงแม้จะเป็นเขตพื้นที่ใกล้ ๆ กับตัวเมือง แต่มันก็มีอันตรายแฝงอยู่ตลอดตามรายทางซึ่งเป็นเส้นทางที่เปลี่ยว ปกติเส้นทางสายนี้เขากับลูกน้องได้ออกลาดตระเวนเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นเวลากลางคืนก็จะใช้กำลังเป็นชุดปฏิบัติการประมาณสิบคนขึ้นไป
การจัดเลี้ยงวันเกิดคืนนั้นเป็นการจัดงานอย่างเรียบง่าย ความสุขของคู่รักทั้งสองได้เปล่งประกายออกมาให้เห็น ด้วยเสียงหัวเราะที่สดใส และรอยยิ้มอันสวยงาม มีการอวยพรเจ้าของวันเกิดของเพื่อน ๆ ร้องเพลงเบิร์ทเดย์ เป่าเทียน ตัดเค้ก ดื่ม กิน และร้องคาราโอเกะ กันอย่างสนุกสนาน และสุดซึ้งกับคำอวยพรจากใจของคุณครูผู้เป็นทีรัก ต่อมาเขาได้อ่านบทกลอนที่บอกว่าจดจำมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ให้แขกทุกคนฟัง
“ ก่อนจบงาน และก่อนจากไป “ เขาพูด “ การจัดงานวันเกิดทุกครั้ง ผมว่าเราทุกคนสมควรรำลึกถึงผู้เป็นแม่ผู้ให้กำเนิด เราจัดงานวันเกิดสนุกสนาน แต่ก็ไม่ควรลืมแม่ผู้มีพระคุณทีทุกข์ทนลำบาก…นะครับ…และไม่ใช่อะไรผมกับครูเพ็ญจากบ้านมาไกล คิดถึงแม่ครับ…” เขาพูดเสร็จ ก็บรรจงอ่านกลอนจากกระดาษที่ถืออยู่ในมือ
“ วันเกิดเจ้า เกือบคล้าย วันตายแม่
เจ็บท้องแก่ แพ้เท่าไหร่ แม่ไม่สน
กว่าจะเกิด กว่าจะคลอด รอดเป็นคน
เติบโตพ้น จนป่านนี้ นี่เพราะใคร
แม่เจ็บจวน ขาดใจ ในวันนั้น
กลับเป็นวัน ลูกฉลอง กันผ่องใส
ได้ชีวิต อย่าทำเหลิง ระเริงใจ
ลืมผู้ให้ เกิดชีวิต อนิจจา “
เสียงปรบมือของแขกดังกราวขึ้นด้วยความประทับใจ
แล้วงานเลี้ยงก็ย่อมมีวันเลิกรา ครูเพ็ญ ขอร้องให้เขานอนพักที่บ้าน ด้วยความเป็นห่วง ไม่อยากให้กลับไปที่ฐานในตอนกลางคืน เพราะกลัวจะไม่ปลอดภัย แต่เขาก็ไม่ยอม เขาจับมือเธอมากุมไว้แน่น และบรรจงดึงตัวเธอมาอยู่ในอ้อมกอด ร่างทั้งคู่แนบชิดสนิทกัน ลมหายใจทั้งสองรดเข้าหา ก่อนที่ริมฝีปากน้อยของทั้งคู่จะประกบจูบกันอย่างดูดดื่ม ลิ้นกระหวัดกันเหมือนเป็นคำสัญญา และคำปลอบประโลมใจ ไม่ให้เธอเป็นห่วง เขาให้ความมั่นใจกับเธอว่าจะไม่มีอะไรมาทำให้ทั้งสองต้องพรากจากกันไป และจะไม่มีสิ่งใดในโลกมากั้นขวางความรักของเขาและเธอได้
แล้วเขากับลูกน้องก็ขับรถยนต์ออกจากบ้านพักไป เธอมีอาการเป็นห่วงเขาจริง ๆ อยากจะฉุดรั้งเขาไว้ใกล้ ๆ ไม่อยากให้เขาจากไปเลย
และหลังจากนั้นไม่นาน เธอได้รับข่าวร้ายว่า ก่อนเที่ยงคืน เขากับลูกน้อง ถูกคนร้ายดักซุ่มโจมตีขณะขับรถกลับฐาน เขาบาดเจ็บสาหัส แต่ลูกน้องซึ่งเป็นคนขับรถเสียชีวิต เธอรีบรุดไปที่โรงพยาบาล เห็นเขาบาดเจ็บนอนอยู่ห้องไอซียู แพทย์กำลังช่วยชีวิตเขาอย่างเร่งด่วน เธอร้องไห้คร่ำครวญและโทษตัวเองว่าเป็นต้นเหตุ ที่ทำให้เขาและลูกน้องต้องเป็นอย่างนี้ โดยมีเพื่อน ๆ ค่อยปลอบประโลมใจอยู่ข้าง ๆ เธอภาวนาในใจว่า อย่าให้ผู้หมวดยอดรักของเธอเป็นอะไรไปเลย หัวใจที่เคยปวดร้าวระบมมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน มันกลับสดชื่นขึ้นมาอีกครั้งอย่างรวดเร็วก็เพราะเขา เหมือนดอกไม้ที่กำลังจะเหี่ยวเฉา ที่ได้น้ำชโลมใจรดราดให้มีความสุขขึ้นมาอีกคราหนึ่ง เถอะ ขออย่าให้หัวใจดวงนี้ ต้องแหลกเหลวลงไปเป็นคำรบสอง ผู้หมวดที่รัก เธอขอเอาใจช่วย ให้เขาฟื้นขึ้นมาอยู่คู่เคียงกันอีกครั้ง
อีกหลายวันต่อมา เขายังนอนเป็นเจ้าชายนิทราอยู่ในโรงพยาบาล และเธอก็ต้องตกใจและปวดร้าวหัวใจอีกครั้งหนึ่ง เมื่อได้ดูรายงานข่าวจากทีวี ทราบว่า ตำรวจได้จับคนร้าย มาดำเนินคดีได้ ๓ คน พวกมันเป็นคนที่ ลอบซุ่มยิงโจมตีผู้หมวดกับลูกน้องในวันเกิดเหตุ จับได้พร้อมอาวุธปืนของกลางหลายกระบอก มีปืนพกสั้นสีดำ ๑ กระบอก ปืนลูกซองยาว ๑ กระบอกและปืนยาวเอช เค อีก ๑ กระบอก และเมื่อได้ดูหน้าคนร้ายชัด ๆ แล้ว เธอไม่คิดคาดฝันมาก่อนว่า หนึ่งในสามคนร้ายที่ถูกจับ เขาคนนั้นคือ มะแอ พ่อของ “ ไอ้ตัวเล็ก อะหมัด “ นั่นเอง