"เรามาวิ่งแข่งกันมั๊ย" เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้นจากข้างหลัง ขณะที่ฉันกำลังเดินทอดน่องอย่างสบายอารมณ์ จุดหมายคือบ้านน้าที่อยู่ถัดไปไม่ไกลนัก "อ้อ...นึกยังไงขึ้นมาล่ะ...ได้สิ" ฉันตอบแบบงงๆ เมื่อเห็นเจ้าของเสียง ซึ่งเป็นเพื่อนเล่นในวัยเด็ก ที่บ้านอยู่ตรงข้ามกันนั่นเอง ที่แปลกใจเพราะตั้งแต่พวกเราเรียนมัธยมก็แทบจะไม่ได้คุยกันเลย เจอกันจังๆก็แค่พยักเพยิดให้กันพอเป็นพิธีเท่านั้น ไม่เหมือนสมัยเด็กๆที่แต่ละคนยังกะโปโลกันอยู่ พอถึงวันหยุด พี่ชาย ซึ่งเป็นลูกของน้าจะเป็นหัวโจกพาเด็กๆในซอยเล่นกัน สมัยนั้นเด็กๆวัยไล่เลี่ยกันจะเยอะ ก็เลยสนุกและสนิทกันเร็ว แต่พอขึ้นมัธยม ไม่รู้เมื่อไหร่เหมือนกันที่พวกเราเริ่มจะห่างกันไป แต่กลุ่มผู้หญิงก็ยังเหนียวแน่นเหมือนเดิม เพียงแต่จากที่เล่นเกมส์ซ่อนหา โดดยาง ม้าก้านกล้วย ตี่จับ เตย วิ่งแข่ง โอย...นึกแล้วท่าจะยาว คนแก่แล้วก็ประมาณนี้แหละนะความหลังเยอะหน่อย หลังๆพวกเราจะไปรวมตัวกันบ้านน้าทำขนมกินกัน เพราะน้าใจดี เด็กๆจึงแวะเวียนกันไปหาอยู่ประจำ จนถึงขณะนี้ก็ยังเป็นที่รำลึกความหลังไปโดยปริยาย ส่วน ยะ เจ้าของเสียงข้างบนนั้น พอขึ้นมัธยมก็เสน่ห์แรง เจ้าชู้หาตัวจับยาก เลยห่างกันไปโดยอัติโนมัติ แล้วเย็นวันหนึ่ง หลังจากกลับจากโรงเรียน แต่ฉันก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนชุด เพราะต้องใส่ให้คุ้ม (ความจริงแล้วไม่อยากซักหลายชุดนั่นเอง)ฉันตั้งใจจะเดินไปเที่ยวบ้านน้าอย่างเคย เดินไปได้สักพักก็ได้ยินเสียง ยะ ตามหลังมาว่า "วิ่งแข่งกันมั๊ย" "อ้อ...นึกยังไงขึ้นมาล่ะ...ได้สิแต่ระยะทางแค่นี้ฉันแพ้เห็นๆอยู่แล้วจะแข่งให้เหนื่อยทำไม" ฉันไม่ได้ตั้งใจจะต่อรอง แค่ไม่อยากวิ่งเฉยๆ แต่ ยะ กลับบอกว่า "เดี๋ยวต่อให้ วิ่งไปถึงเสาไฟฟ้าต้นนั้นแล้วเราจะวิ่งตาม" "อืมม....ก็ได้"(ลองเสี่ยงดู...ฉันแอบคิดในใจ) ก่อนที่เราจะเริ่มวิ่งแข่งกัน พี่ชายก็โผล่หน้ามาอยู่หน้าบ้านแล้วตะโกนว่า "เดี๋ยวส่งสัญญาณให้ เอ้า หนึ่ง สอง สาม" ฉันออกสตาร์ทอย่างแรงและเร็ว เพราะคิดว่านี่เป็นโอกาสที่จะเอาชนะคนที่ไม่เคยชนะได้เลยตั้งแต่เด็ก และคิดว่าเดี๋ยว ยะ คงจะแซงไปได้อยู่ดี เพราะนักกีฬาอย่างเขากับ กองเชียร์อย่างฉันจะเอาอะไรไปสู้ได้ถึงจะต่อให้ก็เถอะ แต่ฉันกลับได้ยินเสียงฝีเท้าที่เหมือนคนวิ่งเหยาะๆซะมากกว่า สุดท้ายฉันก็ชนะไปแบบเซ็งๆ พี่ชายตะโกนแซว ยะ ว่า "วู้ๆ ออมแรงนี่หว่า แพ้ผู้หญิง ฮ่าๆ" แล้วสองหนุ่มก็หายตัวไปไหนกันอีกไม่รู้ เช้าวันถัดมา ฉันเจอหน้า ยะ ก่อนออกจากบ้านแว๊บนึงก็เลยยิ้มให้ก่อนเป็นครั้งแรก ยะ ก็ยิ้มตอบกลับมา ณ เวลานั้นฉันไม่นึกเอะใจเลยว่า นั่นจะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่เราได้เจอกัน ต่างคนต่างไปโรงเรียนโดยไม่ได้พูดคุยกันเหมือนเคย หลังเลิกเรียนพอกลับถึงบ้าน ขณะที่ฉันกำลังดูทีวีอยู่ก็ได้ยินเสียงร้องไห้มาจากบ้านของ ยะ เสียงของป้าเกดแม่ของ ยะนั่นเอง ใจลงไปอยู่ตาตุ่ม เหมือนเท้าจะไวเท่าความคิดพอรู้สึกตัวอีกทีฉันก็มาอยู่บ้าน ยะ แล้ว คนที่บ้านบอกว่า ยะ มอเตอร์ไซค์คว่ำ ตายคาที่ เค้าไปส่งเพื่อนกลับบ้านที่นอกเมือง(พวกเราอยู่ในตัวอำเภอ เพื่อนส่วนหนึ่งมาจากนอกเมืองเวลามาเรียนจะนั่งรถรับส่งนักเรียนมา)เค้าซ้อนกันไปสี่คน ยะ เป็นคนขับ เสี้ยงนั้นก้องเหมือนมาจากที่ไกลๆที่ไหนสักแห่ง นาทีนั้นฉันอยากให้ตัวเองหูแว่วไปเองแต่ เสียงร้องไห้ กลิ่นอายความเศร้าโศก ณ ที่แห่งนั้น ก็ทำให้ฉันร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร ภาพเมื่อวานตอนเย็นที่พวกเราวิ่งแข่งกัน และรอยยิ้มเศร้าๆเมื่อเช้า คือการสั่งลางั้นหรือ ฉันนึกโกรธตัวเองที่ทำไมไม่นึกเอะใจถึงสิ่งที่เป็นเหมือนสัญญาณบ่งบอกเหล่านั้น และนึกเสียใจที่ทำไมไม่ทำตัวให้ปกติ พูดคุยเล่นกันเหมือนตอนเด็กๆ ความจริงแล้วเป็นฉันเองต่างหากที่เปลี่ยนไป ไม่พูดไม่คุย นอกจากจะเจอหน้ากันจังๆเท่านั้น ฉันเป็นคนที่ไม่ชอบการแข่งขันเอามากๆไม่ว่าจะเรื่องอะไร เวลาเล่นเกมส์กันตั้งแต่เด็กก็จะแพ้ตลอด เพราะไม่มีแรงฮึดอยากเอาชนะใคร ณ ตอนนั้น ที่ฉันวิ่งเข้าเส้นชัยเอาชนะคนที่ไม่คิดว่าจะชนะได้ ทำให้รู้สึกมีความสุขแม้จะเพียงแว่บหนึ่งก็ตามหลังจากที่ได้ตระหนักว่าถ้าเขาไม่ออมมือให้ก็ไม่มีทางชนะได้หรอก การสูญเสีย เพื่อนวัยเด็กในครั้งนั้นทำให้ฉันเรียนรู้ที่จะรู้จักเอาชนะแต่เป็นการ เอาชนะใจตนเอง นั่นคงเป็นคำสั่งลาที่ฉันคิดว่า ยะ อยากจะบอก "อย่าเพิ่งยอมแพ้ ถ้าคุณใช้แรงแค่น้อยนิด" วันนั้นถ้า ยะ ไม่ออมมือให้ ถึงแพ้ฉันก็ภูมิใจ เพราะอย่างน้อยก็สู้สุดใจตั้งแต่ก้าวแรกที่ออกสตาร์ทแล้ว "ขอบคุณนะคนบนฟ้า" ปล.ไหนๆนายก็ได้ไปที่ชอบๆแล้ว สงกรานต์นี้ฉันจะฝากขนมที่นายชอบไปให้นะ รอรับด้วยล่ะ"
6 มีนาคม 2551 18:16 น. - comment id 99353
คิดถึงเพื่อนเก่าๆที่ไม่อยุ่ในโลกนี้แล้วน่าใจหายนะโคลอน คิดถึงเรื่องราวดีๆ สิ่งดีๆที่เคยให้เราไว้ เคยร่วมทำกันมา ก็เป็นสิ่งที่ประทับ ใจไม่ลืมเลือน
7 มีนาคม 2551 07:23 น. - comment id 99360
***ช่ออักษราลี*** แปลกนะคะผ่านไปกี่ปีความทรงจำกลับไม่จางหาย...ยิ่งมีสิ่งสะกิดใจให้นึกถึงอยู่เสมอเลย *** p.g*** แรกๆพี่ก็ร้องไห้ค่ะ แต่ตอนนี้พี่กลับยิ้มได้เมื่อนึกถึง พี่เคยสูญเสียหลายครั้ง คนบนฟ้าพี่ก็เลยอยู่เต็มไปหมดบนท้องฟ้านู่นแน่ะค่ะ ทุกครั้งที่พี่แหงนมองฟ้าพี่ก็คิดนะคะว่า มีใครสักคนมองอยู่ เป็นการสร้างกำลังใจให้ตัวเองและเตือนตัวเองไม่ให้ทำในสิ่งที่ผิดพลาด เพราะคนที่เรารักและรักเราอาจกำลังมองเราอยู่ ขอบคุณ ช่ออักษราลีและ พีจี อีกครั้งนะคะที่เข้ามาพูดคุยกันเนาะ กาแฟมั๊ยคะ ล้อมวงๆ
7 มีนาคม 2551 01:33 น. - comment id 99361
พี่โคลอน เวลาที่พี่คิดถึงคนบนฟ้า พี่ร้องไห้มั้ยค่ะ.....? คนบนฟ้าของพี่เค้ากำลังยิ้มอยู่รู้มั้ยค่ะ.....ยิ้มให้คนที่กำลังคิดถึงเค้าที่เขียนบทความนี้ไง ^^ คนบนฟ้าของหนู เค้าน่ารักเสมอสำหรับหนูเลย น่ารักในความทรงจำ น่ารักในความผูกพัน น่ารักในความรัก น่ารักในความรู้สึก แล้วก็ น่ารักใน.....กาลเวลา สรุปแล้วก็น่ารักทุกอย่างเลยค่ะ แบบนี้....หนูถึงรักคนบนฟ้ามากๆเลย ดีใจที่อย่างน้อย...ฟ้าก็ยังให้เราได้เจอกัน และรักกัน พี่คิดแบบหนูมั้ย....คนบนฟ้าคอยมองเราอยู่เสมอไม่ว่าอยู่ ณ ที่ไหน เค้าจะคอยมองเราเสมอ....พี่ว่าจริงมั้ยค่ะ^^
7 มีนาคม 2551 07:39 น. - comment id 99363
ไม่รู้มีใครเคยเป็นเหมือนกันมั๊ยในช่วงเวลาที่เราคิดถึงใครสักคนที่จากเราไปอยู่บนฟ้า ถ้ามีตัวอะไรโผล่มา ไม่ว่าจะเป็น ตุ๊กแก จิ้งจก กบ สัตว์อะไรก็ตามเราจะคิดว่าเป็นคนๆนั้น.. พอเราคิดแบบนั้นความกลัวมันจะน้อยลง เคยนั่งจ้องหน้า คางคก ตั้งนานเพราะเมื่อก่อนแค่เห็นก็ร้องจ๊ากแล้ว พอเห็นโฆษณาตัวหนึ่งที่ผู้ชายคนหนึ่งคิดว่า เป็ดเป็นเพื่อนตัวเองที่ตายไปแล้วมาหาก็เลยเลี้ยงไว้ก็จะอดขำไม่ได้ ตอนนี้มีสัตว์หลายชนิดเลยที่เมื่อก่อนเคยกลัว ขยะแขยง วันนี้กลับเฉยๆ เริ่มแรกที่ทำให้คิดอะไรแปลกๆก็เพราะวันครบรอบ2ปีวันที่น้องหมาเสีย ก็คุยกับอากาศว่า "ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ขอให้กลับมาอยู่ด้วยกันนะ" ช่วงนั้นเลยสารพัดสัตว์เลยที่เข้าไปจ้องตา หารอยตำหนิ อย่าหัวเราะกันนะคะ มันเป็นเองอ่ะเหมือนว่าเราไม่อยากจะยอมรับความสูญเสีย ตอนนี้ไม่คิดอะไรแบบนั้นแล้ว เพราะถ้าพวกเค้ารู้ก็คงจะไม่ปลื้มเท่าไหร่ที่ดันไปคิดว่า ตุ๊กแกเอย คางคกเอย กบเอย อาจจะเป็นพวกเค้าได้ เอ่อ... ขอโทษที่พาดพิงถึงนะเจ้าตัวน้อยทั้งหลาย
7 มีนาคม 2551 08:46 น. - comment id 99369
อย่างไรเสีย คนบนฟ้า ก็ไม่ต้องออกแรงมากหรือน้อยกว่าเราแล้วเนาะ โคลอน มีแต่เรานี่แหละ ที่จะต้อง บอกตัวเองเสมอๆ ว่าตอนนี้ต้องใช้มากนะ ตอนผ่อนๆ ลงมาหน่อยนะ อิอิ เกี่ยวกันไหมหว่า
7 มีนาคม 2551 10:21 น. - comment id 99372
นั่นสิคะ ...คนที่ต้องเดินทางต่อไปก็คงต้องเข้มแข็งและอดทนเนาะ "เกี่ยวเถอะนะแม่เกี่ยว...โย้นโย๊น"
7 มีนาคม 2551 11:02 น. - comment id 99373
เจอแว้ว..อยู่นี่เอง นักวิ่ง สี่คูณร้อยป่วนใต้..อิอิ ยะ..คงไปสบายแล้วล่ะ เหลือแต่.. เราๆ ทำตามคำแนะนำหมอ..หายใจไว้นะ ไมตรีจิตมิตรอักษร
7 มีนาคม 2551 12:02 น. - comment id 99376
...บางทีการแพ้ก็สอนเราได้ดีกว่าชนะ เรื่องนี้ทำให้ผมได้ข้อคิดอย่างนี้ ...ผมก็มีคนบนฟ้าที่อยากเขียนถึง แต่ยังลังเลว่าจะเขียนดีหรือเปล่า... (เอ...เหมือนพูดไปแล้วนะ) เขียนได้ดีครับ สั้นๆ แต่กินใจเหมือนเคย
7 มีนาคม 2551 14:53 น. - comment id 99380
***คอนพูทน*** ตอนที่นึกถึงเรื่องนี้ก็เพราะว่าสงกรานต์จะมีการรวมรุ่นที่โรงเรียนอ่ะค่ะ ก็เลยทำให้อยากเขียนถึง เพื่อเป็นการขอบคุณคนบนฟ้า ที่นานมาแล้วเคยทำให้เรารู้สึกดีๆและไม่มีโอกาสมางานรวมรุ่นด้วยกัน แต่คิดอีกทีคงจะดีเพราะความทรงจำไม่ว่าจะกี่ปีก็ยังเป็นคนเดิมตอน ม.2 อยู่ แต่คนที่ยังอยู่นี่สิ แก่ลงๆ เฮ้อ....เศร้ากว่าอีก ***boytilldie*** อิอิ...ประโยคข้างบนเมื่อเช้าก็อ่านแล้วนะคะ แต่เผอิญคุยเรื่องน้องหมาทีไรจะลืมเรื่องอื่นหมดเลย พอนึกขึ้นได้ว่า คุณ พีรเดชมาเขียนตอบไว้ ว่าจะตอบกลับแต่มือก็กดโพสไปแล้วอ่ะ ก็เลยปล่อยเลยตามเลย คนบางคนแพ้มาบ่อยๆ จนรู้สึกว่าต้องลุกมาทำอะไรซักอย่างแล้วล่ะ...ประมาณนี้กระมังคะ บางครั้ง ความทะเยอทะยานก็เป็นเหมือนแรงผลักดันให้เราก้าวไปข้างหน้า เพียงแต่ว่าเราต้องควบคุมความรู้สึกนั้นให้เดินในสายกลาง เพราะพลังชีวิตบางคนก็มีเยอะไป บางคนก็มีน้อยไปไม่เท่ากันอ่ะค่ะ... บางคนอาจต้องเรียนรู้จากความพ่ายแพ้บ้างถึงจะพอดี แต่บางคนก็ต้องเรียนรู้ที่จะชนะให้เป็นบ้างใช่มั๊ยคะ...ไม่งั้นจะกลายเป็นคนเฉื่อยชาอยู่ไปวันๆโดยไร้จุดมุ่งหมาย แบบนั้นไม่ดีแน่ๆเลยค่ะ หวาย....ร่ายมาซะยังกะ มหากาพย์ คงไม่เบื่อไปก่อนนะคะ ปล.เรื่อง คนบนฟ้า ที่ คุณ พีรเดช อยากเขียนถึงอ่ะ...เขียนเลยค่ะ ยกมือสนับสนุนคนแรกเลย เพราะแต่ละเรื่องที่คุณเขียน ทำให้ โคลอน ได้ข้อคิด มากมายเลยค่ะ อ้อ....เรื่อง โทรศัพท์มือถือ ที่ คุณ พีรเดช เขียนไว้ โคลอนไปอ่านเจอโดยบังเอิญในเว็บนี้อ่ะค่ะ http://www.bangkokbiznews.com/jud/wan/20060203/news.php?news=column_19886788.html แถมยังได้รับรางวัลชมเชย ในหมวดของจุดประกายวรรณกรรมปี 2549 ด้วยนี่คะ...เก่งจัง จากข่าวข้างล่างนี้อ่ะค่ะ ไม่เห็นเล่าสู่กันฟังเลย http://bookgang.net/paper/325
7 มีนาคม 2551 16:21 น. - comment id 99383
"เค้าจะไม่เปนคนบนฟ้า แต่จะเปนคนบนฝาเพดาน" ตั๊กแก ! คนไม่ใช่อีกัวน่า.... คนอย่างไรต้องตาย คนอย่างไรหนีไม่พ้นความตาย คนเมื่อตายก็ไม่แน่จะอยู่บนฟ้า บางคนอาจอยู่ใต้ดิน (ไม่ใช่หวย) บางคนล่องลอยไปไม่สิ้นสุด บางคนเพียงรอเวลา บางคนเสพสุข บางคนทนทุกข์แสนสาหัส ทุกสิ่งเปนไปตามกรรม ตาข่ายฟ้าไม่มีรูให้เล็ดลอด คิดอย่างไรย่อมเปนอย่างนั้น ทำสิ่งใดย่อมได้รับผลสิ่งนั้น แต่ผู้รู้แจ้ง....ไม่ข้องแวะกับกรรม เปนอิสระ ด้วยการวางอัตตาตัวตน ตัวกูของกู ผู้รู้แจ้งจึงอยู่เหนือกฎแห่งกรรม ไม่พำนักอยู่นะที่ใด....บางคนเรียกว่าแดนสุขาวดี เหนือจากสามโลก
7 มีนาคม 2551 16:27 น. - comment id 99384
สาธุ๊ วันนี้มาแนวธรรมมะเลยเนาะ... ขอบคุณมากเลยค่ะ บางทีเราก็อดจะตั้งคำถามกับตัวเองบ่อยๆไม่ได้ว่า "ตายแล้วไปไหน" ใครจะตอบได้เนอะ
7 มีนาคม 2551 16:36 น. - comment id 99386
นานคนบนดินได้คิดถึงคนบนฟ้ากับความดีของเขาแล้วก็สุขใจนะคะ
7 มีนาคม 2551 18:22 น. - comment id 99388
ไม่สำคัญว่าตอนนี้เค้าจะอยุ่ที่ไหน แต่เค้าจะอยู่ในใจเราเสมอ
7 มีนาคม 2551 19:50 น. - comment id 99392
.. เป็นเรื่องราวของความรู้สึก ที่น่าชมจังค่ะ เรื่องสั้นน่าอ่านนะคะ
7 มีนาคม 2551 21:30 น. - comment id 99394
... อ่านแล้วน่ารักคะ คุณโคลอน นับถือๆ
8 มีนาคม 2551 00:42 น. - comment id 99403
สั้น ๆ เศร้าๆ บางสิ่งบางอย่างแม้เล็กน้อยก็กระทบจิตใจ เหมือนก้อนกินแม้ก้อนเล็กปานใดก็ก่อวงกระเพื่อมที่ผิวน้ำ หากมีใครซักคนเขี้ยงมันลงไปในธารอันนิ่ง
8 มีนาคม 2551 00:43 น. - comment id 99404
อ๋อ ผมพิมพ์ผิด ก้อนหินครับ ไม่ใช่ก้อนกิน
8 มีนาคม 2551 23:20 น. - comment id 99425
พี่โคลอนค่ะ (๔) ช่วงนี้ยุ่งๆ เลยไม่ค่อยได้เข้ามาอ่าน บทความเอย บทกลอนเอย อ่านหนังสือแทบอ๊วกแว้วอ่ะค่ะ...เหนื่อยหน่อย พรุ่งนี้ก็วันสุดท้ายจริงๆแระ เฮ้อ....เด๋วก็จาคิดถึงความเหนื่อย ของวันนี้เมื่อเวลาผ่านไป แง้ๆๆๆ ม. 6 สิ้นสุดกันที อุ้ย...กริ่นมาซะยาวเลย ว่าจะมาแสดงความคิดเห็นนะเนี่ย แหะๆ สองจาบอกว่าแบบนั้นสองก็เป็นบ่อยมากๆค่ะ เพียงแต่สองชอบคุยกับอากาศมากกว่า กบเขียดคางคกไรพวกนี้ ทำจายคุยด้วยไม่ได้เจงๆ แหะๆ .....ตอนที่เรายังมีเวลากุมมือกันได้ด้วยสองมือ เค้าเคยบอกสองว่า " เค้าจะเป็นอากาศรอบๆตัว เวลาที่ตัวสูดหายใจเข้า เค้าจะทำให้ตัวสดชื่นสบายใจและมีชีวิตต่อไป เวลาที่ตัวหายใจออก เค้าจะเอาความทุกข์ ความเศร้า ออกจากหัวใจตัวให้ เค้าจะมีชีวิตอยู่ได้ก็ต่อเมื่อตัวหายใจเข้าและหายใจออก และตัวจะมีชีวิตอยู่ได้ ก็ต่อเมื่อมีเค้าวนเวียนอยู่รอบๆตัว " ...สองเชื่อนะว่าทุกวันนี้ เค้าก็ยังเป็นอากาศดีๆ รอบๆ กายสองเสมอ และเค้าก็ยังคงทำหน้าที่ของอากาศที่ดีได้อย่างสมบูรณ์แบบเสมอต้นเสมอปลาย อย่างที่เค้าเคยบอกสองไว้ ...ไม่แปลกใช่มั้ยค่ะที่สองชอบคุยกับอากาศที่เวิ้งว้างตรงหน้า ...เวลาผ่านมานานแล้ว สองก็ยังมีความสุขทุกครั้งที่เหนื่อยๆ ล้าๆ แต่สถานที่ไม่เอื้ออำนวยให้ตะโกนเพื่อปลดปล่อยดังๆ สองก็เลยเปลี่ยนเป็นมากระซิบกับอากาศข้างๆหู กระซิบบอกว่า" จุ๊ฟเหม่งทีนึงดิ๊ยีราฟ วันเนี้ยพิเร็ดเหนื่อยมั๊กๆเลย ขอกามลางจายหน่อยจิที่ร๊าก " 5555+ พูดแระเขิน แต่ก็จริงอ่ะค่ะ สบายใจนะถ้าเราได้ทำอะไรอย่างที่ใจปรารถนา p.g. งั้นเรามา....มองฟ้าผืนเดียวกัน และคิดถึงคนบนฟ้าของเราดีกว่าค่ะ ป่านนี้เค้าคงรอเราแหงนหน้ามองฟ้าอยู่แน่ๆเลย ^^
9 มีนาคม 2551 18:38 น. - comment id 99445
น่าเศร้านะคะที่คนที่เรารักจากเราไป ในชีวิตจริงฉันก็เศร้าเหมือนกันค่ะ แต่เขาคนนั้นไม่ได้ตายหรอก ฉันเคยมองข้ามเขามาก่อน แล้วเพิ่งมาเสียดายเขาทีหลัง ซึ่งมันก็สายเกินไปแล้ว กว่าจะตั้งหลักได้ก็เจ็บปางตายเลยค่ะ
12 มีนาคม 2551 13:44 น. - comment id 99474
ขอบคุณนะคะ ***เพียงพลิ้ว*** นานๆจะเขียนถึงคนบนฟ้า เป็นความรู้สึกที่ดีจังเลยค่ะ ***หลังม่าน*** ขอบคุณนะคะ ***สาวดำ-รำพันรัก*** ขอบคุณมากเลยค่ะ อ่านแล้วยิ้มแก้มปริเลย ***ฉางน้อย*** ฮั่นแน่...วันนี้ไม่เกาะข้างฝามาเนาะ ขอบคุณมากนะจ๊ะ ***ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์*** ขอบคุณมากค่ะ อืม...จริงด้วยค่ะ เหมือนก้อนหินเมื่อกระทบกับผิวน้ำ เข้าใจเปรียบเทียบจัง ***p.g.*** ขอให้โชคดีในการสอบนะจ๊ะ...จะได้พักผ่อนซะทีเนาะ ถ้าคนบนฟ้าของ สอง( ขออนุญาตเรียกตามนะคะ) รู้คงดีใจนะคะที่ สองยังจดจำทุกเรื่องราวคำพูดของเค้าได้ ***การัณยภาส*** ตอนนี้คิดในมุมกลับกันว่า ฟ้าลิขิตมาชะตาจึงเป็นเช่นนี้ บางทีอาจจะดีแล้วก็ได้นะคะ เพราะถ้าหากไม่เป็นแบบนี้ เราอาจจะไม่คิดถึงเขาก็เป็นได้ มีใครให้คิดถึงดีกว่าเนาะ ........................................................ ขอโทษที่ตอบช้านะคะ ขอบคุณเพื่อนๆทุกท่านอีกครั้งที่มาอ่านเรื่องราวสั้นๆกับความทรงจำที่ยืนยาวของ โคลอนนะคะ