เมื่อไม่มีพ่ออยู่ปกป้องคุ้มครองเหลือแต่แม่ซึ่งไม่ใช่คนพื้นที่มาก่อนแถมไม่มีญาติพี่น้องใกล้เคียง อะไรก็ย่อมเกิดได้สำหรับผู้หญิงตัวคนเดียว หลังจากพ่อตายไปไม่กี่ปี ครอบครัวเราก็ถูกกลุ่มนักเลงข่มขู่เพื่อหวังทรัพย์ก็คือผืนแผ่นดินที่สร้างมากับมือ ในดึกดื่นคืนนั้นลูกกระสุนปืนก็กระหน่ำรัวยิงกราดใส่ฝาบ้านเป็นชุดที่ห้องนอนของแม่และพวกเราเด็กๆ กำลังนอนอยู่ด้วยกัน แม่ต้องหอบน้องวิ่งหนีหลบกระสุนปืน ชลมุนแตกตื่นกันทั้งบ้าน ฝาบ้านแตกเป็นรู ข้าวของเครื่องใช้ตู้เสื้อกระจกแตกกระจุยกระจายเต็มบ้าน บางลูกทะลุเข้าไปถึงฝาข้างในบ้าน นับจำนวนรูลูกปืนที่สาดใส่ 11 นัด เป็นภาพติดตาฉันอยู่มิรู้ลืม แต่ด้วยเพราะบุญบารมียังมีอยู่ไม่มีใครได้รับอันตรายใดๆ คงได้แต่ขวัญหนีดีฝ่อไปตามๆ กัน หากได้ยินเสียงปืนแสดงว่ามีการปล้นหรือต้องมีคนตายเกิดขึ้น รุ่งเช้าชาวบ้านแตกตื่นตกใจมาชุมนุมดูเหตุการณ์ที่บ้าน เขาแปลกใจว่าพวกเรารอดกันได้อย่างไร ต่างมีเสียงวิพากษ์วิจารย์ประสาชาวบ้าน ว่าผีคุ้มครองบ้าง วิญญาณพ่อคุ้มครองบ้าง แล้วแต่จะพูดกัน ฉันยังนึกไม่ออกเลยว่าวันนั้นหากแม่ต้องตายไปอีกคนชีวิตพวกเราไม่รู้จะเป็นอย่างไร ซึ่งอยู่ในวัยไม่รู้อีโหน่อีเหน่ (ไร้เดียงสา) กันเสียจริง ใครๆ ก็บอกให้แม่หนีออกไปจากหมู่บ้าน " ออกไปเถอะ อยู่ไปก็อันตราย" คำพูดคำจาของชาวบ้านที่เป็นห่วงเป็นใย แต่ "เราถอยไม่ได้อีกแล้ว" อันวิถีชีวิตของคนกล้า หากพบพาอุปสรรค์และหวากหนาม แม้นหนาวเหน็บเจ็บบ้างไปตามทาง จักไม่คร้ามถอยหนีหลีกลี้มัน แม่ไม่ยอมถอยหนีและเดินหน้าสู้ต่อไป แม่ไม่ได้เอาผิดกับคนร้ายทั้งที่รู้ตัว ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะความปลอดภัยของลูกและครอบครัวนั่นเอง ด้วยอาชีพที่ได้รับเกียรติว่าเป็นกระดูกสันหลังของชาติ หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน อยู่ในป่าในดง บ้างก็ถูกผู้มีอิทธิพลใช้อำนาจป่าเถื่อนบุกรุกที่ทำมาหากินของเรา มีเรื่องมาราวีครอบครัวเราอยู่ไม่ขาด ฉันเห็นแม่ต้องฟันฝ่าดิ้นดนต่อสู้อย่างไม่กลัวตาย เพื่อพิทักษ์ผืนแผ่นดินที่พ่อเป็นคนสร้างไว้ให้พวกเราทำมาหากิน จากมือที่ไกวดาบก็แกว่ง แม่ต้องหันมาจับปืนแทน บางครั้งฉันเห็นแม่ต้องถือปืนเข้าไร่สวนพร้อมจอบเสียม บางครั้งฉันเห็นแม่ยิงมันขึ้นฟ้าไล่โจรโขมย บางครั้งแม่ก็เอามันไว้ใต้หมอนก่อนหลับตาลงนอน แหม๋... บทบาทของแม่ยังกับนางเอกหนังบู๊เลย.... เอ๊อะ... หรือว่าพ่อเห็นแก่ตัวรีบชิ่งหนีตายไปก่อน ฮ่าฮ่า ไม่หรอกอะไรก็ย่อมเกิดขึ้นได้ทุกเวลาอย่างไม่คาดคิด คิดๆ ไปพ่อก็ช่างนำพาชีวิตครอบครัวมาอยู่อย่างเสี่ยงๆ ในป่าไกลปืนเที่ยง (ห่างไกลความเจริญ) เสียยิ่งกะไร (ตอนนี้เจริญถนนไม่เป็นทางเกวียนแล้ว) แต่เขาว่า "ช้างเผือกมักอยู่ในป่าเสมอ" ฮิฮิ ***** รางวัลแห่งชีวิต.... บางครั้งฉันเห็นแม่ต้องตื่นแต่เช้ากับพี่ๆ แบกไถจูงควายไปนา แบกจอบแบกเสียมไปไร่ ตากลมตากแดดแผดเผาร้อนระอุจนแผ่นดินจะลุกเป็นไฟ แบบว่าทธรณียังต้องกรรณ์แสง ฮ่า ฮ่า แล้วนับประสาอะไรกับคนธรรมดาๆ อย่างพวกเราจะทนไหว ทำให้ฉันนึกถึงเพลงของพี่เป้า (ส.ย. / ส.ญ. สายันต์ สัญญา) จำชื่อเพลงไม่ได้คะ ดินแยกแตกระแหง ต้นใบไม้เฉาแห้งแรงไม่มี พื้นนาป่าแห้งแล้งเหลือที่ ไม่มีแม้น้ำจะทำนา ชีวิตพวกเราก็เป็นเช่นนี้ เหงื่อไม่ออกน้ำตาไม่ไหล บางครั้งเราก็ต้องแลกกับความเจ็บปวด แม่ปลูกไม้ผลไว้รอบบ้าน ขนุน มะม่วง น้อยหน่า มะพร้าว กล้วย ไว้ให้พวกเราเก็บกิน จะได้ไม่ต้องไปเสียเงินซื้อคนอื่นเขา อยากกินขนมอะไรแม่ก็เอาข้าวสารมาแช่น้ำให้นิ่มก่อน แล้วมาใส่ครกกระเดื่องตำให้เป็นแป้ง (ใครที่อยู่ตามชนบทคงเคยเห็นสมัยนี้อาจไม่มีให้เห็นแล้ว) เวลาเหยียบปลายครกกระเดื่องพวกเรานี่หอบจนลิ้นห้อย ได้เหงื่อท่วมตัว กว่าจะได้แป้งมาปั้นทำเป็นตัวขนมใช้เวลาเป็นวันเลยแหละ พี่ๆ ไหนจะต้องปืนต้นงิ้ว.. เอ๊ย มะพร้าวเอาลูกมาขูดทำกระทิเป็นส่วนผสม พวกเราสนุกสนานกินกันไปตามประสาเด็กบ้านนอกชนบท เด็กบ้านนอกคอกนาหน้าซื่อๆ ตัวเขาหรือดำกร้านผ่านแดดเผา อยู่กลางทุ่งเลี้ยงวัวควายช่วยแบ่งเบา เพื่อครอบครัวเจ้าเป็นสุขทุกคืนวัน เหนื่อยนักหนักเบาเราต้องสู้ เพื่อชีวิตที่เหลืออยู่ สู่จุดหมาย มีกินมีใช้แบ่งกันไป ไม่มีใครนอกจากเราเท่านั้นเอง ยังเหลือแม่เคียงข้างกลางดวงจิต แม่อุทิศตนเพื่อพวกเจ้าเข้าสู่ฝัน ต่างขุดทางถางป่าร่วมฝ่าฟัน เพื่อสร้างฝันอันยิ่งใหญ่ให้ลูกยา... ฉันเห็นแม่แกร่ง เด็ดเดี่ยว ยิ่งกว่าผู้ชายบางคน แม่ทำในบางสิ่งที่ฉันเองทำไม่ได้เหมือนที่แม่ทำ.... แต่ในบางครั้งคนเราเมื่อเจอกับปัญหาขาดเพื่อนคู่คิดมิตรคู่ใจแถมอยู่ในป่าดงดอน เอ้อ... ไม่อยากจะคิดเลยว่าหัวใจจะเป็นเช่นไร คิดดูแล้วกันมีแต่ลูกน้อยตาดำๆ ล้อมหน้าล้อมหลัง อยู่ในวัยกำลังกินกำลังนอน บางครั้งพวกเราก็ทะเลาะกันตามประสาพี่น้อง แต่กระนั้นชีวิตครอบครัวก็ยังไม่ถูกวายรุกราณจากคนบางกลุ่ม มักแอบได้ยินแม่ร้องเพลงปลอบใจตัวเองเสมอจนฉันจำขึ้นใจชื่อเพลง ถ้าวันนี้ยังมีเขาอยู่ ถ้าวันนี้ยังมีเขาอยู่ เราคงยืนสู้ ดูโลกอย่างทรนง ปัญหาใดใด ไม่เคยพะวังพะวง เรื่องราวใหญ่ก็เล็กลง สองคนช่วยกันคลี่คลาย แต่วันนี้ไม่มีเขาอยู่ ทิ้งเราทนสู้ดูโลกอยู่เพียงเดียวดาย เหมือนคนเดินหลงทาง กลางทะเลทราย ซอกซอนหอบสังขารไป ทิศทางใดๆ จุดหมายไม่มี บุญเราสร้างร่วมกันมาน้อยนัก เคราะห์และกรรมนำชักต้องจากกันชั่วชีวี ขอบูชาด้วยน้ำตาแห่งความภักดี คิดถึงอยู่ทุกนาทีร้าวฤดีเหลือนั่น ไม่มีแล้วความชื่นความสุข ไร้ความสนุกดูโลกอยู่ไปวันๆ ขอแรงบุญเกื้อกูลส่งผลอนันต์ ชาติหน้าให้เราพบกัน คู่ครองรักมั่นชั่วนิรันดร.... http://radio.sanook.com/radio/player7/?songID=40916&CLK=2008251204746060000 (ลองเข้าไปฟังทำนองดูคะ) เมื่อก่อนฉันฟังเพลงนี้ไม่เข้าใจความหมายเพลงหรอก แต่มาฟังตอนนี้แล้วซึ้งมากยังกับเขาแต่งเพลงให้แม่ อย่างงั้นแหละ.... และแล้วความเศร้าโศกาอาดูร ก็มาเยือนครอบครัวเราอีกครั้ง เมื่อพี่ชายคนที่สามของครอบครัว ซึ่งกำลังอยู่ในวัยหัวเรี้ยวหัวแรง ต้องมาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต อย่างกระทันหัน ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี อีกคน ฉันเห็นแม่เป็นลมพับแล้วพับอีก ภาพของครอบครัวพี่น้องมีแต่น้ำตาที่หลั่งไหลริน พวกเราช่วยกันจัดการงานศพของพี่ชายจนเสร็จสิ้น ที่สุดและที่สุดของชีวิต.. แม่หันหน้าเข้าหาองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า... แม่เข้าวัดถือศิลภาวนา ปฎิบัติธรรม แม่พาลูกๆ สวดมนต์แผ่เมตตา ทำบุญ ฟังธรรม สร้างกุศล นำพาผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้าน เข้าวัดถือศีลทุกๆ วันพระ แม้แต่วัดที่อยู่ห่างไกลมีการจัดวิปัสนากรรมฐาน แม่ก็จะเดินทางไปอยู่ถือศีลปฎิบัติธรรมนุ่งขาวหุ่มขาว พวกเราพี่น้องก็จะพากันไปใส่บาตรให้กับแม่ชีพรามห์ ดูแม่อิ่มเอมบุญ ปฏิบัติเรื่อยมา สุดท้ายคนที่เคยคิดร้ายต่างๆ ก็มีอันต้องแพ้ภัยตัวเองอย่างไม่น่าเชื่อ ครอบครัวเรามีวิถีชีวิตที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ลูกๆ ได้รับการศึกษาตามอัตภาพที่พึ่งมี แม่สอนให้พวกเราคิดเป็นไม่เคยเอาเปรียบใครๆ ฉันเห็นวิธีการในการอบรมสั่งสอนของแม่โดยการนำและทำเป็นแบบอย่าง ความเข้มแข็ง อดทน เลือดของแม่ที่หลั่งไหลให้ลูกๆ เป็นคนที่ไม่ย่อท้อต่อปัญหาและอุปสรรค์ใดๆ จึงมักได้ยินเสมอว่า "ปัญหามีไว้ให้แก้ อุปสรรค์มีไว้ให้เดินข้าม" ณ ตอนนี้พ่อคงดีใจ หมดห่วงใย คงยิ้มอย่างมีความสุขอยู่บนสวรรค์ เพราะลูกๆ ของพ่อได้ประสบความสำเร็จในการเรียนมีทุกใบปริญญาติดฝาบ้าน ตรี โท เอก มีหน้าที่การงานที่ดีทั้งหมดแล้ว มีทั้งระดับนายทหาร ผู้อำนวยการโรงเรียน อาจารย์สอนมหาวิทยาลัยของรัฐที่มีชื่อ วิศวกร บ้างก็ประกอบธุรกิจส่วนตัว บางคนจบดอกเตอร์จากต่างประเทศ บ้างใช้วิถีชีวิตอยู่ต่างประเทศ ได้สำเร็จด้วยสองมือแม่ที่โอบอุ้มแทนพ่อ ผืนแผ่นดินที่พ่อเคยสร้างไว้ยังอยู่ครบ มิได้ขาดแหว่งหายไปไหนแม้แต่น้อย เคยได้ยินบางคนพูดว่าต้องขายนาขายไร่ส่ง ควาย เอ๊ย... ส่งลูกเรียน เอ้อ.. แต่อย่ากระนั้นเลยหากเราคิดเป็นมันอาจทำให้อะไรๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ อาจเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ขึ้นมา เพราะแผ่นดินนี้เราจอง ผืนแผ่นดินนี้เป็นของเรา เราไม่ต้องการเห็นมันตกไปอยู่ในมือใคร เราช่วยกันทำกันถางดูแลรักษาปลูกสร้างพืชผลเพื่อดำรงชีพและผลักดันการศึกษาของพวกเราเอง พวกเราไม่เคยลืมแผ่นดินเกิดไม่เคยลืมวิถีชีวิตเดิมๆ แผ่นดินที่ได้สร้างลูกชาวบ้านธรรมดาให้มีคุณค่าต่อสังคม ฉันกลับไปเยี่ยมหมู่บ้านแต่ละครั้งมักจะได้ยินคำชื่นชมสรรเสริญจากชาวบ้าน ถ้าพ่อฉันยังมีชีวิตอยู่คงได้ภูมิใจและได้เห็นความสำเร็จของลูกๆ ครอบครัวเรายังเป็นแบบอย่างการศึกษาของคนในหมู่บ้าน เป็นที่เกรงใจและชื่นชมของคนรอบข้าง เป็นแบบอย่างของผู้หญิงคนหนึ่งสู้ตรากตำทำงานส่งเสียลูกเรียนจนจบประสบความสำเร็จ วันที่ฉันกลับไปเยี่ยมบ้าน พายุลูกเห็บแรงลมก็โหมกระหน่ำเข้าสู่หมู่บ้าน บ้านเรือนเสียหายยับเยินไปหลายหลังคาเรือน หนึ่งในนั้นคือบ้านที่พวกเราเคยอาศัยอยู่หลังคาหายไปครึ่งหลัง ด้วยหน้าที่การงานที่ต้องพบปะผู้คน การเดินทางของฉัน ฉันตัดสินใจโทรศัพท์ไปยังสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งที่มีศูนย์ประจำอยู่ในตัวจังหวัด ไม่กี่อึดใจรถผู้สื่อข่าวก็มาถึงพร้อมติดโลโก้สถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่ง ชาวบ้านตื่นเต้นวิ่งมาดู มีคนวิ่งมาตามฉันที่บ้านให้ไปพบนักข่าวสภาพเนื้อตัวยังเปียกมะรอกมะแรก อยู่ในชุดคุณแจ๋วผ้าถุง ดูสภาพฉันแล้วเขาไม่น่าเชื่อว่าเราจะกล้าโทรไป เราไม่บอกว่าเราเป็นใคร ฉันพาพวกเขาสำรวจความเสียหาย เก็บภาพถ่ายวีดีโอ ไชโย... ในที่สุดหมู่บ้านเราก็ได้ออกข่าวสถานีโทรทัศน์ เรื่องถึงหูทางอำเภอเร็วปานสายฟ้า... ทางอำเภอมาตรวจดูความเสียในหมู่บ้าน แจกข้าวสารอาหารแห้ง สังกระสี อุปกรณ์ซ่อมแซม ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ทางอำเภอหรือรัฐเขามีงบประมาณพวกนี้มาช่วยเหลือ เมื่อก่อนก็เคยเกิดพายุแบบนี้บ่อยๆ ชาวบ้านก็ออกเงินซื้อซ่อมแซมแก้ปัญหากันเอง มีผู้ใหญ่บ้านก็เหมือนกับมีหัวตอเอาไว้เฉยๆ หมู่บ้านฉันไม่เคยเห็นมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงอะไรที่มันดีกว่าที่เป็นอยู่ เจ้าหน้าที่อำเภอขึ้นมาตรวจความเสียหายที่บ้านที่ยังดูโกโลโกโสอยู่ เขาเดินสำรวจดูรูปลูกๆ ของแม่ติดไว้ข้างฝาบ้าน รับพระราชทานปริญญาแต่ละสาขาอาชีพ มหาวิทยาลัยที่มีชื่อของรัฐ เขาเดินมายกมือไหว้ "ยายเลี้ยงลูกอย่างไรครับ" ในวันหนึ่งทางอำเภอมาสัมภาษณ์และเชิญแม่ไปรับโล่รางวัลแม่ดีเด่นประจำอำเภอ "รางวัลใดๆ คงไม่สำคัญ เท่ากับรางวัลแห่งชีวิตที่แม่หยิบยื่นให้ลูก" ประสาชาวบ้านคนหนึ่งที่พึงทำได้ เราไม่เคยประชาสัมพันธ์ โอ้อวดการศึกษา เรียกร้องหารางวัลจากใคร แต่รางวัลที่ได้มันคือรางวัลแห่งชีวิต... ที่หาจากที่ไหนไม่ได้อีกเลย นั่นเพราะแม่ได้ปลูกต้นกล้าเล็กๆ รดน้ำพรวนดินจากที่เป็นรากหญ้า เติบใหญ่เป็นรากแก้ว แล้วยังเริ่มแผ่ขยายแตกหน่อแผ่กิ่งก้านไปทั่วสารทิศ ฉันจึงขออวยพรให้แม่มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้กับลูกๆ หลานๆ ต่อไป แม้นวันนี้ไม่มีพ่อให้กราบไหว้ แต่หัวใจมิเคยห่างจางไปไหน พ่อยังอยู่ใกล้ชิดลูกตลอดไป จักเดินอยู่หนแห่งใดมิเคยลืม ขอบคุณพ่อแม่ที่สอนให้ฉันได้คิดเป็น ดูแลตัวเองได้ ได้เรียนรู้วิถีชีวิตประสบการณ์บนเส้นทางของตนเอง ฉันภาคภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นลูกกับความเป็นสุดยอด "คุณพ่อและคุณแม่" ของฉัน ภูมิใจที่เกิดเป็นชาวนาชาวไร่ "ตราปใดที่ยังมีลมหายใจอยู่ ตราปนั้นเราย่อมมีความหวัง" มันเป็นคติประจำใจฉันเสมอมาที่ทำให้ต้องเดินก้าวไปอย่างไม่ท้อถอย เคยได้ยินเขาพูดว่า "จุดหมายปลายทางของชีวิตไม่ใช่เรื่องสำคัญ สำคัญที่ตลอดเส้นทางของชีวิตเราได้เก็บเกี่ยวเอาอะไรไว้สอนตัวเองบ้าง" ด้วยสองมือแม่ที่โอบอุ้ม ช่วยค้ำจุนเก็บเกี่ยวไปสู่ฝัน แรงบันดาลใจจากแม่ไม่ลืมวัน ลูกเก็บฝันนั้นไว้ตลอดมา มาวันนี้ลูกของแม่มาถึงฝัน อภิวันกราบแทบตักด้วยรักยิ่ง พระคุณแม่ล้นฟ้ามากมายจริง เป็นยอดหญิงของลูก... กราบไหว้ได้บูชา ขอกราบขอบพระคุณบุญคุณ พ่อแม่ ยิ่งใหญ่แท้ลูกได้เกิดมาสู้ดูโลกกว้าง เผชิญด้วยหัวใจแกร่งกล้าอยู่ในทรวง จงหมดห่วง พ้นทุกข์ เป็นสุขเทอญ ฉันหวังว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้ คงเป็นกำลังใจให้กับเด็กๆ "ลูกกำพร้า ผู้หญิงที่ขาดเสาหลักของครอบครัว" ต่างคนต่างมีที่มาที่ไป ต่างวิถีชีวิตการเกิด หากเขาได้เข้ามาอ่าน บทความนี้ ฉันขอเป็นกำลังใจให้กับเขาเหล่านั้น อย่าได้ท้อถอยต่อโชคชะตา "คนเราเลือกเกิดไม่ได้แต่เลือกที่จะเป็นได้ หนึ่งสมองสองมือเท่านั้นที่จะทำให้ฝันของเราเดินสู่ความจริง..." ขอเป็นกำลังใจและเป็นเพื่อนร่วมทางด้วยหัวใจคะ
4 มีนาคม 2551 21:02 น. - comment id 99306
ปัญหามีไว้ให้แก้ อุปสรรค์มีไว้เดินข้าม หวังว่าคงเป็นกำลังใจให้กับหลายๆ คนที่เข้ามาอ่านนะคะ ขอบคุณคะ
5 มีนาคม 2551 09:14 น. - comment id 99314
สวัสดี คุณรอยทาง แอบมาอ่านอีกแล้ว ยิ่งอ่านก็ยิ่งอยากจะรู้ว่าตอนต่อไปจะเป็นอย่างไร อยากรู้จริง ๆ เลยว่า คนที่เป็นความหวังสุดท้ายของลูก ๆ นั้น ต้องใช้แรงใจ แรงกาย ต่อสู้กับอะไรอีกบ้าง..... (อย่าให้รอนาน)
5 มีนาคม 2551 17:52 น. - comment id 99318
หวาดเสียวปนสนุก ด้วยสำนวนแบบคนล้อเล่นกับโลก เขียนต่อไปนะครับ
6 มีนาคม 2551 00:46 น. - comment id 99327
สวัสดีคะ คุณก่อพงษ์ ละครคือชีวิต ชีวิตคือละคร เรื่องบางเรื่องบางครั้งเราไม่เคยคิดเลยว่าจะเกิดกับครอบครัวเราเอง ขอบคุณคะ
6 มีนาคม 2551 00:39 น. - comment id 99328
สวัสดีคะ คุณหลังม่าน ขอบคุณคะที่เข้ามาเป็นกำลังใจ ทำให้เกิดแรงใจได้หวลคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเขียนเล่าต่อมาขึ้นคะ เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดน่าจะเป็นแรงบันดาลผลักดันให้ใครต่อใครได้บ้าง ขอบคุณคะ
6 มีนาคม 2551 19:46 น. - comment id 99356
ขอขอบคุณกำลังใจจากเพื่อนร่วมทาง ที่ทำให้เขียนขึ้นมาจบจนได้ มีสิ่งใดช่วยติชม เรื่องราวทั้งหมดคือชีวิตจริง และหวังว่าคงเป็นกำลังใจให้กับผู้ที่กำลังท้อแท้ต่อโชคชะตา ขอให้ทุกคนมีความสุข ขอบคุณคะ
7 มีนาคม 2551 12:54 น. - comment id 99378
สวัสดี คุณรอยทาง หากจะเปรียบโลกคือโรงละคร ฉากหนึ่งก็คงจะเป็นเรื่องราวชีวิตของคุณ เริ่มมาจากความปวดร้าว และอุปสรรค์ และจบลงด้วยความสุขและรอยยิ้ม ซึ่งดิฉันเองก็ปรารถนาให้ทุกฉากของชีวิตคนเราจบลงแบบนี้ ฉันเคยได้ยินเสมอว่าความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ก็คือ ความรักจากแม่ ซึ่งชีวิตของคุณก็คงจะเครื่องพิสูจน์ได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญวันนี้คุณยังมีท่านอยู่ ขอให้คุณรักและดูแลท่านให้ดีที่สุด ให้ท่านได้รับรู้ ฉันคิดว่าท่านคงจะภูมิใจยิ่งกว่ารางวัลใด ๆ ที่เคยได้รับ "ใด ๆ ในโลก ล้วนไม่เที่ยง" สักวันเราทุกคนจะเข้าใจความหมายของคำนั้นอย่างลึกซึ้ง ขอเป็นกำลังให้กับเพื่อนร่วมทางฝัน ..