ให้หัวใจนำทาง..เราสอง
ฟาราน
พี่...คะ....
...
พิณ..พิณชอบพี่...คะ
ภาพที่เขาเห็นคือเด็กสาวผมยาวคนหนึ่ง ยืนอยู่ท่ามกลางสายน้ำที่พระพิรุณสาดลงมาบนโลก เธอหันหน้าเข้าหาชายหนุ่มที่ตัวสูงกว่า ในความคิดของเขา ผู้ชายคนนั้นออกจะคุ้นตา แต่เขาก็นึกไม่ออกว่าชายหนุ่มคนนั้นคือใคร
เขาได้ยินเพียงเสียงสารภาพรักของเด็กสาวผมยาวคนนั้น ส่วนเสียงคำตอบของฝ่ายชาย เขาแทบจะไม่ได้ยินเลยด้วยซ้ำ เพราะเสียงน้ำฝนที่ตกลงมานั้นกลบเสียงรอบข้างจนหมด เขาพยายามจะเงี่ยหูฟังว่าผู้ชายคนนั้นชื่ออะไร แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร เขาก็ได้ยินเพียงเสียงสายฝนที่ตกกระทบพื้นดังเปาะแปะ เปาะแปะ ไม่รู้ทำไมอยู่ดีๆร่างกายของเขาถึงได้รู้สึกเย็นยะเยือกและเจ็บปวดที่หัวใจขึ้นมาเฉยๆ เขามองไปที่คนสองคนตรงหน้า ชายหนุ่มเอื้อนเอ่ยวจีที่เขาไม่ได้ยินแก่เด็กสาว เธอก้มหน้านิ่ง เพียงชั่วอึดใจชายหนุ่มก็เดินจากเธอไป เขาพอจะเดาเรื่องราวได้รางๆ ว่าเด็กสาวคงไม่สมหวังในรักครั้งนี้เป็นแน่ ก็ดูจากหน้าตาแล้ว เด็กสาวก็เกือบจะขี้ริ้วขี้เหร่เสียด้วยซ้ำ ทั้งผมที่ถักเป็นเปียสองข้าง แล้วไหนจะแว่นตาเชยๆหนาเตอะนั่นอีก แตกต่างกับชายหนุ่ม ที่ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็ดูจะหาที่ติไม่เจอ อีกทั้งอายุของทั้งสองคนคงห่างกันอยู่พอสมควร ไม่น่าจะเข้ากันได้
ฝนตกลงมาแรงขึ้นเหมือนจะตอกย้ำความรู้สึกของเด็กสาว เธอยังคงยืนก้มหน้านิ่งอยู่กับที่ เขาเอื้อมมือออกไปหมายจะปลอบโยน แต่ก็ต้องชะงัก ใบหน้าเรียวซีดเงยขึ้น ดวงตาแดงก่ำเหมือนจะสบตากับเขาแวบหนึ่งก่อนที่เจ้าของดวงตาคู่นั้นจะทอดมองผ่านเขาไปด้านหลังอย่างไร้จุดหมาย ริมฝีปากเล็กเม้มเขาหากันแน่นสั่นระริกน้อยๆ ก่อนที่เขาจะได้ทำอะไร เด็กสาวก็อ้าปากแผดเสียงที่เขาได้แค่คิดว่ามันคงดังแข่งกับเสียงสายฝนได้เมื่อดูจากปากของเด็กสาว เพราะเขาไม่ได้ยินสิ่งที่เธอตะโกนเลยแม้แต่น้อย เขาเอื้อมมือทั้งสองข้างออกไปอีกครั้งหมายจะไขว่คว้าร่างบางตรงหน้าเข้าสู้อ้อมกอด ตัวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงอยากทำเช่นนั้น เขารู้เพียงว่าเขาทนไม่ได้ที่เห็นเธอต้องเสียน้ำตา
แต่เมื่อมือทั้งสองข้างไขว่คว้า เขากลับพบแต่เพียงอากาศที่ว่างเปล่า เด็กสาวตรงหน้าไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่เขาสัมผัสเธอไม่ได้ ยังไม่ทันที่เขาจะได้อ้าปากพูดอะไร เธอก็วิ่งผ่านเขาไปเหมือนกับไม่มีเขายืนอยู่ตรงนั้น เขาหันหลังกลับไปอย่างรวดเร็วกำลังจะวิ่งตามเด็กสาวไป แต่เหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่างดึงเขาให้ห่างออกมาเรื่อยๆ ภาพตรงหน้าเริ่มพร่ามัว ไม่รู้ว่าเพราะสายตาของเขาหรือเพราะฝนที่กระหน่ำเทลงมากันแน่ เขาเห็นเพียงแผ่นหลังของเด็กสาววิ่งห่างไกลออกไป หลังจากนั้นทุกอย่างก็ดับวูบลง
ว่าน..ว่าน ตาว่าน!!!
ครับๆคุณแม่ ว่ายังไงนะครับ
นั่งนึกอะไรอยู่ลูก แม่เรียกตั้งนานสองนาน เหม่อไปไหนกัน วีรวุธได้เพียงยิ้มตอบให้หญิงสาววัยกลางคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม ก่อนส่ายหน้าเบาๆ เขาจะคิดอะไรได้ในตอนนี้ นอกจากคิดถึงความฝันเมื่อคืน ผู้ชายคนนั้น..ชายหนุ่มที่อยู่ในความฝันของเขา เขานึกออกแล้วว่าเป็นใคร ความจริงแล้วเขาเองก็พึ่งจะนึกได้เมื่อตอนที่ส่องกระจกในห้องน้ำ ใช่เลย!!..ผู้ชายคนนั้นคือเขาเอง น่าแปลกที่ในความฝันเขากลับนึกไม่ออก ส่วนเด็กสาวที่ชื่อ พิณ ..เขานึกยังไงก็นึกไม่ออก รู้เพียงว่าต้องเคยรู้จักแน่ๆ เพราะเขารู้สึกคุ้นเคยกับแววตาคู่นั้นเหลือเกิน ส่วนเหตุการณ์ในความฝัน..เขาก็ยังได้แค่เพียงรู้สึกเหมือนเดิมว่าเคยเกิดขึ้น แต่มันคงนานมากแล้ว หรือไม่ก็เพราะเขาไม่ได้ใส่ใจที่จะจำมัน อันที่จริง!! มันก็แค่การฝันถึงเรื่องเก่าๆในอดีต เขาไม่ได้สนอกสนใจจะรับรู้เลยสักนิด แต่สิ่งที่ดึงดูดใจเขาคือพิณ เด็กสาวเชยๆคนนั้นต่างหากที่เขาสนใจ ภาพตอนที่เธอร้องไห้ยังติดอยู่ในมโนนึก แล้วคำถามหนึ่งก็แวบเข้ามาในสมอง เธอเป็นใครกัน??
จะไปไหนน่ะว่าน วันนี้ไม่ต้องเขาออฟฟิตไม่ใช่หรือลูก ขณะที่วีรวุธกำลังเปิดประตูรถ เสียงคุณหญิงฤดีผู้เป็นแม่ก็ตะโกนถามขึ้นมาอย่างข้องใจ
จะไปมหาลัยครับแม่ กวีมันชวนไปกินข้าวเที่ยง แต่ต้องไปรับน้องสาวมันก่อน แม่มีอะไรรึเปล่าครับ วีรวุธเลื่อนบานกระจกข้างลงเพื่อคุยกับคุณหญิงฤดีที่มีทีท่าเอือมระอาในตัวลูกชายคนนี้สุดจะทน เจ้าลูกคนนี้ไม่เคยจะอยู่ติดบ้าน ใจคอหยุดงานทั้งทีไม่เคยคิดจะอยู่บ้านเป็นเพื่อนแม่บ้างเลยใช่ไหมนี่
จะไปก็ไปเถอะ แม่จะไปห้ามอะไรได้
โธ่ แม่อย่างอนผมนะครับ แล้วไว้ตอนเย็นผมจะกลับมาทานข้าวที่บ้านนะครับ เอ๊ะ หรือว่าออกไปทานข้างนอกกันดี
ไม่ต้องเลย กะล่อนนักนะเรา กลับมากินที่บ้านน่ะดีแล้วลูก แต่อย่าเบี้ยวแม่ละกัน ไม่งั้นคราวนี้แม่จะงอนจริงๆด้วย คุณหญิงฤดีมองลูกชายด้วยสายตาคาดโทษ
ครับผม งั้นผมไปนะครับแม่ กระจกรถถูกเลื่อนขึ้น คุณหญิงฤดีถอยห่างออกมาจากตัวรถ ปล่อยให้ลูกชายตัวดีขับรถออกไปอย่างสบายอารมณ์ เมื่อคนใช้ปิดประตูใหญ่เรียบร้อยแล้วจึงเดินกลับเข้าไปในตัวบ้าน
เขาเลี้ยวรถเข้าจอดใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าคณะซึ่งเป็นที่จอดประจำตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ที่นี่ ห้าปีแล้วที่เขาเรียนจบออกไป เป็นเวลาที่ยาวนานพอสมควร เขาเริ่มจะจำทางเดินต่างๆไม่แม่นเหมือนตอนที่เคยเรียนอยู่ นี่เป็นวันแรกในรอบสองปีที่เขากลับมามหาลัย ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าเพื่อนซี้ตัวดีของเขา นายกวี ขอมารับน้องสาวที่เรียนอยู่ปีสองไปกินข้าวด้วยแล้ว เขาก็ยังคงหาเหตุผลให้ตัวเองกลับมาที่นี่ไม่ได้ ไม่ใช่ว่าติดงานหรือไม่มีเวลาว่าง บริษัทของเขาเป็นบริษัทผลิตน้ำหอมที่สกัดจากดอกไม้ไทยส่งขายทั้งในและนอกประเทศซึ่งเป็นกิจการที่รับช่วงต่อมาจากพ่อและแม่ เพราะฉะนั้นงานของเขาจึงไม่ค่อยมีปัญหา เนื่องจากบุพการีทั้งสองได้วางรากฐานไว้อย่างมั่นคงแล้ว ถ้าไม่มีประชุมด่วนหรือมีเอกสารสำคัญที่ต้องเซ็น เขาก็ไม่อยากจะเข้าออฟฟิตเท่าไหร่นัก
เพื่อนตัวดีของเขานัดไว้สิบเอ็ดโมงครึ่ง เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงที่เขาสามารถเดินสำรวจตึกต่างๆในคณะได้ แต่..เขาจะไม่ทำอย่างนั้นแน่ๆ เพราะวันนี้อากาศที่ร้อนอบอ้าวไม่ได้เป็นใจให้เดินไปไหนต่อไหนเลย สมัยที่เขาเรียนอยู่ในวันที่ร้อนแบบนี้ เขากับเพื่อนมักจะไปนั่งตากแอร์ที่ห้องสมุดของคณะเสมอ ร่างกายไวเท่าความคิดขาของเขาก้าวออกไปเสียแล้ว รู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่ที่ทางเดินสามแยก เลี้ยวขวาเป็นห้องเรียน ส่วนเลี้ยวซ้ายเป็นห้องสมุด แล้วเขาจะรอช้าอยู่ทำไม รีบๆเดินไปตากแอร์ให้สบายกายดีกว่า
โครม!!!
ขอโทษครับ/ค่ะ ต่างฝ่ายต่างเอ่ยขอโทษกันจ้าละหวั่น แต่หญิงสาวที่ล้มลงกับพื้นก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเขา เพราะมัวแต่เก็บหนังสือที่หล่นกระจัดกระจายของตัวเอง นี่ถ้าเธอไม่ได้เอ่ยปากขอโทษเขาด้วยแล้วละก็ เขาคงคิดว่าเธอเป็นพวกเห็นแก่ตัวที่ไม่แม้แต่จะมองคนที่เดินชนกันด้วยซ้ำ แต่ในเมื่อเธอก็ขอโทษแล้ว เขาก็ขอแสดงความมีน้ำใจเล็กๆน้อยๆในการช่วยเก็บหนังสือที่กระจักกระจายนี่หน่อยละกัน มันคงไม่ถึงกับทำให้เสียเวลามากมายจนเขาต้องโดนเพื่อนเทศนาหรอกนะ
ให้ผมช่วยนะครับ เขาก้มลงเก็บหนังสือที่ใกล้ตัวมากที่สุดขึ้นมาก่อน แล้วค่อยๆเก็บรอบๆตัวโดยไม่เงยหน้ามองหญิงสาวที่ตอนนี้จ้องมองเขาเหมือนเขาเป็นตัวประหลาดเลยแม้แต่น้อย
หนังสือเยอะแยะขนาดนี้ถือมาคนเดียวไหวถือว่าเก่งมากเลยนะครับ คงจะเอาไปห้องสมุดใช่ไหม เดี๋ยวให้ผมช่วยดีกว่า ผมกำลังจะไปที่นั่นพอดี วีรวุธเงยหน้าขึ้นจากพื้นบังเอิญสบตาเข้ากับหญิงสาว แววตาของเธอช่างคุ้นเคย เขาเหมือนจะเคยเห็นที่ไหนนะ ใบหน้าขาวใสได้รูปดูมีน้ำมีนวลอยู่ห่างกับหน้าของเขาแค่คืบกว่าเริ่มขึ้นสีเล็กน้อย เขาคงเข้าใกล้เธอมากเกินไป ทั้งๆที่อยากจะถอยห่างออกมา ไม่อยากจะจ้องเธอนานนัก เพราะกลัวเธอจะเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นพวกโรคจิตไป แต่ก็ทำไม่ได้ ทั้งดวงตาโตเป็นประกายที่ดูลึกลับน่าค้นหา จมูกที่รั้นนิดๆบ่งบอกนิสัยของผู้เป็นเจ้าของ กับปากเรียวเล็กได้รูปที่รับกับใบหน้านวลที่ไร้การแต่งแต้มใดๆ ดึงดูดสายตาเขาไว้จนไม่อาจละสายตาไปทางอื่นได้
ตายแล้วยัยจัน นี่แกซุ่มซ่ามอีกแล้วหรอ เป็นอะไรมากป่าวเนี่ย จัน!! เธอชื่อจันอย่างนั้นหรือ หญิงสาวหันหลังมองไปทางต้นเสียง ทำให้เขาได้กลิ่นแชมพูสระผมบางๆจากผมของเจ้าหล่อน กลิ่มหอมของดอกไม้ไทยสักชนิดที่เขาคุ้นเคย ถ้าเขาจำไม่ผิด มันคือมะลิแน่ๆ
ฉันไม่เป็นไร พอดีฉันเดินไม่ดูตามาตาเรือไปชนคุณคนนี้เข้า แล้วเขาก็ช่วยฉันเก็บหนังสือที่ตกน่ะ กานต์ดาเอียงคอมองมาทางชายหนุ่มก่อนจะทำสีหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง นั่นทำให้พิณธุภัทรสงสัย แต่เธอก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรเพราะเสียงกวี พี่ชายของกานต์ดาดังขึ้นขัดซะก่อน
อ้าวว่าน ฉันว่ากำลังจะโทรหาแกพอดีเลย เจอก็ดีละ แล้วทำไมกานต์มาอยู่ตรงนี้ล่ะ นัดที่ห้องสมุดนี่
เพื่อนพี่กวีเองหรอ ไม่น่าล่ะหน้าคุ้นๆ พอดีเขาชนกับยัยจันเมื่อกี้น่ะ กานต์กับจันกำลังจะเอาหนังสือไปคืนที่ห้องสมุด กานต์ดาหันไปพูดกับกวี
อ๋อ สวัสดีครับน้องลูกจัน นี่เพื่อนพี่เองนะครับชื่อว่าน เดี๋ยวให้พวกพี่ช่วยถือหนังสือไปดีกว่านะครับ น้องลูกจันตัวแค่นี้เองถือคนเดียวคงหนัก กวียิ้มให้พิณธุภัทร เธอก็ทำได้เพียงขานรับและยิ้มตอบ กานต์ดาได้ทีเลยส่งหนังสือในมือที่มีทั้งหมดสิบกว่าเล่มให้พี่ชายทันที
อยากถือนักใช่ไหม เอาไปเลยพี่กวี กานต์ยกให้พี่กวีถือหมดเลย
เฮ้ย ไอ้กานต์ ใครบอกจะถือให้แก ฉันจะถือให้น้องลูกจันหรอก ไอ้น้องบ้า เอาคืนไป!!
ก็ถือของกานต์ไปแล้วนี่ กานต์ไม่รับคืนน้า อีกนิดเดียวเอง พี่กวีเป็นผู้ชายเปล่าเนี่ย ถ้าเป็นก็อย่าบ่นดิ่ ช่วยน้องถือหนังสือแค่นี้มันลำบากมากนักหรอไงห๊ะ พิณธุภัทรหัวเราะเบาๆกับการถกเถียงกันแบบเด็กๆของพี่น้องตัวกอ เป็นจังหวะเดียวกับที่วีรวุธได้มีโอกาสพูดกับเธออีกครั้ง
เมื่อกี้ต้องขอโทษอีกครั้งนะครับที่เดินชนคุณ..เอ่อ คุณลูกจัน งั้นหนังสือพวกนี้ให้ผมถือให้ละกันนะครับ
ขอบคุณค่ะ เรียกจันเฉยๆก็ได้ค่ะ ไม่ต้องมีคุณหรอก เมื่อกี้จันก็ต้องขอโทษพี่ เอ๊ย คุณว่านด้วยนะคะที่จันเดินไม่ดูตาม้าตาเรือไปชนเข้า เจ็บตรงไหนรึเปล่าคะ วีรวุธยิ้มให้พิณธุภัทรไม่ใช่แค่หน้าตาน่ารักหรือนิสัยดี หญิงสาวคนนี้สียงก็เพาะอีกด้วย ดูจากท่าทางแล้วถ้าเธออายุเท่ากับกานต์ดา น้องสาวของกวี ก็ห่างกับเขาเจ็ดปี แค่เจ็ดปีคงไม่แก่เกินไปสำหรับเธอละมั้ง เขาเองก็ชักอยากที่จะมีใครสักคนข้างกายแล้วเหมือนกัน
เปล่าครับ น้องจันก็อย่าเรียกคุณว่านเลย เรียกพี่ว่านเหมือนเวลาเรียกไอ้กวีดีกว่า
หลังจากที่ยุติสงครามของพี่น้องตัวกอและเอาหนังสือไปคืนที่ห้องสมุดแล้ว พิณธุภัทรเห็นว่ากานต์ดาและกวีต้องไปกินข้าวต่อกับวีรวุธ เธอจึงขอตัวกลับบ้านก่อน ทั้งๆที่ปกติกานต์ดาและกวีจะเป็นคนขับรถไปส่งเธอที่บ้านเสมอๆ แต่ครั้งนี้ถ้าให้ไปส่งก็คงดูเป็นการรบกวนเวลาของทั้งสองคนมากเกินไป ไม่ว่ากานต์ดาและกวีพยายามที่จะรบเร้าให้พิณธุภัทรไปกินข้าวด้วยกันมากแค่ไหน แต่พิณธุภัทรก็ตั้งท่าปฏิเสธท่าเดียว เพราะกลัวจะไปทำลายบรรยากาศการพบกันของเพื่อนเก่าอย่างกวีและวีรวุธเสียเปล่าๆ สุดท้ายเธอก็ยอมยกธงขาวให้แก่พี่น้องตัวกอทั้งสองยอมให้ทั้งสามคนไปส่งเธอที่บ้านแต่โดยดี เป็นข้อแลกเปลี่ยนที่จะไม่ต้องไปกินข้าวด้วยกัน โดยที่กานต์ดาจัดแบ่งที่นั่งให้เรียบร้อยเสร็จสรรพเป็นการขัดใจกวีที่อยากเป็นคนขับรถคันที่พิณธุภัทรนั่งไปในตัว โดยที่กานต์ดาไม่ได้หันมาถามความคิดเห็นของเพื่อนสาวเลยแม้แต่น้อย ยัยกานต์นะยัยกานต์ ที่เธอกำลังทำอะไรอยู่รู้ตัวรึเปล่า เธอกำลังทำให้หัวใจฉันเดือดร้อนนะ รู้บ้างไหมห๊ะ เสียงของพิณธุภัทรประท้วงขึ้นในใจ
ใบหน้าหล่อเหลาได้รูปที่ไม่ได้เห็นมานานของคนขับรถ ดึงให้พิณธุภัทรเผลอจ้องมองจนเสียมารยาท ดีที่เจ้าตัวไม่รู้สึกอะไรเพราะกำลังให้ความสนใจกับถนนข้างหน้า สายตาที่เจือความรู้สึกหลากหลายถูกส่งผ่านแววตาสีดำสนิทออกไปโดยที่เธอไม่รู้ตัว และหนึ่งในนั้นคือสายตาอาลัยอาวรณ์ที่ไม่ว่าพิณธุภัทรจะปิดบังยังไงก็ปิดไม่มิด
เขายังเหมือนเดิมทุกอย่าง ใบหน้าที่ดูเย็นชา นิสัยที่สุภาพ ความมีน้ำใจไม่ถือตัว เขาเหมือนเดิมทุกอย่าง โดยเฉพาะแววตาคู่นั้น ยังคงแฝงไปด้วยความอ่อนโยนเสมอ แต่นั่นรวมไปถึงความรู้สึกที่ยากจะหยั่งลึกของเขาด้วย เขาไม่เปลี่ยนไปเลย แล้วนิสัยขี้เล่นของเขา จะยังอยู่ไหมนะ
บ้านน้องจันต้องเลี้ยวตรงไหนบอกพี่ด้วยนะครับ อยู่ดีๆเสียงของวีรวุธก็ดังขึ้นทำลายภวังค์ของหญิงสาว เผลอแปปเดียวเข้ามาในหมูบ้านแล้วหรอเนี่ย นี่เรามองหน้าเขาตลอดทางเลยหรอ ชักจะบ้าไปแล้วแห๊ะ
เอ่อ เดี๋ยวเลี้ยวเข้าซอยข้างหน้าค่ะ บ้านจันอยู่หลังที่สองนับจากท้ายซอย วีรวุธพยักหน้ารับแต่ไม่ได้หันกลับมามองคนตอบ พิณธุภัทรลอบถอนหายใจ ดีใจเหลือเกินที่ถึงบ้าน เธอจะได้หลุดพ้นจากบรรยากาศอันน่าอึดอัดที่เธอสร้างมันขึ้นมาเองสักที
รถบีเอ็ม ซี่รี่ส์เจ็ดจอดเทียบที่หน้าบ้านหลังที่สองนับจากท้ายซอยๆหนึ่งในหมูบ้านจัดสรร พิณธุภัทรปลดเข็มขัดนิรภัยออกก่อนจะหันไปกล่าวขอบคุณคนขับตามมารยาท แล้วแอบบอกกับตัวเองในใจว่าจะไม่เจอผู้ชายคนนี้อีกเด็ดขาด ขอให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของเธอ
ไม่เป็นไรครับ น้องกานต์เองก็เหมือนน้องสาวพี่ น้องจันเป็นเพื่อนน้องกานต์ ก็เหมือนน้องสาวพี่น่ะแหละ เรื่องแค่นี้ไม่เป็นไรหรอกครับ จี๊ด น้องสาว..คำนี้อีกแล้ว เธอจะไม่รู้สึกเจ็บเลย ถ้าผู้ชายที่พูดกับเธอในตอนนี้ไม่ใช่เขา ไม่ใช่ผู้ชายคนเดิมที่เคยพูดคำนี้กับเธอ
สีหน้าไม่ค่อยดีเลย น้องจันไม่สบายรึเปล่าครับ วีรวุธเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง สีหน้าของหญิงสาวซีดไปหลังจากที่เขาพูดประโยคก่อนหน้านี้จบ หรือเขาขับรถเร็วไป เธอเลยมึนรึเปล่านะ
จันไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณนะคะที่เป็นห่วง จันรู้สึกมึนหัวนิดๆ เดี๋ยวนอนพักก็คงหาย
เอ่อ พี่ขับรถเร็วไปรึเปล่าครับ
ไม่เกี่ยวหรอกค่ะ เมื่อคืนจันคงนอนไม่พอ เดี๋ยวนอนพักก็หาย พี่ว่านไปเถอะค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะที่ขับรถมาส่ง เอ่อ แล้วก็ขับรถดีๆนะคะ พี่ว่านขับรถเร็วจริงๆ ขับระวังๆนะคะ วีรวุธอมยิ้มให้ตัวเอง ผู้หญิงคนนี้น่ารักเกินกว่าเขาจะห้ามใจจริงๆ นี่ขนาดพึ่งเจอกันครั้งแรก กลับรู้สึกดีได้ขนาดนี้ เขาอยากจะรู้จักเธอให้มากขึ้น อยากให้เธอมาอยู่ใกล้ๆเขาเหลือเกิน เขาจะทำยังไงดี
ครับ พิณธุภัทรปิดประตูรถ อยากจะตบปากตัวเองแรงๆเหลือเกิน จะไปวุ่นวายกับชีวิตเขาทำไมหนอ เขาอยากจะขับเร็วก็เรื่องของเขาสิ ไม่ว่าจะกี่ทีกี่ที เธอก็พูดอะไรเหมือนสั่งเขาทุกทีสิหน่า ห้าปีแล้ว เขาไม่เปลี่ยนไปยังไง เธอก็ยังไม่เปลี่ยนไปอย่างนั้น ให้มันได้อย่างนี้สิ ยัยบ้าพิณธุภัทรเอ้ย ดูซิ..เขาจำแกไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ไม่เป็นไรหรอก เพราะครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตที่แกจะได้เจอกับเขา