เรื่องบ่น ตอนที่หนึ่ง.....
คีตากะ
รถไฟ เรือเมล์ ลิเก ตำรวจ คำเหล่านี้เหมาะกับบุคลิกของตัวผมเป็นที่สุด พิจารณาดูแล้วชีวิตผมหาความแน่นอนอะไรไม่ได้เลยซักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน ความรัก การงาน หรือจะเรื่องไหนๆก็ตามแต่ คงไม่พ้นฉายาเหล่านี้ไปได้ โลเลเหลาะแหละเป็นไม้หลักปักขี้เลน .เป็นไปตามอารมณ์ครับ!.....เหตุผลไม่ค่อยจะมี สมองไม่ค่อยจำ มันว่างๆกลวงๆ ยังไงพิกล จะคิดอะไร จะพูดอะไร จะทำอะไร มันเลยผิดเพี้ยนไปหมด ก็มันดันไปสวนทางกับชาวบ้านเขาน่ะสิ จ้องคอยหาเรื่องใส่ตัวอยู่เรื่อย เงียบๆไว้นั่นแหละปลอดภัยที่สุด เวรกรรม ! ปกติเป็นคนเชื่อคนง่ายครับ ใครชวนไปไหนก็ไป แต่พอหลวมตัวไปกับเขาทีไรก็มักโดนปล่อยเกาะทุกทียิ่งหาทางกลับบ้านไม่ค่อยจะถูกเสียด้วย ทุกวันนี้ก็เลยสบาย การที่ต้องหลงทางบ่อยๆกลับกลายเป็นผลดีกับตัวเรา ได้เรียนรู้อะไรแปลกๆใหม่ๆมากมาย เดี๋ยวนี้ไปไหนมาไหนสบายครับ ! อาจมีหลงทางบ้างถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาเสียแล้ว คำว่ากลัวหลงทางหมดไปแล้วจากความทรงจำ เพราะถือคติว่า ถามทาง ดีกว่าวิ่งเร็ว มีปากครับ ใช้ให้เป็นประโยชน์ ไกด์มีทั่วโลก ด้านเข้าไว้ เพิ่มความหนาของใบหน้าอีกนิดหน่อยก็ดีเอง.ไม่รู้ก็ถาม มีหลายคนบอกว่าผมเป็นพวกเร้นลับ แปลกประหลาด อันธพาล ผมว่าก็มีส่วนถูกนะ ถ้าเทียบกับคนส่วนใหญ่ในสังคม ผมไม่รู้สึกว่าผมแปลกประหลาด เพียงแต่แตกต่างจากชาวบ้านเขาเท่านั้น ถ้าเรื่องความแตกต่างผมจัดได้ว่าเป็นตัวประหลาดอันดับหนึ่ง ผมมีเพื่อนน้อยมาก เพราะความประหลาดของผมนี่แหละ ทำให้ทุกคนที่เข้ามาใกล้ชิดเริ่มหวาดระแวงวิตกกันไปต่างๆนาๆตามระยะเวลาที่ยิ่งนานยิ่งมีมาก ส่วนใหญ่จะคิดว่า วันนี้มันจะมาไม้ไหนหว่า? อุณหภูมิความร้อนในตัวเขาจะเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆใกล้จุดเดือด ไม่ผิดกับกบที่กำลังว่ายน้ำเล่นอยู่ดีๆในหม้อต้มที่กำลังร้อนขึ้นๆบนเตาไฟ.สุดท้ายก็มีทางเลือกสองทางให้มันเลือกคือจะกระโดดหนี หรือจะกลายเป็นกบต้มความจริงคงไม่ถึงขนาดนั้น ผมว่าทุกคนคิดกันไปเอาเองต่างๆนาๆมากกว่า ทั้งๆที่สมองผมค่อนข้างว่างเปล่าไม่ค่อยมีเรื่องราวอะไร ไม่รู้แม้กระทั่งควรจะทำอะไรต่อไปในบางครั้งบางทีผมอาจจำเป็นต้องไปเช็คประสาทที่โรงพยาบาลบ้างน่าจะดีการที่สมองไม่ค่อยทำงานเป็นปัญหาใหญ่เหมือนกันในการทำงาน ผมมักถูกผู้หลักผู้ใหญ่ตำหนิบ่อยๆเรื่องทิศทางของชีวิตคุณต้องมีแผน คุณต้องมีเป้าหมาย มีวัตถุประสงค์ มีนโยบายชัดเจนในการทำงานและการดำเนินชีวิต เป้าหมายของคุณต้องวัดเป็นตัวเลขได้เวลาผมได้ยินประโยคเหล่านี้ทีไรก็มักเกิดอาการเซ็งอย่างบอกไม่ถูกผมอยากจะมีแต่ก็ไม่เคยทำได้สักครั้ง เป็นเรื่องยากสำหรับผมในการวางแผนชีวิต มันขัดกับนิสัยโดยสิ้นเชิง ผมกำลังดิ้นรนอยู่ระหว่างอารมณ์ที่พลิ้วไหวเหมือนสายลมกับเหตุผลที่ล้อมกรอบเหมือนกำแพงอิฐบ่อยครั้งที่ผมจมอยู่กับช่องว่างนั้น แม้มันจะดูเหมือนสงบแต่มันก็คงยังไม่ใช่ในสิ่งที่ใจปรารถนาซึ่งผมก็ไม่ทราบแน่ชัดหรอกว่าแท้ที่จริงตัวเองปรารถนาสิ่งใดกันแน่ ? แม้ผมจะเรียนจบมาทางด้านวิทยาศาสตร์(Engineer)และต่อทางด้านบริหารธุรกิจ(MBA) แต่ดูเหมือนว่าทฤษฎีเหล่านี้ที่ร่ำเรียนมาจะใช้ไม่ค่อยได้กับความเป็นจริงในชีวิตที่ออกแบบไม่ได้ของผม.วิทยาศาสตร์สอนให้ผมเชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ได้ มีการตั้งสมมุติฐาน มีการทดลอง มีข้อสรุป แต่เท่าที่ผ่านมาหลายครั้งหลายคราวที่ผมต้องประสบกับเรื่องราวที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ หาเหตุผลอธิบายไม่ได้ แล้วมันก็เกิดขึ้นบ่อยๆเสียด้วยกับผม หากจะเล่าไปก็คงจะยาวเป็นรามเกียรติ์และมันก็น่าหัวเราะเยาะคงไม่มีใครเชื่อ เพราะมันเหลือเชื่อ ก็ขอละไว้ในฐานที่เข้าใจ(ไม่รู้เข้าใจป่าว) ส่วนเรื่องของธุรกิจที่ไม่พ้นเรื่องเงินๆทองๆ เรื่องของตลาดก็สอนให้ผมเข้าใจสภาวะจิตใจของคนที่เรียกภาษาทางการตลาดว่าผู้บริโภค ลูกค้า อะไรพวกนี้ แต่ผมก็ยังเอาวิชาพวกนี้มาใช้ไม่ค่อยได้อยู่ดี จนเดี๋ยวนี้ผมยังไม่เข้าใจแม้แต่ความต้องการของตัวเอง แล้วผมจะไปหยั่งรู้ความพึงพอใจของผู้บริโภคได้ออย่างไร มันเป็นเรื่องซับซ้อนมาก และมันก็มากไปสำหรับผม สรุปแล้ววิชาการส่วนใหญ่ได้คืนอาจารย์ที่น่าเคารพไปเกือบหมดสิ้นแล้ว กรรม! ผมรู้สึกได้ว่าคนอื่นๆยิ่งเรียนมากยิ่งฉลาดมาก แต่ผมกลับตรงกันข้าม คิดเอาเองนะกันว่าเป็นแบบไหน ? ผมเคยทำงานบริษัทมา 3-4 แห่งเข้า-ออก และก็ออก-เข้า อยู่อย่างนี้จนกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับผม แต่สำหรับคนอื่นไม่ใช่ ! ทุกคนยึดขาเก้าอี้แน่น ลากพาตัวออกมาได้แล้ว แต่แขนยังหลุดเกาะขาเก้าอี้ไม่ยอมปล่อย.ไหนจะผ่อนบ้าน รถ ครอบครัว หนี้สิน แบกอยู่บนบ่าจะปล่อยออกมาได้ไง ผมตัวคนเดียว(โฆษณาซะ) ก็คงเป็นแบบนี้แหละเรื่อยเปื่อยอะไรก็ได้ ง่ายๆชิวๆ สำหรับคนอื่นเขาก็เรียกไอ้พวกทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันแต่ผมก็มักอดโต้แย้งไม่ได้ว่า ก็ความไม่เป็นชิ้นเป็นอันของผมนี่แหละคือความเป็นชิ้นเป็นอัน.เถียงข้างๆคูๆไปงั้นแหละสะใจดี ! สรุปได้ว่าไม่มีสักชิ้นสักอันเลยจะดีกว่า เข้าใจง่ายดี ผมรู้สึกว่าอายุเริ่มมากขึ้นแต่มันสมองกลับตรงกันข้ามไม่ค่อยรู้เท่าทันโลกเขาเท่าไร ทีวีก็ไม่ค่อยดู เพลงก็ไม่ค่อยฟัง ชอบเก็บตัวเงียบ ไปไหนมาไหนคนเดียวไม่มีเพื่อน ไม่เรียกว่าตัวประหลาดจะเรียกว่าอะไร? บอกตรงๆเลยว่าผมชอบอยู่เฉยๆมากกว่า ไม่ชอบความวุ่นวาย คนแถวบ้านผมเขาเรียกคนขี้เกียจสันหลังยาว ผมไม่รู้ว่าทำไมสันหลังต้องยาว ? แต่ช่างมันเถอะ ! ยังไงผมก็คงไม่สามารถหนีพ้นข้อกล่าวหานี้อยู่ดี ใครจะวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร ผมไม่เกี่ยวอะไรด้วย ขอเพียงเรามีความสุขในสิ่งที่ทำก็พอ ทำไมต้องสนใจขี้ปากชาวบ้าน มีหลายต่อหลายคนแนะนำให้ผมบวชตลอดชีวิต ซึ่งมันก็เข้าทางผมพอดี ผมหน่ะอารามบอยเก่า เรื่องวัดวาพอรู้ลู่ทางดี ไอ้เรื่องก่อกวนพระในวัดนี่ถนัดนัก พอมาคิดไปคิดมา ผมว่าคงอยู่ได้ไม่นาน ผมชอบตรงที่มีที่พักฟรี อาหารพร้อม เผอิญผมมีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน ปัจจุบันเป็นรองเจ้าอาวาสแล้ว จบนักธรรมเอก เจอกันทีไรต้องเปิดเวทีโต้วาทีกันประจำ ดึกๆดื่นๆยังโทรมาถกพระไตรปิฎกเป็นเล่มๆ สนุกไปอีกแบบ มีเพื่อนแบบนี้ นานๆผมจะได้ไปนอนค้างวัดสงบจิตสงบใจสักที ผมไปทีไรพระในวัดก็ปั่นป่วนทุกที ก็เล่นจับคู่กับรองเจ้าอาวาสปิดโบสถ์นอนซะเลย พระอื่นไม่ต้องใช้ กรรม ! ช่วยไม่ได้หลวงพี่ผมเป็นรองเจ้าอาวาสถือกุญแจทุกห้อง ใครจะกล้าแหยม ผมก็กลายเป็นเด็กเส้นไปโดยปริยายเส้นใหญ่เสียด้วย รอให้หลวงพี่ผมเป็นเจ้าอาวาสเมื่อไร วัดทั้งวัดเสร็จแน่ กรรม!....จะลงมั๊ยเนี๊ย !.....โบราณว่า สันดอนขุดง่าย สันดานขุดยาก คนลองมีนิสัยเป็นอย่างไร จะอยู่ที่ไหนมันก็ยากจะเปลี่ยนแปลง แต่การแก้ไขตัวเองถึงจะยากเย็นแสนเข็ญแค่ไหน แต่คงยังจะง่ายกว่าไปเที่ยวตามว่าคนนี้ทีว่าคนโน้นที คิดจะแก้ไขคนอื่น เขา ซึ่งโคตะระยากยิ่งกว่าหลายเท่านัก เรื่องง่ายๆเลยกลายเป็นยาก ส่วนเรื่องยากๆก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ .กรรม !...ก็บ่นๆไปงั้นๆแหล่ะตามประสาคนแก่.ขอบคุณที่ยอมมาเป็นที่รองรับอารมณ์..คนขี้บ่น...............................