ท้าสู้....สอง
สะพั่งสะท้านไมภพ
ขณะนั้น คนที่มีฝีมือพากันกำเริบซ่องสุมพรรคพวกเข้าตีบ้านเมือง ผู้รักษาเมืองได้บอกข้อราชการเข้าไปถึงขุนนางผู้ใหญ่ๆ ก็ไปเฝ้าพระเจ้าง่วนซุ่นเต้ ว่ามีหลายตำบลที่เกิดโจรร้ายขึ้น แต่มีอยู่สี่พวกที่เข้มแข็งจะต้องทำการปราบก่อนโดยเร็ว พระเจ้าง่วนซุ่นเต้จึงให้จัดกองทัพไปปราบ
เช้าวันรุ่งขึ้น มีคำสั่งให้ชายหนุ่มชื่อ ง่อซุน เข้าร่วมกับกองทัพปราบโจรมี จอมพลถัวทัว เป็นแม่ทัพ ก่อนออกศึกแม่ทัพถัวทัวก็ได้ไล่เลียงความรู้ของนายกองใหม่ พอถึงคราวง่อซุนแห่งบ้านใบไม้เขียว มันก็ได้ท่องวิธีการจัดขบวนศึกออกมาความว่า
การที่จะสู้รบกับข้าศึกนั้น ต้องดูให้รู้กำลังข้าศึกและแผนที่ภูมิประเทศให้ชัดเจนแน่ใจเสียก่อน จึงจะคิดการตลอดไปได้ แต่การเบื้องต้นนั้นจะต้องจัดแจงให้เรียบร้อยคือ ฝึกหัดทแกล้วทหารให้ชำนายในเพลงอาวุธคล่องแคล่วรู้จักทีหนีทีไล่ อาวุธที่ให้ทหารใช้จะต้องมีความเชื่อถือได้ หากเป็นเกาฑัณฑ์ก็ต้องยิ่งได้แม่นยำ ดาบเล่าก็ต้องแข็งแรงทนทานคม ก็จะทำให้ทหารอุ่นใจได้ประการหนึ่ง
อีกเรื่องหนึ่ง จะใช้นายทัพนายกองคนใดก็ต้องประมาณภารกิจให้เหมาะสมกับปัญญาของมันด้วย ไม่ใช่แต่สักแต่ว่าใช้ ก็จะทำให้ป่วยการหรือเสียทีมากเกินไป ไม่พอดี
คนที่จะออกรบนำหน้าอย่าเอาไอ้พวกดีแต่พูดท่าทางกล้าหาญหรือพวกนักโทษ จะทำให้ทหารตื่นตกใจเรรวนได้ ไม่พอที่จะเสียท่าก็เสียท่าไป
และข้อสุดท้าย ใครทำดีก็ต้องได้ดี ไปรบชนะกลับมาก็แต่งตั้งให้เป็นขุนพล ไปรบแพ้กลับมาก็ลดหยด หากทำให้ต้องชิบหายเกินไปโดยความประมาทแล้วก็ต้องปลดออกแล้วลงโทษ หากไปรบกลับมาแล้วไม่เคยจะชนะก็อย่าได้เอาใช้หรือเอามาแต่งตั้งให้เป็นเสนาบดีใหญ่ โดยเฉพาะทหารที่เก่งรบแต่ปากหรือเก่งด้านเอาอกเอาใจไอ้พวกนี้มันพวกกังฉินขืนเอาไปใช้หรือแต่งตั้งมันให้เป็นใหญ่ จะทำให้กองทัพพังก่อน เมื่อไม่มีอำนาจที่เป็นหลักประกันแก่ประเทศได้แล้ว ประเทศก็จะถูกย่ำยีจากประเทศข้างเคียง
แม่ทัพถัวทัวได้ยินก็ยิ้มสั่งให้ไปเป็นผู้ช่วยนายกองปีกขวาในการรบครั้งนี้
กองทัพของหงวนได้ทำการเขาตีนายโจรเมากุยที่เมืองเม่งจิว แตก เล่าฮอกทองหนี ได้เมืองเปียนเหลียง ไปตีเมืองซือจิวต่อ ฆ่าจือเมาลี้ตาย
ฝ่ายซันตุนเสนาบดีอีกคนในเมืองหลวงของราชวงศ์หงวน ได้ข่าวว่าถัวทัวรบชนะก็คิดอิจฉา จึงแกล้งทูลใส่ความว่าถัวทัวคิดกบฏ ไปรบโจรแล้วไม่ยอมรายงาน พระเจ้าง่วนซุ่นเต้เชื่อจึงสั่งปลด
เมื่อถัวทัวโดนปลดกลางอากาศ ด้วยความจงรักภักดี จึงไม่ได้นำกำลังเข้าไปเมืองหลวงเพื่อทำการปฏิวัติ แต่ก็มอบตำแหน่งให้แม่ทัพคนใหม่ แล้วตนเองก็ลาออกไปใช้ชีวิตหากินไปวันๆ
ต่อมาเมื่อโจรได้ข่าวก็เกิดกำเริบขึ้น ทัพเมืองหลวงก็พ่ายลงทุกวัน ฝ่ายง่อซุนผู้ช่วยนายกองปีกขวาก็พลอยโดนปลดเนื่องจากว่าไม่ได้รับความไว้วางใจเพราะมีเชื้อสายชาวฮั่น
จากตำแหน่งสูงส่งกลายเป็นพลิกผันในเวลาแค่พลิกฝ่ามือ ง่อซุน น้ำตาซึมก็เก็บข้าวของจากมากลับสู่บ้านใบไม้เขียว ชาวบ้านต่างก็สงสัยและถามว่าทำไมไม่ไปทำงาน ง่อซุนได้แต่เก็บอารมณ์แค้นคุกรุ่นไว้ในอกตน ครั้นจะไม่ยอมแพ้หานายใหม่ไปอยู่ด้วย ต่างก็เอาตัวรอดกันทั้งนั้น ดีแต่ประจบสอพลอเจ้าไปวันๆ แต่งตั้งพรรคพวกคนใกล้ชิดข้าหลวงเดิมเอาไว้ใช้ให้คุมตำแหน่งสำคัญ ส่วนไอ้พวกอื่นไม่ว่าจะเก่งหรือไม่ก็เอาไปแขวนให้มันว่างงานเล่น
นี้นี่เองเรียกว่า มีปัญญาแต่เอาตัวไม่รอด ในเมื่อแผ่นดินหงวนนี้ไม่ต้องการไอ้พวกที่ทำงานตั้งใจแล้ว ชอบแต่พวกที่เข้าหาเจ้านายแล้วได้ดีแล้ว เราก็ไม่จำเป็นต้องบากหน้าไปพึ่งพวกมันอีก ไอ้พวกที่เอาแต่อ้างความจงรักภักดีแต่การกระทำของมันมีแต่ชั่วช้าตกต่ำ ดังนั้น ง่อซุน จึงต้องค้นหาตัวตนของตนเองให้พบ และในระหว่างนี้ก็แสวงหาข่าวสารเจ้านายที่น่าจะไปทำราชการด้วย แต่เหนือสิ่งอื่นใดต้องเป็นงานที่ทำให้ประชาชนมีกิน มีความสุข มีความปลอดภัย
ผ่านมาแล้วปีกว่า จากตอนโดนปลดจากตำแหน่ง ง่อซุนก็ยังไม่มีความคืบหน้าใด เหล่าโจรก็ฮึกเหิมขึ้นถึงขั้นฆ่าข้าหลวงในเมืองทางใต้ตายรายวัน ทัพเมืองหลวงก็ไม่สามารถจะทำอย่างไรได้
ง่อซุนถอนใจแล้วเอื้อนเอ่ยออกมาว่า
ไม่เป็นห่วงว่าไร้ผู้คน
หากเป็นห่วงว่าไม่รู้จักคน
ไม่เป็นห่วงว่าไม่รู้จักคน
หากเป็นห่วงรู้จักคนแต่ไม่ใช้สอย
แม้ขุนเขายังเขียวจีรัง สายัณห์เองก็แดงหลายครา ดังนั้นชีวิตของชายหนุ่มไม่แน่นักว่าจักจบลง
กลับบ้านดีกว่า ว่าแล้วง่อซุนก็กลับไปหาเหมยฟ้า ตั้งหน้าตั้งตาแต่งกลอนเขียนบทกวีขาย ศึกษาพระธรรม ไปนั่งกรรมฐานกับหลวงจีนธรรมหุน วัดเล่งยี่
ในห้วงหนึ่งของความฝันในยามนี้ เขาได้คิดถึงขึ้นมาถึงบทกวีในสมัยจิ๋นที่กล่าวว่า
ความร้ายกาจของหญิงสาวสะคราญโฉม
พวกนางรู้จักเกาะกุมจิตใจบุรุษ
แสร้งเป็นน่าสมเพชเวทนา
ต้องการความปกป้องคุ้มครอง
ทั้งไม่หวงแหนร่างกาย
ออดอ้อนด้วยคำหวาน
สุดท้ายต้องตกหลุมพรางของมัน
(จาก เจาะเวลาหาจิ๋นซี)
หกรุ่งเรือง สามเสื่อมโทรมเป็นฉะนี้เอง
มีต่อ