การเดินทางของผิน
ชินเดช ญาณรัตน์
การเดินทางของผิน
โดย..ชินเดช ญาณรัตน์
1.
ผิน ก้มลงมองฝ่าเท้าและลูบคลำมือตัวเอง นิ่งนาน เหมือนพบอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาต้องคิด มือนั้นหยาบกร้านหนาใหญ่ มีแผลเป็นประดับอยู่หายแห่ง บางครั้งดูเหมือนกับไม่ใช่มือ แต่มันคล้ายเท้าเล็ๆของสัตว์อะไรสักอย่าง เท้าแบนิ้วบานหนาเตอะ เกาแทบไม่รู้สึก มันพอกพูนด้วยหนังกำพร้าเพื่อต่อสู้กับงานหนักอันชาชิน
มือและเท้าคู่นี้ไม่ใช่หรือ ที่เคยจับจอบ คันไถ สร้างเมล็ดข้าวเลี้ยงคนทั้งเมืองมาแล้ว ก่อนความทารุณอันร้ายกาจของธรรมชาติและการเอารัดเอาเปรียบอย่างเลือดเย็นของผู้กุมผลประโยชน์กระหน่ำซ้ำเติมเข้มาบีบเค้น บังคับไสส่งให้เขาต้องผละทิ้งท้องนามาที่นี่
มือเท้าคู่นี้อีกเหมือนกันที่พาเขาเดินลับหายไปจากหมู่บ้าน หายไปจากอิสานบ้านเกิด หายไปเหมือนคนอื่นๆมุ่งหน้าเข้าสู่
เมืองใหญ่ ฝากความหวังไว้กับอนาคตผจญกับงานใหม่ อะไรก็ได้ไม่เกี่ยงเพียงเพื่อเอาชีวิตให้อยู่รอด
แต่ก้อพบว่า ชีวิตในเมืองหลวงนั้นไม่ได้สวยงามอย่างที่เข้าใจเลย ผู้คนของเมืองนี้ผิดแผกแตกต่างจากชีวิตบ้านนอกมากมาย มากประเภท มากเล่ห์เหลี่ยม จนเขารู้สึกหวาดกลัวในบางครั้ง กลุ่มนี้กอบโกยกันอย่างอ้วนพี แต่กลุ่มโน้นเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าสายตัวแทบขาด กว่าจะได้เงินเพียงจำนวนน้อยนิดมาต่อชีวิตผุๆ ถึงจะด้อยด้วยภูมิปัญญาความรู้ แต่ผินก็เข้าใจถึงบางสิ่งที่ดูไม่สมดุลย์กันเลย และดูห่างไกลกัน จนรู้สึกหดหู่
จึงวันหนึ่ง เมื่อเก็บเงินได้พอเป็นค่ารถ ผินก็เดินทางมาแสวงหาความหวังที่นี่ ตามคำชักชวนของเพื่อนคนอิสานด้วยกัน และข่าวคราวการแพร่สะพัดของกระแสเงินตราของหมู่บ้านแห่งนี้
2.
เกือบปีแล้วที่เขาทำงานในหมู่บ้านชายทะเลเล็กๆแห่งนี้ ผ่านฤดูฝนอันน่าเบื่อหน่ายนี้ไปนั่นแหละคือวันที่ฉันเดินทางมาที่นี่ ผินบอกกับตัวเอง รายได้จากการรับจ้างดำแร่ที่เขาได้รับช่างเทียบไม่ได้เลยกับรายได้ที่เคยได้รับจากงานสารพักชนิดในเมืองหลวง ผิดกันมากจนบางครั้งคิดว่าฝันไป เพราะเพียงสองสามชั่วโมงเท่านั้นผินจะได้เงินไม่ต่ำกว่าสองสามร้อยบาทและเมื่อครบอาทิตย์เมื่อทางเจ้าของแพนำแร่ไปขาย ผินก็ยังจะได้เปอร์เซ็นต์ในส่วนของเขาอีก
อย่างนี้นี่เองที่ทำให้คนจากจังหวัดใกล้เคียงหรือไกลออกไปเดินทางมาแสวงโชคจากสินใต้ทะเลในหมู่บ้านแถวนี้ยิ่งกว่าตื่นทอง
ก่อนหน้านั้น มันเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ เงียบเหงาแต่สุขสงบ มีครอบครัวของชาวเลอาศัยอยู่ไม่กี่หลังคาเรือน คึกคักอยู่บ้างก็เพียงในตอนเรือตังเกเข้าเทียบท่าถ่ายเทปลาที่จับมาได้ขึ้นฝั่งเท่านั้นแต่พอมีการค้นพบสายแร่ในทะเล จากนั้นไม่นานสิ่งต่างๆก็เปลี่ยนแปลงไปจนแทบหมดสิ้น จากหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว
คนหลั่งไหลมาทุกสารทิศ มีบาร์ ร้านเหล้า ร้านขายเสื้อผ้าหลากหลายชนิดผุดขึ้นราวกับดอกเห็ดรวมไปถึงที่สำหรับเสพกามประกอบกิจกันอย่างเป็นล่ำสัน
สิ่งที่ผู้คนเก่าแก่เจ้าของถิ่นไม่เคยพบเห็นเพราะไม่เคยเกิดขึ้นแล้ว เป็นอาภรณ์อย่างใหม่ที่เกิดตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น
3.
กระแสของเงินตราที่นี่ ไหลเชี่ยวยิ่งกว่ากระแสน้ำทะเลภายใต้คลื่นหัวเดิ่ง
ร้านเหล้าจะเต็มทุกร้านในทุกเย็นหรือวันที่มีฝนหรือลมแรงจนไม่อาจดำแร่ในทะเลได้ เหล้าขายดีจนต้องเขยิบราคากันตามใจชอบ แต่ไม่มีใครปริปากหรือปฏิเสธ สบู่ก้อนเดียวอาจราคาเกินยี่สิบบาท ไม่มีใครเกี่ยงเมื่อเงินร้อยไม่มีความหมาย
ผินเองก็ชาชินกับความสะพัดแห่งความเป็นไปนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น
บางสิ่งบางอย่างนั้นมันเหมือนตุ่มน้ำก้นรั่ว ที่เขานิ่งดูดายและไม่เคยใส่ใจเลย..นานนับเดือนและล่วงเลยมานาน
4.
ฝนยังคงกระหน่ำอย่างไม่ยอมหยุดติดต่อกันมาร่วมอาทิตย์แล้ว
ทั่วทั้งหมู่บ้านจะมองเห็นเป็นฝ้าขาวด้วยละอองฝนที่พัดตรงจากทะเล ราวกับน้ำพวกนั้นมีตีนก้าวขึ้นจากมหาสมุทรเดินซอกซอนไปในหมู่บ้านและทุกซอกทุกมุม ข่มขู่ผู้คนไม่ให้ยอมโผล่ออกจากบ้าน
ผินรู้สึกปวดร้าวกับฤดูกาลที่ผ่านไป เขาน่าจะเหลือเงินสักก้อนสำหรับการเดินทางกลับบ้านสายฝนที่กระหน่ำรุนแรงและมีน้กหนักอึ้งนั้น ทำให้ผินคิดถึงการทำนาที่อิสานบ้านเขา ซึ่งเขาไม่แน่ใจว่าจะมีฝนมีน้ำเหมือนที่นี่หรือเปล่า.. หรือมันยังแห้งแล้งอยู่อีกทั้งที่ฤดูฝนย่างเข้ามาแล้ว ธรรมชาติวิปริตขึ้นทุกวันอิสานแล้งไม่มีน้ำจะทำนาในฤดูหว่านดำ แต่ที่นี่ฝนตกมาก มีพายุ มีคลื่นใต้น้ำที่สามารถจับแพโยกราวกับมือยักษ์ไกวเปล จนการดำแร่ต้องชงักงัน ไม่มีใครอาจกล้ากับความไร้น้ำใจของมรสุม
รายได้ที่เคยสะพัดขาดหายไปไม่คึกคัก แพหลายลำต้องหยุดกิจการลงชั่วคราว คนงานกำลังว่างงานหรือแพถูกทิ้งให้กรำฝนอยู่อย่างเปลี่ยวเหงา นักดำแร่กำลังเดินทางกลับหรือพเนจรไปที่อื่นระลอกแล้วระลอกเล่า เพื่อจับงานอย่างหนึ่งอย่างใดไปก่อน เพื่อรอเวลาที่จะกลับมาเมื่อลมมรสุมผ่านพ้นไปแล้ว แต่ก็มีไม่น้อยที่ยังจับเจ่า ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรกับวันอันว่างเปล่าของวันนี้ พรุ่งนี้ ตอนนี้เงินเพียงร้อยสองร้อยดูจะมีค่ามากเหลือเกิน หลังจากได้ถลุงเงินพันเงินหมื่นจับจ่ายกันอย่างสนุกมือมาแล้วเมื่อวันวานที่ผ่านมา กว่าจะคิดได้ก็สายเกินกว่าจะยับยั้งเสียแล้ว
อะไรจะโหดร้ายไปกว่าการไร้ญาติขาดมิตรในต่างถิ่นโดยเฉพาะในภาวะขัดสนเห็นจะไม่มีอีกสำนึกหนึ่งผินรู้สึกสมน้ำหน้าสะใจที่ใครๆต่างพากันประฌามใส่หน้า ไอ้พวกเสี่ยว มีคำขมขื่นตามมาอีกมากมายกินแบบเสี่ยว เที่ยวแบบเสี่ยว และจนกรอบแบบเสี่ยว มีไม่กี่คนเท่านั้นที่หลีกหนีคำประฌามเหล่านี้มีเงินเก็บกลับบ้านได้ แต่ส่วนมาก ส่วนใหญ่ เหมือนผินเหมือนอีกหลายๆคนที่ระเริงหลงจนลืมตัว สมแล้ว.. สมจริงๆหนอที่พวกเขาว่ากันว่า พวกลาวพวกเสี่ยว ผินนิ่งคิดอย่างปวดร้าว หยาดน้ำฝนมันเหมือนหยาดความว้าเหว่ที่ถั่งท้นอยู่ในใจผินเสียเหลือเกิน
5.
หลายวันก่อน ผินเคยเดินตระเวณไปตามสวนยางในตำบลใกล้เคียง บางม่วง คึกคัก หรือย่านยาว เพื่อหางานไม่ว่าจะเป็นรับจ้างดายหญ้า ถางหญ้าในร่องสวนยาง แต่ก็ต้องผิดหวังกลับมา ไม่มีงานเหลือสำหรับเขาหรือใคร เพราะเจ้าของสวนยางหรือลูกหลานที่เคยผละงานไปก็ต้องกลับมาทำงานอย่างเดิมที่ละทิ้งไปนั้นด้วยตนเอง
ฤดูมรสุมจึงเป็นฤดูกาลอันโหดร้ายสำหรับนักดำแร่พเนจรอย่างผินเสียเหลือเกิน
แต่ในความหวังที่ดับวูบแล้วของผินสว่างวาบขึ้นอีก เมื่อนายหัวรอยเจ้าของแพรายใหญ่ในจำนวนไม่กี่คนของหมู่บ้านน้ำเค็มเรียกเขาไปพบเมื่อเย็นนี้
กูให้มึงสองพันทันทีที่มึงทำสำเร็จ.. นายหัวรอยสำทับเมื่อบอกเล่าถึงงานอย่างหนึ่งที่จะให้ทำจบ มึงยิงเสร็จ มึงก็หลบไปเสียสักพัก ที่ไหนก็ได้ ฤดูดำแร่คราวหน้า มึงอยู่ในรายชื่อนักดำมือหนึ่งของแพกู..
ชีวิตเป็นของเรา ผินบอกกับตัวเองอย่างนั้น อดอยาก หิวโหย อยู่หรือตายย่อมเป็นไปกับตัวเราเท่านั้น เขาตัดสินใจรับงานจากนายหัวรอยโดยไม่ลังเลใจอีก ผินลูบคลำมือตัวเองอีกครั้ง มือคู่นี้ หากจะจับสิ่งที่ไม่ใช่จอบ ไม่ใช่คันไถ เพื่อเงินเพื่อชีวิตสักครั้งจะเป็นไรไป
6.
โน เขาทำอะไรกันหรือ.. ฉันถามมโนเด็กหนุ่มซึ่งรู้จักกันดี
เผาสดนะพี่ พี่โชคดีรู้ไหมมาถึงก็ได้ดูของดีเลย มะโนตอบ แต่ฉันยังไม่เข้าใจอีกว่าคนกำลังมุงดูอะไรกันที่กลางลานตลาดในหมู่บ้าน
มือปืนพี่ มันบุกยิงโกเหลียง แต่มืออ่อน หมู่ดำเลยสอยซะร่วง เมื่อสักครู่ก่อนที่พี่จะมาถึงนี่แหละ นี่เค้ากำลังจะเผากันสดๆนะ เพื่อประจานหรือข่มขวัญอะไรทำนองนั้น
ฉันพยักหน้าแล้วเดินแหวกผู้คนเข้าไป
ศพชายคนนั้นถูกราดด้วยน้ำมันเบนซิน สุมทับด้วยยางรถยนต์เก่าๆ มีรอยปรุพรุนที่หน้าอกสองสามแห่ง คงเป็นรอยกระสุนปืน
7.
ฉันซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของมดนกลับออกมาด้วยความรู้สึกอย่างหนึ่งว่า ฉันกลับมาบ้านคราวนี้ สิ่งต่างๆเปลี่ยนแปลงไปทุกที แทบไม่เชื่อเลยว่า ท้องถิ่นที่เคยอยู่กันอย่างสุขสงบร่มเย็นจะกลายเป็นเมืองเดือดไปได้ถึงเพียงนี้ฆ่าแกงกันราวชีวิตเป็นผักปลา ทุกครั้งที่ฉันกลับมาเยี่ยมบ้านและได้พบเรื่องราวสะเทือนใจอย่างนี้ฉันอดคิดหวาดหวั่นไม่ได้ว่า ต่อไปนี้จะมีอะไรเหลืออยู่ให้ฉันพอจะจดจำแน่ใจหรือเชื่อได้ว่านี่คือท้องถิ่นที่ฉันเกิด ไม่ใช่แดนมิคสัญญีที่ไหนที่ฉันพลัดหลงเข้ามา
รถกระดอนด้วยหลุมบ่อขรุขระ อะไรอย่างหนึ่งที่สะเอวของมโนทิ่มแทงจนฉันรู้สึกในสัมผัสนั้นฉันพอรู้และไม่แปลกใจอะไรอีกแล้ว ที่เห็นเด็กหนุ่มที่นี่หมู่บ้านของฉัน พกปืนอย่างกับพกหวี
นี่ไม่ใช่เรื่องที่ฉันหวังให้ใครช่วยหรือร่วมรับรู้ด้วยหรอก เพียงแต่รู้สึกว่าชีวิตไม่ควรจะมีจุดจบเพียงแค่นี้ การที่ชีวิตหนึ่งจบสิ้นลง ก็ไม่ใช่ชีวิตหนึ่งจบสิ้นลง ก็ไม่ใช่ใบไม้เพียงใบหนึ่งหลุดร่วงจากขั้วเพียงเท่านั้น
ดูเอาไว้ ใครมันกำแหง ใครอยากเป็นอย่างไอ้เสี่ยวนี่ มันก็จะเป็นรายต่อไปเหมือนหมาอย่างนี้หมู่ดำตะโกนก้องอยู่กลางวงแล้ว จ่อไม้ขีดลงที่ศพ ฉันพอรู้จักเขาบ้าง เขาเป็นตำรวจยศสิบตำรวจโทแต่อำนาจและความเป็นอยู่ของเขาที่นี่ไกลเกินกว่านั้น เขาเป็นคนใกล้ชิดของโกเหลียงเจ้าของแพรายใหญ่อีกรายหนึ่ง เป็นเจ้าของแพอิทธิพลที่คนในหมู่บ้านน้ำเค็มรู้จักกิติศัพท์ดี
ไฟโหมลามเลียศพของชายคนนั้นมากขึ้น มีกลิ่นเหม็นฉุนเฉียวลอยมาจนแทบทำให้อาเจียน
ไปที่ชอบเถอะไอ้ผิน..ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ใกล้กับฉันพึมพัมขึ้น เราสบตากันแว่บหนึ่ง มันเป็นลูกจ้างดำแร่แพเดียวกับผม..แกบอกโดยที่ฉันยังไม่ทันได้เอ่ยปากถามมันเป็นคนดี ไม่น่าเชื่อว่ามันจะคิดสั้นทำแบบนี้ มีความรู้สึกบางอย่างซึ่งทนไม่ได้ที่จะให้แกบอกเล่ามากไปกว่านี้อีก ฉันจึงผละจากมา