อิโรติค2
สะพั่งสะท้านไมภพ
ในสมัยหนึ่งนานมาแล้ว ก็ยังไม่เคยมีใครเข้าใจความคิดลึกๆของผมอยู่ดี จนกระทั่งวันนี้ ก็ยังไม่ทราบอยู่ดี
ในตอนนั้นผมได้พาลูกน้องไปกินเหล้าริมแพโต๊ะยาว มันคงไปประทับใจเด็กเสริฟเข้ากระมัง หลังจากจบงานเลี้ยง เธอเธอเธอ หมายถึงเพื่อนเธออีกสองคนก็ขอไปด้วย
เอาละโว้ย สะพั่ง ๆ ในตอนนั้นเมามายแล้ว เป็นปีศาจสุรา และตอนนั้นยังไม่ใช่ปีศาจราคะ สะพั่งก็อยากรู้เหมือนกันว่า ชีวิตของตนเองแบบนี้จะเป็นเช่นใด ในแง่มุมของเพล์บอยแล้ว เรื่องค่าเหล้าค่ากับค่าเที่ยว เต็มที่ ผมก็พากันไปเต้นระบำ ดื่มกิน อย่างสนุกสนาน และก็จนถึงที่สุดคือข้าวต้มรอบดึก
หลังจากที่ทุกคนจะได้รับความสุขจากการบริการของสะพั่งแล้วต่างคนก็ต่างแยกย้าย เว้นแต่เด็กเสริฟหัวหน้ากลุ่มเท่านั้น ที่ไม่ยอมจากไป
อันนี้จะได้แม่นเลย ความพึงพอใจในกันและกัน ยี่สิบกว่าๆ กับ ยี่สิบนิดๆ ก็ย่อมจะพึงพอใจกันได้ง่าย
ในคืนนั้นเอง จนกระทั่งเช้า สะโหลสะเหลออกมาจากโรงแรม แล้วต่างคนก็ต่างแยกกัน
ต่อมาในอีกค่ำคืนหนึ่ง ผมก็ไปนั่งทานสุรากับแกล้มที่ร้านเดิม เธอก็เดินเข้ามาที่ผมแล้วยื่นกระดาษให้หนึ่งแผ่น ในนั้นมีข้อความสั้นๆอยู่หนึ่งประโยค
เป็นประโยคที่ผมได้รับมาจากภรรยาของผมและผมบอกเธอไปในตอนหนึ่งตอนใดในคืนนั้นเป็นแน่
ผมอ่านดูแล้วก็หันไปยิ้มให้เธอ ดูเหมือนว่าเธอนอนกับผมด้วยความเต็มใจ และด้วยความพึงพอใจมากกว่าที่จะคิดมากกว่านั้น
ผมสะพั่งยิ้มให้เธอ เราทั้งสองมองตากันในความมืด แต่ทว่าอย่างที่บอกละครับ วาสนาของคนเรามีจำกัด นับแต่นั้นก็ไม่ได้เจอเธออีกเลย
ก็เพียงแค่เก็บความระลึกถึงไว้ ในความสุขต่อกัน
สะพั่ง สะท้านไมภพ ก็ยังคงวาดลวดลายบนเวทีสีสรรค์อันโลดโผนโจนทะยานต่อไป
มีวันหนึ่ง นักร้องโรงแรมใหญ่นัดผมให้มารอตอนเลิกร้องเพลง สะพั่งหัวเราะในใจ วันนี้คงไปตามนัดไม่ได้เนื่องจากว่า ง่วงนอนมากเลย
บางครั้งแม้ใจจะอยากไปเพียงแค่ไหน แต่ทว่า ร่างกายมันอ่อนเพลียมากจนไม่สามารถฝืนไหว ก็คงต้องปล่อยไปในลักษณะนี้
เมื่อไม่มีวาสนาต่อกัน ยังไงก็ไม่มีทาง