คนใข้ I.C.U. = คนใข้เตียงที่ 1 Car accident (บาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถยนต์) คนไข้ชื่อ นางสาวสายหยุด อายุ 39 ปี ป้ายหน้าเตียงเขียนว่า..... Car accident (บาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถยนต์) ชีวิตนางสาวสายหยุดทำให้ฉันถามตนเองเสมอว่า "ทำไมชีวิตคนบางคนจึงถูกชะตากรรมโหมกระหน่ำครั้งแล้วครั้งเล่า" 20 ปีก่อน...ในงานวันสงกรานต์ นางสาวสายหยุด ยิ้มหวานให้กับช่างภาพ มือประคองขันน้ำพานรองที่ได้รับ ในฐานะเทพีสงกรานต์ของหมู่บ้าน ก็สมแล้ว...ด้วยเธอเป็นคนหน้าตาสะสวย ร่างระหง งดงาม และนิสัยดี เธอยังทำให้สาวๆในหมู่บ้านอิจฉาตาร้อน เมื่อเธอเป็นคู่หมั้นปลัดหนุ่มรูปงาม ฐานะร่ำรวย นางสาวสายหยุดเป็นลูกสาวคนเดียวของพ่อแม่ ซึ่งต่างก็ปลื้มปีติ...ชื่นชมอนาคตของลูกสาว คืนเดือนมืดวันหนึ่ง มีโจรใจชั่ว ขื้นปล้นพรหมจารีของเธอ เธอดิ้นรนต่อสู้จนสุดฤทธิ์ เรียกพ่อแม่ให้ช่วย เสียงปืนของไอ้โจรดังสองนัด นัดแรกปลิดชีวิตพ่อของเธอ อีกนัดหนึ่งยิงเข้าท้ายทอยของเธอ นอกจากนางสาวสายหยุดจะเป็นอัมพาตตั้งแต่คอลงมาทันที ตาทั้งสองข้างของเธอยังบอดสนิท ด้วยลูกปืนแล่นเข้าสมองส่วนควบคุมการมองเห็น นางสาวสายหยุดนอนโรงพยาบาลถึงหกเดือน แม้หมอจะเยียวยาเต็มที่ ตามด้วยการกายภาพบำบัดเป็นแรมปี อนาคตอันสวยงามของเธอต้องดับวูบ วิมานพังทลาย เธอกลายเป็นหญิงตาบอด แขน ขาพิการ เป็นอัมพาตไปครึ่งซีก!!! ออกจากโรงพยาบาล นางสาวสายหยุดกลับไปอยู่กับแม่ แม้จะอ่อนแรงลงซีกหนึ่ง เธอก็ช่วยตนเอง และช่วยแม่ทำงานบ้านเล็กๆน้อยๆ แม่ต้องหาเลี้ยงเธอ โดยการปลูกผักขาย ไม่น่าเชื่อว่า จะเกิดเวรกรรมซ้ำสองอีกยี่สิบปีต่อมา มีคนร้ายปีนขื้นบ้าน หวังข่มขืน นางสาวสายหยุด คนตาบอด พิการ และอายุ 39 ปี เธอไม่ยอม...หวีดร้องให้แม่ช่วย ผู้ร้ายใจโหด ใช้ขวานทุบ ทำร้าย แม่ที่ชราของเธอ และทุบขาเธอหัก ชาวบ้านต่างใด้ยินเสียงหวีดร้อง ขอความช่วยเหลือ ต่างวิ่งมาช่วย ผู้ร้ายจึงวิ่งหนีไป ชาวบ้านเหมารถสองแถว พาเธอและแม่มาส่งโรงพยาบาล อนิจจา! รถสองแถว มาไม่ถึงโรงพยาบาล... คนขับสิบล้อเมายาบ้า แซงสวนทางมาอย่างคึกคะนอง เบียดรถสองแถวที่เธอกับแม่นั่งมา กลิ้งคว่ำหลายทอดลงข้างทางที่เป็นร่องลึก แม่ที่บาดเจ็บสาหัสตายคาที่ นางสาวสายหยุดสลบเหมือด รถตำรวจรีบช่วยเหลือส่งเธอเข้าโรงพยาบาล ที่ห้องฉุกเฉินในคืนวันนั้น... "ทำไมถึงดวงซวยอย่างนี้นะ" หมอพัลลภอดเอ่ยปากเช่นนี้ไม่ใด้ เมื่อทราบประวัตินางสาวสายหยุด ผลการตรวจพบว่านางสาวสายหยุดรู้ตัวดี แม้จะอ่อนเพลียมาก เปลือกตาซีดมาก ความดันโลหิตต่ำ เหงื่อซึมเต็มหน้า กระสับกระส่าย เธอ อยู่ในภาวะ ช๊อก! หน้าท้องของเธออืดตึง หมอวินิจฉัยว่า...สงสัยอวัยวะภายในฉีกขาด หมอรีบเข็นนางสาวสายหยุด เข้าห้องผ่าตัดในทันที เพื่อทำการผ่าตัดเปิดหน้าท้อง วิสัญญีแพทย์ดมยาสลบ หมอพัลลภผ่าตัดเข้าไปในช่องท้องของนางสาวสายหยุด พบว่า... ตับแตกเป็นแฉกๆ ม้ามแตกเละ หมอพัลลภตัดม้ามใด้โดยง่าย ไม่มีปัญหาอะใร แต่การเย็บตับ ไม่สามารถห้ามเลือดใด้ หมอเย็บหลายครั้งเลือดก็ยังไม่หยุด ให้เลือดไปทั้งหมดยี่สิบถุงแล้ว ความดันโลหิตยังไม่ดีขื้น หมอจึงตัดสินใจใช้ผ้ากอซขนาดใหญ่ยัดห้ามเลือดที่ตับใว้แล้วปิดหน้าท้อง อีก 48 ชั่วโมง ต้องผ่าตัดเอาผ้ากอซออก ถ้าทิ้งใว้จะเน่าและคนใข้เกิดการติดเชื้อทางกระแสเลือดใด้ สำหรับขาที่หักจากการถูกทำร้าย หมอกระดูกใด้มาใส่เฝือกใว้ก่อน ในไอซียู... หลังการผ่าตัดเพียง 6 ชั่วโมง นางสาวสายหยุดก็รู้สึกตัว ถึงแม้จะเจ็บแผล และระบมร่างกายเพียงใด เธอก็ไม่ใส่ใจ สิ่งที่เธอทำสิ่งแรกคือร้องเรียกหาแม่ "แม่จ๋า แม่อยู่ไหน แม่อยู่ไหน" "แม่เจ็บนิดหน่อย อยู่ที่ตึกข้างนอกจ้ะ" พยาบาลโกหก "ไม่จริง แม่ถูกค้อนทุบ ถูกค้อนทุบ แม่อยู่ไหน ฉันจะไปหาแม่" เธอเร่งเร้า ตาบอด ตาใส ส่ายกลิ้งไปมา "แม่เจ็บนิดหน่อยจริงจ้ะ ถ้าคุณสายหยุดหายดีกว่านี้ พี่จะพาไปหาแม่" พยาบาลบอก กลืนก้อนสะอื้นที่จุกที่คอลงไป "จริงๆนะ" เธอยกมือข้างที่ไม่เป็นอัมพาต จับมือพยาบาลใว้ พยาบาลห้องผ่าตัด ที่ช่วยหมอผ่าตัดนางสาวสายหยุด เล่าให้กันฟังถึงความน่าสงสารของเธอ ต่างเรี่ยไร บริจาคเงินใด้เงินพันกว่าบาท กะจะมามอบให้เธอ แต่ยังไม่ทันมามอบ 12 ชั่วโมงหลังผ่าตัด นางสาวสายหยุดร้องอย่างดีใจ...เธอบอกว่า "พี่ แม่มาหาฉันแล้ว แม่มาแล้ว" เธอยิ้ม ดวงตาใส จ้องมองด้านบน พยาบาลใจหายวาบ! ไม่ใด้ใจหายเพราะเธอพูดถึงแม่ แต่ใจหายเพราะเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ที่วัดสัญญาณชีพ (เครื่องวัดความดันโลหิต และออกซิเจนในเลือด) พากันร้องรัวเสียงแหลม "ปรี้ด ปรี้ด" เสียงนั้นกระชากหัวใจของหมอพยาบาล ต่างวิ่งมาที่เตียงของเธอ ความดันโลหิตของเธอตกจนวัดไม่ใด้ หายใจช้าลงช้าลง ท้องเธออืดขื้นมาอีกครั้ง "พุชเลือด" มองดูอาการแสดงว่า เลือดออกใหม่จากตับที่แตก หมอพัลลภสั่งดันเลือดเข้าร่างนางสาวสายหยุด พยาบาลใช้กระบอกสูบ ดันเลือดเข้าร่างแล้ว หมอรีบใส่ท่อหายใจบีบออกซิเจนเข้าสู่ปอด "อะเรส (Arrest)" เสียงหมอร้อง นั่นคือ หัวใจคนใข้หยุดเต้น พยาบาลโถมร่างขื้นปั้มหัวใจ หวังช่วยชีวิตนางสาวสายหยุดผู้น่าสงสาร ยิ่งให้เลือด แขนขายิ่งขื้นจ้ำเลือด ยิ่งให้เลือด ท้องก็ยิ่งอืดหลาม อาการเช่นนี้ ทุกคนรู้ว่า ความแข็งตัวของเลือดผิดปกติ ตับที่แตกคงปริแตกอีก ผ้ากอซที่ยัดใว้ จึงไม่สามารถห้ามเลือดใด้ การช่วยชีวิตขั้นสูงดำเนินไปจนสองชั่วโมงผ่านไป... เหงื่อแตกเต็มร่างหมอพยาบาล ม่านที่เตียง นางสาวสายหยุด ถูกรูดปิด... เธอใร้ญาติขาดมิตร แม่คนเดียวที่เหลือก็จากไปก่อน จึงไม่มีแม้เสียงร่ำไห้ของญาติ มีแต่น้ำตาที่คลอตาของหมอและพยาบาล ห้องไอซียู และพยาบาลห้องผ่าตัด ที่กำเงินมาพันบาทเศษหวังมามอบให้...แต่ไม่ทัน "สงสารคุณสายหยุดจังเลย ชีวิตอาภัพเหลือเกิน ขนาดพวกเรารวมเงินมาให้ ก็ยังไม่มีโอกาสใด้รับ" พยาบาลห้องผ่าตัดพรรณนา นางสาวสายหยุดจากไป ขณะที่หลายคนคิดว่า "ชีวิตที่เหลืออยู่ถ้ารังแต่เกิดความทรมาน ทั้งร่างกายและจิตใจ การจากไป มิใช่หนทางที่ดีกว่าหรือ" แต่หลายคนก็ค้านว่า "ถึงจะลำบากยากแค้นเพียงใด การมีชีวิตอยู่อย่างกล้าหาญและอดทนเป็นคุณสมบัติอันประเสริฐของมนุษย์ เป็นตัวอย่างที่ดี ให้ผู้คนที่ลำบากเห็น และเอาเยี่ยงอย่างของการไม่ยอมพ่ายแพ้ต่ออุปสรรคใดๆ ไม่ว่าความคิดเห็นข้อไหนถูก... "สัพเพ เภทปริยนต เอว มจจาน ชิวิต = ชีวิตของสัตว์เหมือนภาชนะดิน ซึ่งล้วนมีความเสื่อมสลายในที่สุด" คนที่ยังมีลมหายใจอยู่ในขณะนี้ ท่านรู้หรือไม่ว่า ท่านโชคดี กว่าคนอีกไม่รู้กี่คน...มากเท่าใด
26 พฤษภาคม 2551 21:08 น. - comment id 97043
ขอบคุณมากๆคับที่นำเรื่องที่ให้กำลังใจคนอื่นที่ดีๆแบบนี้
24 พฤษภาคม 2551 10:57 น. - comment id 100298
เคยคิดว่าทำไมเราโชคร้ายจัง แต่พออ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึกว่า มีคนที่โชคร้ายกว่าเรามากมาย ขอบคุณค่ะที่เขียนเรื่องดีดีให้อ่าน ทำให้มีกำลังใจสู้ต่ออีกเยอะเลยค่ะ
24 พฤษภาคม 2551 22:28 น. - comment id 100302
เมื่อไม่กี่วันมานี่ เพื่อนร่วมงานขอลาพักงานยาวเพื่อดูแลพ่อ เริ่มต้นจากที่พ่อรู้สึกชาขา แพทย์ตรวจพบว่าเส้นเลือดฝอยที่ขาอุดตัน พ่อที่เป็นอดีตข้าราชการกินบำนาญก็ยังพูดติดตลกเลยว่า.. "ตัดไปเลยครับ" แพทย์กล่าวว่า "ขายังดีอยู่" จากนั้นก็ผ่าตัด โดยการเปิดแผลที่น่องจัดการกับเส้นเลือดที่อุดตัน แผลที่หนึ่ง แผลที่สอง แผลที่สาม จนกระทั่งแผลที่สี่ .. เพื่อนส่งรูปมาให้ดูเป็นระยะ นึกถึงแผงหมูที่ตลาด ขาของพ่อเปิดแปะเห็นเนื้อแดง 4 ตำแหน่ง "แย่ว่ะ แผลที่หนึ่งกับแผลที่สาม เย็บไม่ติด" เพื่อนโทรมาบอก พร้อมกับขอลาพักงานต่อ แต่กำลังใจของพ่อดีมาก พ่อคุยกับแพทย์เสมอยังคงย้ำคำว่า "ตัดตั้งแต่ต้นก็ดีแล้ว ต้นขาเลย ไม่ได้ใช้แล้ว เดินมาตั้งแต่เด็กจนแก่ ขี้เกียจจะเดินล่ะ" ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนั้น พ่อมีความคิดว่าอย่างไร เพื่อนบอกว่า พ่อดูเหมือนไม่เดือดร้อนอะไรเลย "ต้องตัดล่ะ แผลแย่มาก เป็นเบาหวานก็เงี๊ยะ ตัดใต้เข่า" ผลของการผ่าตัดเรียบร้อย เพื่อนมาทำงาน อีกห้าวันให้หลัง แม่โทรมาอีก "หา..ต้องตัดอีกเหรอ ไหนหมอบอกว่าแผลดีไง" ได้ยินเพื่อนพูดทางโทร ในที่สุด ก็ต้องตัดเพิ่ม คราวนี้ถึงต้นขาจริง ๆ อย่างที่พ่อประเมินไว้ตั้งแต่คราวแรก "ข้าบอกแล้วไม่เชื่อ หมอมันจะรู้ดีไปกว่าเข้าของขาได้ไง" พ่อพูดไปหัวเราะไป แต่ทุกคนรู้พ่อเจ็บ ฉันฝากของไปเยี่ยมพ่อของเพื่อน มีการ์ดเล็ก ๆเหน็บติดไป .. ขอให้แข็งแรงและมีกำลังใจดี ก็ไม่คิดหรอกว่า พ่อของเพื่อนจะมีจดหมายตอบมาถึงฉัน ใจความมีว่า .. ถึงเพื่อนไอ้อัช โชคยังดีที่พ่อโดนแค่ตัดขา ถ้าโดนตัดมือคงเขียนจดหมายไม่ได้ โชคดีที่มีรีโมทโทรทัศน์ ทำให้ไม่ต้องลุกไปเปิด ลุกไปปิด เดี๋ยวนี้มีอะไรต่อมิอะไรที่ดีไปหมด แอร์ก็ยังปรับด้วยรีโมทเลย ไอ้อัชไม่ได้ทำงานหลายวัน คงมีงานค้างไว้เยอะ คงเป็นภาระคนอื่น พ่อจะรีบหาย รีบหัดเดินละกัน ขาปลอมมีขาย หาไม่ยาก ฝึกหน่อยก็เดินได้ ปล.แบรนด์ซุปไก่ กินไม่ได้ มีน้ำตาล ตัดถึงขาแล้วไม่อยากให้ตัดถึงเอว