จากการที่ได้อ่านหนังสือ ศิลปะแห่งความสุข โดยดาไลลามะที่14 และโฮเวิร์ด ซี. คัทเลอร์ เป็นผู้เขียน ทำให้เปลี่ยนมุมมองและยอมรับการเปลี่ยนแปลงในชีวิตได้อย่างสงบและยอมรับไม่ทุรนทุรายหรือเสียดายและเสียใจในสิ่งที่เคยมีทำให้เรารู้ว่า ขั้นตอนแรกในการแสวงหาความสุขคือการเรียนรู้ ก่อนอื่นเราต้องเรียนรู้อารมณ์และพฤติกรรมทางลบทั้งหลายว่าทำร้ายเราอย่างไร และเราต้องรู้พฤติกรรมเข้าใจถึงประโยชน์ของอารมณ์ในทางบวกเช่นกัน และต้องอาศัยกระบวนการทางจิตพิจารณาดูว่าอย่างไหนให้คุณให้โทษ ยกตัวอย่างเช่น ความโกรธ เกลียด อิจฉาริษยา นั้นเป็นโทษนั้นถือว่า ภาวะจิตเราเป็นลบ เพราะทำลายความสุขสงบในใจเรา เมื่อเราเก็บความเกลียดใครหรือเจตนาร้ายต่อใครบางคน เราจะมีแต่ความเกลียดและอารมณ์ด้านลบต่างๆและจะมองคนอื่นๆด้วยเจตนาร้ายเช่นกัน ผลก็คือ ทำให้กลัวมากขึ้น หวาดระแวง รู้สึกไม่ปลอดภัยและไม่กล้าสบตาคนที่คนพูดให้ร้ายด้วยสายตาเต็มสองตา จนกระทั่งในที่สุด จะรู้สึกโดดเดี่ยว เหงาและคิดว่า โลกโหดร้ายในสายตา ความรู้สึกเหล่านี้เติบโตขึ้นเพราะความเกลียดเป็นเหตุ แต่ถ้าในทางกลับกัน คิดแต่สิ่งดี ทำดี คิดแต่เรื่องสร้างสรรค์ มีจิตใจเมตตา กรุณา ไม่ชิงดีชิงเด่น และในอภัย จิต ก็จะเป็นไปในทางบวก นำไปสู่สุขภาพจิตที่ดีและมีความสุขในการคิดแน่นอนสิ่งเหล่านี้ต้องฝึกฝนไปเรื่อยๆในที่สุดพฤติกรรมทางลบจะหายไปเอง ซึ่งหมายความว่า จิตที่มีวินัยย่อมนำไปสู่ความสุข ที่กล่าวถึงในที่นี่คือวินัยในตนเองไม่ใช่ให้ผู้อื่นบังคับให้กระทำ หมายถึงวินัยที่เราชอบนำไปปฏิบัติคือการเอาชนะลักษณะนิสัยอันเป็นโทษ ซึ่งพฤติกรรมและอารมณ์ในทางลบเรียกว่า อกุศล และพฤติกรรมในทางบวกเรียกว่า กุศล วิธีที่เรามองชีวิต โดยรวมกำหนดทัศนะที่เราคิดว่าเรามีความทุกข์ เช่น ถ้าเรามองพื้นฐานว่าความทุกข์เป็นสิ่งไม่ดี ต้องหลีกหนีทุกวิถีทาง แถมบางคนยังมองว่า ส่อแววให้เห็นถึงความล้มเหลว อ่อนแอ ก็เท่ากับไปเพิ่มความกังวลใจและความไม่อดกลั้นในยามเผชิญสถานการณ์ลำบาก จะรู้สึกเหมือนว่า เราจมอยู่ในกองทุกข์ ในทางกลับกัน ถ้าเรามีมุมมองพื้นฐานที่ยอมรับว่าความทุกข์เป็นส่วนหนึ่งที่ธรรมดาของการมีชีวิตอยู่ที่เราทุกคนต้องพบเจอ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เราจะอดทนและอดกลั้นต่อความทุกข์และความยากลำบากในชีวิตได้มากขึ้น คนเรามักเพิ่มความเจ็บปวดและความทุกข์ให้ตัวเอง จากการอ่อนไหวเกินเหตุ ตีโพยตีพายกับเรื่องเล็กๆน้อยๆและบางครั้งมักเก็บเอาเรื่องต่างๆมาเป็นอารมณ์ บางคนทุกข์เพราะว่า จับได้ว่า มีคนบางคนพูดว่าเราหลับหลัง แต่ถ้าเราเลือกที่จะตอบโต้สิ่งไม่ดีด้วยความเจ็บปวดเคืองแค้น เท่ากับว่า ตัวเราเองทำลายความสุขสงบในใจเราเองเพราะความทุกข์เกิดจากความคิดเราเป็นผู้ก่อ ในทางกลับกัน ถ้าเราปล่อยให้คำนินทาว่าร้ายผัดผ่านไปเหมือนสายลมที่พัดผ่านหูอย่างสงบเท่ากับเราได้ปกป้องตัวเองจากความรู้สึกที่เราเจ็บและรวดร้าว แต่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงเรื่องยุ่งยากได้เสมอไปแต่สามารถเปลี่ยนระดับทุกข์ที่ประสบ ด้วยการ เลือกท่าทีที่จะตอบสนองต่อสถานการณ์นั้น จงใช้จิตพิจารณาและสงสารต่อคนที่นินทาเรา พร้อมทั้งให้อภัยและอโหสิกรรมต่อสิ่งที่คนว่าร้ายหรือนินทาเราหลับหลังแล้วชีวิตเราจะมีความสุข แต่นี่นับเป็นเรื่องยาก เพราะคนยังมีกิเลส แต่ถ้าลองฝึกและทำดูหลายๆครั้งเราจะทำได้ในที่สุด ผลสุดท้ายความสุขจะอยู่ที่ตัวเรา จงเรียนรู้ที่จะใช้จิตควบคุมอารมณ์อย่าให้อารมณ์ควบคุมจิต
8 มิถุนายน 2551 19:13 น. - comment id 100339
นั่นน่ะรูปใครไม่ทราบค่ะ
5 มิถุนายน 2551 14:42 น. - comment id 100378
ใช้ชีวิตให้มีความสุข ก็คืออย่าแบกเอาสิ่งที่จะทำให้ทุกข์ไว้บนบ่าเนาะ มิน่าล่ะ กระต่ายฯยิ้มหน้าใสเชียว
3 ตุลาคม 2552 17:56 น. - comment id 108634
ความคิดดีๆ ให้ชีวิตมีความสุข คิดดี ทำดี ก็มีความสุขแล้ว ไม่คิดร้าย และมีการให้อภัย กับทุกคน ใครคิดไม่ดีกับเรา เรไม่คิดโกรธแค้นเขา เราจะคิดสงสารคนผู้นั้นเสมอว่าสงสารเขาไม่มีความสุขเหมือนเรา ใครคิดไม่ดี เราไม่สน แต่ตัวเราคิดแต่ความดีเท่านั้น 5555555555 สบายใจ เรารักกระต่ายมาก
6 ตุลาคม 2553 20:49 น. - comment id 119352
สาธุ สาธุ สาธุ