บันทึกจากพ่อ

POOLUM

วันนี้พ่อตื่นขึ้นมาอ่านข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นที่ทำให้พ่อต้องมานั่งเขียนบันทึกถึงลูก เป็นเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่ง การศึกษาปริญญาโท จากจุฬาฯ เธอเรียนจบด้วยเกรดนิยมอันดับ 1 หลังจากเรียนจบ เธอประกอบอาชีพเป็นอาจารณ์สอนนักเรียนที่มหาวิทยาลัยเอแบค สาขาเศรษฐศาสตร์ที่เธอเรียนมาโดยตรง ในด้านของครอบครัวเธอเป็นลูกคนเดียวซึ่งก็เหมือนกับพ่อที่มีลูกเพียงคนเดียว ต่างกันที่พ่อของเธอคงมีฐานะทางการเงินและวัตถุมากกว่าพ่อหลายเท่า เป็นผู้นำเข้าสินค้ายี่ห้อดังจากเมืองนอกเข้ามาขายในเมืองไทย ซึ่งนั้นไม่ใช้ปัญหาทั้งของพ่อและของเรื่องที่พ่อกำลังจะเล่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเนื่องจากเมื่อวานเธอผู้นี้ขับรถยนต์เบนต์สปอนต์คันหรู ขึ้นไปบนตึกเอ็มไพร์ชั้น 10 ถนนสาธร เธอสูบบุหรี่ยี่ห้อดังหนึ่งมวน แล้วตัดสินใจโดดตึกลงมายังชั้นล่าง ข้างกายมีสมุดบันทึกเขียนตัดพ้อคนที่เธอรัก เนื้อความอธิบายความรู้สึกประมาณว่าแฟนหนุ่มของเธอไปมีแฟนใหม่ เธอรักเขามากที่สุดในโลก ขาดเขาไม่ได้ ถ้าตื่นขึ้นมาไม่มีเขาอยู่ข้างกาย ก็ไม่อยากอยู่ ต่อไป 
	เรื่องราวทั้งหมดก็มีประมาณนี้ ส่วนตัวพ่อไม่ต้องการให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นและขอแสดงความเสียใจกับเหตุกาณ์ที่เกิดขึ้น เสียใจกับผู้ให้กำเนิด เสียใจกับสถาบันการศึกษา เสียใจกับลูกศิษย์ที่เธอเคยให้ความรู้ และเสียใจกับโลกใบนี้ที่สูญเสียมนุษย์ที่ไม่ควรจะเสียในรูปแบบที่เกิดขึ้นไปอีกท่านหนึ่ง
	เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้พ่อนึกไปถึงเมื่อสัปดาห์ก่อนมีข่าวอยู่สองสามชิ้นที่ย้อนกลับมาให้ห่วงคำนึง ข่าวแรกเป็นเรื่องเด็กนักเรียนมัธยมต้น ร่วมตัวกันไปขโมยน๊อตรางรถไฟและสายไฟฟ้าสาธาณะ เพื่อนำไปขาย มูลค่าของการขายไม่ต้องนับว่ามีค่ากี่บาทเพราะผลกระทบที่มีตามมามีมูลค่าเทียบความเสียหายกันไม่ได้ถ้ารถไฟเกิดตกราง เมื่อตำราจจับเด็กกลุ่มนี้ได้ พวกเขาให้การยอมรับว่าขโมยจริงเพียงเพื่อต้องการนำเงินไปซื้อของเล่น ข่าวที่สองเป็นเรื่องคลายๆกัน แต่ใกล้ตัว มากกว่ากรณีที่มีคนแถวที่ทำงานพ่อมาขโมยมิเตอร์น้ำไปในตอนกลางคืน พ่อมาทำงานตอนเช้า ไม่มีน้ำจะใช้เดินไปเห็น หัวมิเตอร์หายไปแล้ว พ่อถามคนแถวนั้นเขาว่า คนที่มาขโมยเอาไปขายก็ไม่ได้เงินเท่าไหร่หรอก เอาไปใช้ตามห้องแถวที่ไม่ยอมเสียค่ามิเตอร์ตามกฎหมายของการประปาเท่านั้น ส่วนเรื่องสุดท้ายที่เข้ามาในหัวโดยที่ดูเหมือนไม่น่าจะเป็นเรื่องที่น่าจะมาคิดรวมกัน แต่มันปฎิเสธยากว่าไม่ได้เกิดจากสันดานเดียวกัน ก็คือมีดาราชายหญิงคู่หนึ่งผู้ชายฐานะทางสังคมดีผู้หญิงก็สูงส่งไม่แพ้กัน รูปร่างหน้าตาไม่ต้องอ้างย้อมดูโดดเด่นกว่า ปุถุชนทั่วไป ทั้งคู่มีลูกชายหน้าตาน่ารัก ดูน่าจะมีชีวิตที่เพียบพร้อมไม่แพ้กันกับหญิงสาวเจ้าของรถเบนต์ แต่ข่าวของชายหญิงทั้งคู่ตลอดเดือนที่ผ่านมา มีแต่เรื่องการทะเลาะเพื่อนำไปสู่การหย่าร้าง โดยมีลูกชายอายุ 5 ขวบ ข้างกาย ไม่สนแม้แต่ความคิดถึงสถาบันครอบครัวและมนุษย์ตัวน้อยๆ ที่เฝ้ามอง
	แน่นอนเรื่องที่เกิดขึ้นถ้าคิดให้ดี ล้วนป็นภาพสะท้อนการดำเนินชีวิตของมนุษย์ในปัจจุบันไม่มากก็น้อย ถ้าเราลองมาพิจารณากัน หญิงสาวที่ตัดสินใจฆ่าตัวตายท่ามกลางความพรั่งพร้อมทางวัตถุทั้งเงินทอง วุฒิการศึกษา ฐานะทางสังคม ล้วนสามารถตอบสนองความต้องการชนิดที่เด็กขโมยน๊อตปรารถนา แต่เธอก็เลือกทางที่จะปลิดชีพ เพื่อแก้ปัญหาของตน โดยไม่สนใจความเป็นไปของคนใกล้ตัวที่ให้กำเนิดทั้งชีวิต และการศึกษา ความไม่สนใจในผู้คนอื่น ที่แวดล้อมตนล้วนเป็นผลต่อเนื่องถึงเด็กนักเรียนที่ต้องการแก้ปัญหาความอยากได้ของเล่น โดยเลือกทางที่ตนจะเป็นขโมย โดยไม่สนใจว่ารถไฟขบวนไหนจะตกราง หรือขโมยสายไฟ โดยไม่สนใจว่าหมู่บ้านไหนจะไม่มีไฟฟ้าใช้ หรือแม้แต่มิเตอร์ที่ทำให้ออฟฟิศเราต้องขาดน้ำไปเกือบครึ่งวัน
	กรณีดาราชายหญิงที่ต้องการหย่าร้างเพื่อจะมีคนรักใหม่ โดยไม่สนใจสายตาของลูกที่ตนทั้งคู่ให้กำเนิด พ่อนึกไม่ออกว่าถ้าวันหนึ่ง เราสามารถจับเด็กที่ขโมยน๊อตของรางรถไฟได้ แล้วเด็กพวกนั้นไม่ได้ไปขายเพื่อซื้อของเล่น แต่ตอบว่า  ผมไม่เห็นว่ารถไฟตกรางมันจะเดือดร้อนตรงไหน ในเมื่อตอนเด็กๆ พ่อกับแม่ผม แยกทางกันยังไม่สนใจเลยว่าผมจะเดือดร้อนยังไง				
comments powered by Disqus
  • รอยทาง

    22 มีนาคม 2551 23:12 น. - comment id 99654

    อ่านแล้วได้ข้อคิดดีมากสำหรับสังคมไทยปัจจุบัน   ขอแถมอีก"สงครามนางฟ้า"  กลับกลายเป็นสงครามนอกจอ   เพราะความมักมากของชาย  ความไม่รู้จักเสงี่ยมเจียมตัวของหญิง   แม้จะอยู่ในสังคมที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดีในสังคม   เพราะกิเลสตัณหา  มักมากในกาม   ผลสุดท้ายที่ตามมาก็คือปัญหาความเสื่อมของสังคมและลูกที่เกิดขึ้นมาจะบอกสังคมว่าอย่างไร  ในเมื่อพ่อแม่ของพวกเขาเป็นกันเช่นนั้น
  • sriwon

    23 มีนาคม 2551 15:18 น. - comment id 99664

    สังคมปัจจุบันเปลี่ยนไป
    คนเห็นแก่ตัวมากขึ้น  
    ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำไปเพื่อตนเองทั้งสิ้น
    ผู้ใหญ่ที่เป็นตัวอย่างที่ดีมีน้อยมาก
    ถ้าเรายังไม่แก้ไขที่ผู้ใหญ่.......สร้างแบบอย่างที่ดี
    ถ้าเราไม่แก้ไขที่ตนเอง.......ยอมเราความจริง/สร้างปัญญา
    ถ้าเราไม่สนับสนุนการทำความดี........เพื่อขวัญกำลังใจ
    สังคมต่อไปจะเหลือดีอะไร
  • คนร่วมโลก

    24 มีนาคม 2551 09:42 น. - comment id 99673

    อ่านแล้วนึกถึงผลวิจัยเอแบคโพลเมื่อสองสัปดาห์ก่อน เรื่องความคิดเห็นเกี่ยวกับนักการเมืองที่คอรัปชั่น ผลปรากฎว่า ผลสำรวจประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 80 เห็นว่าการคอรัปชั่นไม่มีปัญหา ถ้ารัฐบาลหรือนักการเมืองเหล่านั้นทำให้ชีวิตพวกเขาอยู่ดีมีสุข คิดแล้วก็ไม่ต่างจากเด็กที่ขโมยน๊อต ทำทุกอย่างได้ฃองให้ตนมีของเล่น ไม่สนใจว่าใครจะเดือนร้อน ถ้าผู้คนส่วนใหญ่ของประเทศคิดกันแบบนี้ เริ่มตั้งแต่เด็กจนโตจนวันหนึ่งพวกเขาส่วนหนึ่งต้องการดูแลประเทศแทนคนที่แก่ตายไป ไม่อยากนึกเลยว่าบ้านเมืองเราจะกลายสภาพเป็นอย่างไร

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน