ก๊าซพิษมรณะ......มหันตภัยล้างโลก
คีตากะ
กลางท้องทะเลฝั่งอ่าวไทย ปลายปี ค.ศ. 2011 ณ แท่นขุดเจาะน้ำมันของบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง รุ่งเช้าที่ท้องฟ้ากำลังสดใสของวันที่ 29 เดือนธันวาคม…….. พายุร้ายกำลังเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ
“หัวหน้าครับ ! หัวหน้า เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ !” เสียงเอะอะดังมาจากหัวหน้าทีมช่างขุดเจาะน้ำมันภาคพื้นทะเล ที่วิ่งมาอย่างกระหืดกระหอบ ราวกับถูกผีหลอกมาก็ปาน! แกชื่อช่างบ่าว หน้าตามอมแมม ร่างกายต่ำเตี้ย ผิวสีดำสนิท
“มีอะไรว่ะ !ไอ้บ่าว ทำหน้าตื่นขนาดนั้น มึงขุดเจอภูตผีหรือไงฮะ !” คุณสุรชัยผู้จัดการฝ่ายผลิตตวาดเสียงดัง เมื่อถูกคนขัดจังหวะขณะกำลังนั่งจิบกาแฟและอาหารมื้อเช้าอยู่
“หัวหน้าครับ คืออย่างนี้ครับ ระหว่างที่คนงานกว่าร้อยคนกำลังทำงานอยู่นั้น ก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น มีคนมารายงานผมๆจึงรีบไปดู พบว่าท้องทะเลเกิดมีฟองอากาศมากมายกำลังผุดขึ้นมาจากใต้ทะเลครับ คนงานกลัวกันมาก วิ่งหนีกลับที่พักกันหมดเลยครับ บางคนบอกว่า เจ้าแห่งท้องทะเลกำลังลงโทษที่พวกเรามาขุดเจาะน้ำมันบริเวณนี้ “ ช่างบ่าวรายงานด้วยอาการอกสั่นงันงก เหมือนเจอผีสางมาจริงๆ…..
ทันทีที่ได้ฟังรายงานจากช่างบ่าว สีหน้าของคุณสุรชัยก็เปลี่ยนเป็นแดงสดสีเลือดขึ้นมา พร้อมตวาดว่า
“นี่มึงเป็นถึงหัวหน้าทีมช่าง ทำไมจึงทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมกับเรื่องไร้สาระแบบนี้ แค่ฟองอากาศ ทะเลก็ต้องมีฟองอากาศเป็นเรื่องปกติ ไปรีบไสหัวกลับไป มีภาวะความเป็นผู้นำหน่อยสิ บอกคนงานด้วยใครกล้าหนีงานอีกกูจะตัดเงินเดือนหรือไม่ก็ไล่ออก รวมทั้งมึงด้วย ออกไปซ่ะ ก่อนที่กูจะโกรธมากกว่านี้ !”
ช่างป่าวได้แต่รีบออกจากห้องไป ก่อนที่จะเจอข้อหาหนัก แต่สัญชาติญาณถึงเหตุร้ายภายในจิตใจของแก ซึ่งเป็นผู้ที่เคยคร่ำหวอดในวงการขุดเจาะน้ำมันมากว่า 20 ปี สอนให้แกรู้ว่ากำลังมีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น แกเดินเรื่อยๆพลางคิดว่าเพราะอะไรผู้จัดการถึงไม่รับฟังคำพูดของแก…แต่แล้วแกก็เปลี่ยนใจที่จะกลับไปตามคนงานมาทำงาน กลับเดินเลี้ยวซ้ายเลียบทางเดินเล็กๆที่ติดกับท้องทะเลตรงไปยังห้องของหัวหน้าทีมวิจัยและพัฒนาซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับแกมานานในฐานะเพื่อนร่วมงาน
“มึงจะบ้าไปแล้ว ไอ้บ่าว เมื่อคืนมึงกินเหล้าดึกไปเปล่าวะ เช้ามาเลยเมาไม่สร่าง กูว่ามาต่อกันอีกซักกลมดีกว่าหว่ะ ถอนหน่อยจะได้หายเมาฮาๆ”ประสงค์ หัวหน้าทีมวิจัยฯ หัวเราะเพื่อนของเขาเองที่ตื่นตูมกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง หลังจากที่ช่างบ่าวเพื่อนสนิทของเขาเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง….
“เออ ไม่มีใครเชื่อกูก็แล้วไป เกิดอะไรขึ้นจะมาว่ากูไม่เตือนไม่ได้นะมึง” ช่างบ่าวตัดพ้อต่อว่าเพื่อนสนิทของเขาก่อนที่จะรีบก้าวเท้าออกจากห้องไป
ช่างบ่าวรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างมากที่ไม่มีใครรับฟังคำพูดของเขา และเขาเริ่มจะเชื่อคำพูดของคนเหล่านั้นไปเสียแล้วว่าตัวแกเพี้ยนไปเอง แต่สัญชาติญาณของแกยังคงร้องเตือนแกไม่หยุดหย่อน ถึงเหตุร้ายแรงบางอย่าง แต่แล้วแกก็พลันคิดขึ้นมาได้ว่าในไซด์งานขุดเจาะน้ำมันนี้ยังมีคนผู้หนึ่งที่สามารถตอบปัญหาเคลียร์ข้อข้องใจให้แก่แกได้ ภายหลังจากที่แกเข้าไปรายงานระดับผู้บริหารหลายท่าน แต่สุดท้ายก็จบเหมือนเช่นเดิม คือแกโดนตวาดไล่ออกมาเหมือนสุนัขตัวหนึ่ง ไม่รู้ว่าคนๆนี้จะเหมือนคนอื่นๆอีกหรือไม่ แต่แกไม่มีทางเลือก เพราะนี้คือทางเลือกสุดท้าย คนที่เขาต้องการพบก็คือ นายช่างสอง วิศวกรหนุ่มไฟแรง ที่เพิ่งเข้างานมาได้เพียง 2 เดือน แต่ก็ถูกส่งมาประจำที่นี่เช่นเดียวกับแก
“มึงเห็นนายช่างสองเปล่าว่ะ” ช่างบ่าวถามคนงานคนหนึ่งที่เผอิญเดินมาเจอกัน
“ลูกพี่ลองไปดูที่ห้องนายช่างสิ” คนงานตอบ
“กูไปมาแล้วแต่ไม่เจอ เดินหาจนทั่วเกือบจะตกทะเลตายอยู่แล้ว ไม่รู้วันนี้นายช่างมาทำงานเปล่า? หาตัวยากจริงๆ” ช่างบ่าวรู้สึกท้อแท้อย่างบอกไม่ถูกกับการเดินตามหานายช่างสอง แกให้ประชาสัมพันธ์ประจำไซด์สาวสวย ประกาศให้หลายรอบแล้วแต่ยังคงไม่เห็นแม้เงาของคนที่เขาอยากพบเจอมากในเวลาที่คับขันที่สุด !
“ไอ้หมาย มึงเห็นลูกพี่มึงเปล่าว่ะ มึงสนิทกับนายช่างสองไม่ใช่เหรอ? น่าจะรู้ดีว่าเขาอยู่ไหน เห็นกินเหล้าด้วยกันบ่อยๆ” ช่างบ่าวรีบกล่าวด้วยอาการดีใจ เมื่อได้พบกับสมหมาย ช่างเครื่องกล คนสนิทของนายช่างสอง หลังจากที่เดินตามหามันมากว่าครึ่งค่อนวัน
“ฮาๆๆๆๆ วันนี้ลูกพี่ผมไม่มาทำงานหรอกครับ แกลากิจครับ” สมหมายตอบด้วยรอยยิ้มแทบจะกลั้นหัวเราะไม่ออก
“กูมีเรื่องเร่งด่วนอยากพบเจอนายช่าง ตอนนี้เดี๋ยวนี้ เรื่องคอขาดบาดตายนะมึง ไม่มีเวลามาล้อเล่นกับมึงหรอก บอกมาตรงๆว่านายช่างอยู่ไหน” ช่างบ่าวเริ่มหงุดหงิด พร้อมพูดแกมบังคับ
“ผมบอกให้พี่รู้ก็ได้ แต่พี่อย่าไปบอกใครนะ เดี๋ยวนายช่างสองจะมาเล่นงานผม !”
“เออ กูรับปาก รีบบอกมา นายมึงอยู่ไหน” ช่างบ่าวคาดคั้น
“ผมว่าเมื่อคืนแกดื่มหนักไปหน่อย ผมชวนแกกลับตอนตีหนึ่ง แต่แกบอกไม่กลับแถมพูดจาไม่รู้เรื่องอีก ยังขับไล่ผมให้กลับไปก่อน ผมเดาว่าแกคงไปนอนกับอีหนูที่ร้านอาหารและคาราโอเกะชื่อ ร้านสุขสำราญคาราโอเกะ ในเมืองนะครับ !” สมหมายกล่าวรายงาน ภายหลังจากที่ทราบว่านายช่างขึ้นฝั่ง ช่างบ่าวก็รีบสั่งลูกน้องเอาเรือออกทันทีเพื่อไปตามนายช่างสองความหวังสุดท้ายที่เหลือเพียงหนึ่งเดียวของแก และอาจหมายถึงความเป็นความตายของแกด้วย !
ท้องฟ้ายังคงเวิ้งว้างว่างเปล่าราวกระดาษ ลมทะเลแม้จะรุนแรง แต่เสียงหัวใจของช่างบ่าวยังเต้นแรงกว่าอีกหลายเท่านัก
ท้องฟ้ากว้างใหญ่ไพศาล
สุขสำราญเพียงกินดื่ม
หวังเหงาจางร้างเลือนลืม
ขอหยิบยืมน้ำเมาคลาย……
โอบกอดนารีมีไออุ่น
หอมกลิ่นกรุ่นรักมิหน่าย
ผ่านวันเปล่าเหงาวางวาย
สุขมิคลายได้กอดนาง….
ยิ้มเยาะเย้ยชนชาวโลก
มัวนั่งโศกโชคเหินห่าง
ข้าคงสุขทุกข์เบาจาง
อ้อมกอดนางสำราญใจ
ครั้งแรกที่ช่างบ่าวมาถึง “ร้านสุขสำราญคาราโอเกะ” แกต้องพบกับความว่างเปล่าเพราะไม่พบตัวนายช่าง แต่พอสืบทราบว่าเมื่อคืนนายช่างสองมาที่นี่และอยู่กับหญิงสาวเยาว์วัยนางหนึ่ง แกก็รีบตามหาจนพบตัวเธอ เธองดงามอย่างยิ่งทางร้านเพิ่งรับเข้ามาเป็นนักร้องที่นี่ได้แค่ 3 วัน แต่คนที่สนิทสนมกับเธอมากที่สุดคงเป็นนายช่างสองนั่นเอง
“เมื่อคืนหนูอยู่กับพี่สองทั้งคืน แกชวนหนูดื่มเหล้า เราเล่นพนันกันว่าใครเมาก่อน จะถูกปรับแพ้ ต้องเป็นคนถอดเสื้อผ้าก่อน คริคริคริ “ หญิงสาวพูดโดยไม่อายราวกับพูดจาถึงคนรักของเธอก็ปาน ดวงตาเธอหวานเยิ้มเหมือนตกอยู่ในห้วงความรัก มุมปากมีรอยยิ้มน้อยๆปรากฏ
“แล้วจากนั้นเล่า ?” ช่างป่าวรีบสอบถาม
“จากนั้นพี่เค้าก็……อิอิอิ”
“เขาก็อะไร?”
“พอเราดวลเหล้ากันหมดไปหลายขวด หนูว่าหนูคอแข็งแล้ว แต่ไม่น่าเชื่อพี่เค้ายังคอแข็งยิ่งกว่า แม้แกจะบอกว่าไม่เคยดื่มเหล้า แต่หนูไม่เชื่อหรอก พี่เค้ายังบอกอีกว่ายังไงก็ไม่ยอมเมาก่อนหนูแน่ๆ และไม่ยอมถอดเสื้อผ้าก่อนแน่นอน เขาว่าเสียเชิงชายหมด น่าเสียดาย ! ตอนที่หนูเริ่มเมานั่นเอง…พี่เค้าก็…”
“ว่าไปสิ แล้วไงต่อ” ช่างบ่าวเริ่มสงสัยใคร่อยากรู้จริงๆขึ้นมา จนลืมเหตุการณ์ร้ายไปหมดสิ้น
“พี่เค้าก็พลันล้มพับลงไปนอนกองกับพื้นหลับแน่นิ่งไป ส่วนหนูก็เมาจนหลับไปเหมือนกัน จนจำอะไรไม่ได้ พอตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่า พี่เขาหายตัวไปแล้ว !” สาวนักร้องกล่าวทำเสียงเสียดายอยู่กรายๆ
“เวรกรรม ! แล้วผมจะหานายช่างเจอได้ที่ไหนกันหล่ะคราวนี้ มีเรื่องเร่งด่วนด้วย !” ช่างบ่าวทำท่าเหมือนหมดอาลัยตายอยากในชีวิต
“ลองไปหาที่วัดซิ” หญิงสาวกล่าวเปรยๆ
“นายช่างจะไปวัดทำไม ?” ช่างบ่าวถามด้วยความสงสัย
“หนูเห็นพี่เค้าเป็นคนธรรมะธรรมโมน่ะ”
“รู้ได้ยังไง?”
“ก็พี่เค้ามาถึงร้านก็เอาแต่ร้องเพลงๆ สั่งอาหารแต่พวกผักผลไม้ หนูก็เอามาให้พี่เค้า หนูสงสัยก็เลยถามพี่เค้าว่าพี่ทำไมกินแต่ผัก พี่เค้าบอกว่า พี่ไม่กินเนื้อสัตว์ กินแต่เนื้อคน อิอิอิ”
“ถ้าหนูมีแฟนยังงี้คงรวยตายเลย ปล่อยให้พี่เขากินแต่ผัก เงินคงเหลือเยอะ หนูจะกินแต่เนื้อให้อิ่มแปล้เลย” หญิงสาวพูดคล้ายว่าต้องการแบบนั้นจริงๆ พร้อมกับหัวเราะคิกคัก
หญิงสาวมัวแต่พร่ำเพ้อ พอเธอหันกลับมาอีกทีก็ไม่พบช่างบ่าวเสียแล้ว แกหายตัวไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ! ปล่อยให้เธอนั่งวาดฝันสร้างวิมานไปเพียงคนเดียว ….
จริงดั่งที่สาวน้อยกล่าว นายช่างสองมาอาศัยกุฏิหลวงตาที่วัดข้างๆนี้เองเมื่อคืนนี้ ซึ่งในเมืองแห่งนี้มีเพียงวัดเดียวเท่านั้น ช่างบ่าวจึงตามหาไม่ยากเย็น วัดอยู่ตรงมุมถนนใกล้ๆ ร้านนี้เอง
“นมัสการครับหลวงตา” ช่างบ่าวกล่าวหลังจากกราบเจ้าอาวาส
“เจริญพรโยม มีธุระอะไรกับอาตมาหรือเปล่าถึงมาที่นี่” เจ้าอาวาสถามด้วยดวงตาที่เปี่ยมเมตตา
“ผมมาหาคนๆหนึ่งครับ ไม่ทราบหลวงตาพบคนแปลกหน้าผ่านมาทางนี้บ้างหรือเปล่า?” ช่างบ่าวยิงคำถามทันที
“พบคนหนึ่ง แต่ไม่แปลกหน้าหรอก โยมสองใช่ไหมหล่ะ?”
“ใช่ครับเขาเป็นหัวหน้าผมเองครับแต่อยู่คนละแผนก”
“เมื่อคืนเขามาสนทนาธรรมกับอาตมา เราพูดจาถูกคอกัน อาตมาก็เลยชวนค้างคืนเสียที่วัด เพราะมันดึกมากแล้ว”
“นายช่างไม่ใช่เมาหนักหรอกหรือครับ คาดว่าสภาพคงดูไม่ได้” ช่างบ่าวถามด้วยความสงสัย
“เปล่านี่ ! อาตมาไม่เห็นได้กลิ่นสุราเลยนี้ แล้วโยมเขาก็ปกติดีทุกอย่าง มีสติแจ่มใส ไม่คล้ายคนเมา”
ช่างบ่าวทำหน้าตามึนงงสงสัยเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แล้วถามต่อว่า
“ตอนนี้นายช่างอยู่ที่ไหนครับ”
“อาตมาพอตอนเช้าออกไปบิณฑบาตกลับมาก็หาไม่พบแล้ว สงสัยจะกลับไปแล้วแหละ!” หลวงตาตอบ
ช่างบ่าวทำท่าผิดหวัง กราบเจ้าอาวาสพร้อมลากลับไซด์งาน ลงเรือมุ่งหน้าสู่ท้องทะเลทันที เวลาก็สายมากแล้ว อาทิตย์ทอแสงสาดส่องมาเข้มข้น และรุนแรงราวกับไม่เคยปราณีต่อสรรพชีวิตทั้งหลายบนโลก ราวกับยึดถือแผ่นดินต่างเขียง เห็นชีวิตเป็นผักปลาก็ปาน!
ฝ่าเกลียวคลื่นหมื่นแสนแสนรันทด
โศกสลดรักจางเหินห่างหนี
ครางแคลงใจน้ำใจในนารี
ไยจึงมีเพียงน้อยร่อยหรอลง…..
ช่างบ่าวตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อมาพบนายช่างสองกำลังนั่งจิบกาแฟทำท่าสบายอารมณ์ คล้ายกำลังสุนทรีย์กับภาพความงามของท้องทะเลเบื้องหน้านี้ แม้วัยจะล่วงเลยเลขสองไปแล้ว แต่ยังคงดูแจ่มใส กระตือรือร้น และผ่อนคลาย ราวเด็กหนุ่มอายุ ย่างเข้า 20 ก็ปาน แม้จะนั่งอยู่เพียงคนเดียว และดูเหมือนว่าจะว้าเหว่ แต่บุคลิกของเขายังคงสูงส่ง ยากสยบ เสมือนว่าเขาไม่ได้นั่งอยู่บนโลกนี้ หากเปลี่ยนเป็นบุคคลอื่นอยู่ในสภาพเช่นนี้นั่งอยู่ตรงนี้ คงไม่มีบุคคลที่สองที่จะสามารถปลอดโปร่งและผ่อนคลายมากกว่าเขาอีก หรือความผ่อนคลายจำต้องคร่ำเคร่งฝึกฝนจึงได้มา…..
“นายช่างครับเกิดเหตุการณ์ใหญ่แล้ว ! ………..” ช่างบ่าวรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนที่รายงานให้กับผู้บริหารท่านอื่นฟังไม่ผิดเพี้ยนแม้สักคำ
“ผมทราบแล้ว และอยากจะถามพี่สนุกๆให้พี่ลองตอบมาฟังดู” นายช่างสองกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ทำไมโลกจึงร้อนขึ้น?”
“เพราะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มาจากการเผาเชื้อเพลิง การหุงต้ม การเผาขยะ จากเตาปฏิกรณ์ของโรงงาน จากรถยนต์ที่วิ่งเต็มถนน จากสารทำความเย็นจากแอร์คอนดิชั่นของคนรวยๆ สำนักงานต่างๆ ลอยขึ้นไปทำลายชั้นบรรยากาศและสร้างภาวะเรือนกระจก “
“พี่ลืมสิ่งสำคัญ และสาเหตุสำคัญไปข้อหนึ่ง”
“อะไรครับนายช่าง?”
“คาร์บอนไดออกไซด์ จากฟาร์มปศุสัตว์ทั่วโลก ! ที่เหล่าสัตว์ เช่น โคกระบือ ปล่อยออกมา”
“ผมพึ่งจะทราบนะเนี้ย ว่าการทำฟาร์มเพื่อผลิตอาหารให้ชาวโลกกลับย้อนมาสร้างภัยพิบัติให้กับโลกได้”
“สิ่งที่พี่รู้อาจมีมากมาย แต่ที่ไม่รู้น่ากลัวยังมีอีกมากเช่นกัน”
“แต่นายช่างครับฟองอากาศที่ผุดมาจากใต้ท้องทะเลมากมายนี้ คืออะไรครับ? รับประกันได้เลยในชีวิตผมไม่เคยพบเห็นมาก่อนแน่ๆ”
“ผมถามพี่ เมื่อเกิดภาวะเรือนกระจก หรือ Green House Effect จากนั้นเป็นอย่างไร?” นายช่างเปลี่ยนประเด็นและตั้งคำถาม
“โลกก็จะกลายเป็นเหมือนเตาอบดีๆนี่เองซิครับ การที่ชั้นบรรยากาศหรือโอโซนถูกทำลายก็ส่งผลให้แสงแดดที่ส่องมาโลกรุนแรงขึ้นด้วย” ช่างบ่าวสาธยายเหมือนผู้รู้
“พี่ยังลืมไปข้อหนึ่ง !”
“อะไรครับ?”
“น้ำแข็งขั้วโลกละลายอย่างรวดเร็วทำให้โลกขาดกระจกสะท้อนแสงอาทิตย์ ผลก็คือยิ่งทำให้โลกยิ่งร้อนขึ้นไปอีก”
“ผมสงสัยว่า เมื่อโลกร้อน น้ำแข็งขั้วโลกละลาย แล้วทำไม น้ำทะเลไม่เย็นขึ้นเล่าครับ?” ช่างบ่าวถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
“น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ !”
“ผมเข้าใจแล้ว แต่ภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น ที่พวกนักวิทยาศาสตร์คาดการณ์คือเมื่อทะเลเย็น จะทำให้ลมมรสุม พายุต่างๆ รุนแรงขึ้น และปริมาณน้ำจากทะเลที่สูงขึ้นจะเกิดภาวะน้ำท่วมโลกมิใช่หรือ?”
“ผมไม่ทราบอะไรทั้งนั้น พี่คงดูหนังมากเกินไปแล้ว รู้แต่เพียงว่าถ้าอุณหภูมิระหว่างพื้นดินกับทะเลแตกต่างกันมาก มวลอากาศร้อนย่อมเข้าไปแทนที่อากาศเย็น และความกดอากาศเปลี่ยนแปลงทำให้ลมพายุมรสุมต่างๆรุนแรงขึ้น”
“ใช่ครับผมดูจากในหนัง เห็นว่าโลกกลายเป็นน้ำแข็ง”
“น้ำท่วมโลกและพายุรุนแรงยังไม่น่ากลัวเท่าไร”
“ยังมีสิ่งที่น่ากลัวกว่านี้อีกหรือครับ แค่นี้ผมว่ายังหาทางแก้ไม่ได้เลย”
“ยังมีวิธีที่ตายเร็วกว่านั้น แบบเฉียบพลัน แบบไม่ทันตั้งตัว และหนีไม่ทัน”
“คืออะไรครับ?” ช่างบ่าวถามด้วยอาการอกสั่นสะท้าน รู้สึกว่าอากาศรอบตัวกำลังเย็นลงทุกขณะ คล้ายได้ยินเสียงร่ำไห้โหยหวนดังมาจากห้วงนรกอเวจี…..
“ผมถามพี่ น้ำแข็งเมื่อละลายไปหมดแล้วเกิดอะไรขึ้น”
“ใช่ครับ น้ำแข็งมีวันละลายหมด แต่ดวงอาทิตย์ยังไม่เคยดับ น้ำทะเลอย่างไรก็ต้องร้อนอยู่ดี”
“คำถามอีกข้อ ปริมาณน้ำที่มากมายกว่าน้ำแข็งขั้วโลกหลายเท่าตัวใครจะเป็นฝ่ายชนะ”
“ปลาใหญ่ย่อมกลืนปลาเล็ก มหาสมุทรกลับร้อนอยู่ดี”
“ที่สำคัญมีอัตราที่สูงขึ้นอย่างน่าตกใจ !”
“ผมถามอีกข้อ เหล็กเมื่อร้อนกับเย็นต่างกันอย่างไร?”
ช่างบ่าวยังไม่หายหวาดหวั่น แต่ก็สงสัยในคำถามของนายช่างพลางตอบไปว่า
“เหล็กเวลาร้อนจะขยายตัว แต่เวลาเย็นจะหดตัวครับ”
“ผมถามอีกข้อ ก๊าซ ของแข็ง ของเหลวได้รับความร้อน อันไหนขยายตัวได้เร็วกว่ากัน?”
“ผมว่าน่าจะเป็นก๊าซ และเร็วกว่าหลายเท่าด้วยเท่าที่เห็น เพราะโมเลกุลมันเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่สูงมากเวลาได้รับความร้อน”
“ผมถามพี่ ก๊าซอะไร ไม่มีกลิ่น ไม่มีสี มีพิษ และจุดติดไฟได้อย่างรวดเร็ว”
“ก๊าซหุงต้ม ที่ใช้กันตามบ้านไงครับ เวลารั่วทีน่ากลัวจะตาย !”
“บอกไม่มีกลิ่นแล้วเวลาแฟนพี่ทำแก๊สรั่ว ทำไมถึงรู้หล่ะครับ”
“ก็เพราะทางร้านเขาผสมกลิ่นเข้าไป เพื่อความปลอดภัยน่ะซิครับ รั่วจะได้รู้ก่อน อันตรายมาก”
“พี่จำข่าวหน้าหนึ่งได้เปล่าครับ ตอนที่ก๊าซนี้รั่ว เกิดอะไรขึ้น”
“จำได้ซิครับ รถก๊าซเกิดไปชนอะไรเข้า เกิดรั่ว แล้วเผอิญมีประกายไฟเกิดขึ้น อาจมาจากเครื่องยนต์ของรถ หรือจากใครจุดไฟก็ไม่ทราบ เกิดไฟวิ่งตามอากาศ คนถูกย่างสดตายไปหลายคน คิดแล้วสยองจริงๆ” ช่างบ่าวทำตาลุกวาวหลังจากเค้นข้อมูลในสมองของแก ซึ่งแกยังไม่หายเสียงสั่น แต่พอเห็นนายช่างมีท่าทีสบายๆแกก็เลยหายวิตกจริตลงบ้าง แล้วถามว่า
“แล้วเรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับฟองอากาศที่กำลังผุดขึ้นมานี้เล่าครับนายช่าง?”
“ผมมีคำถามอีกข้อก่อนจะตอบคำถามของพี่ ก๊าซหุงต้มเกิดขึ้นได้อย่างไร?”
“แม้ผมจะเคยเรียนตอน ม.6 แต่ก็จำไม่ค่อยได้ พอรู้ว่ามันเป็นผลิตผลจากก๊าซธรรมชาติ ซึ่งแยกเอาองค์ประกอบทางเคมีของมีเทนหรือ CH4 ออกแค่นั้น ”
“พี่คงไม่ทราบว่า ก๊าซมีเทนเป็นก๊าซพิษที่รุนแรงมากเช่นเดียวกับก๊าซหุงต้มมาจากขบวนการผลิตก๊าซธรรมชาติเหมือนกัน ส่วนใหญ่ใช้เป็นเชื้อเพลิง ไร้สีไร้กลิ่น แต่พอรวมกับอากาศจะเกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ สาเหตุสำคัญของภาวะโลกร้อนและฝนกรด”
“แต่ภาวะโลกร้อน อากาศร้อนและฝนกรดยังไม่น่ากลัวเท่าไร” นายช่างกล่าวย้ำ
“ยังมีสิ่งที่น่ากลัวกว่านี้อีกเหรอครับ?” ช่างบ่าวเริ่มวิตกกังวลอีกครั้ง เหมือนไม่อยากได้ยินคำตอบที่ตนถามออกไปสักเท่าใด….
“พี่รู้หรือเปล่าว่าใต้ท้องมหาสมุทรมีซากพืชซากสัตว์ล้มตายสะสมมายาวนานตั้งแต่ยุคไดโนเสา”
“ย่อมทราบซิครับ เพราะนี่คืออาชีพของเรา ทำให้เรามีน้ำมันดิบเอาไปขายไง”
“น้ำมันดิบก็มาจากซากพืชซากสัตว์เหล่านี้นอกจากนั้นยังมีก๊าซธรรมชาติอีกด้วยในใต้ท้องทะเล”
“พี่คงเห็นแล้วว่าใต้ท้องทะเลล้วนมีสารและก๊าซที่เป็นเชื้อเพลิงจำนวนมาก”
“ใช่ครับ”
“และมันก็เป็นอาวุธที่สามารถทำลายล้างโลกได้ภายในพริบตา!”
พอนายช่างสองกล่าวถึงตรงนี้ ทุกอย่างก็เงียบกริบ เสมือนว่าสรรพสิ่งไม่มีการดำรงอยู่ ไร้ชีวิต ไร้ลมหายใจ โลกร้างไร้ผู้คน…….ไม่ทราบเวลาผ่านไปนานเท่าไร ช่างบ่าวเกิดอาการสั่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด แกคล้ายรับรู้ชะตากรรมของมวลมนุษยชาติแล้ว และพูดด้วยเสียงสั่นสะท้านตะกุกตะกักว่า
“นายช่างกำลังหมายความว่าฟองที่กำลังผุดตรงหน้าเรานี้คือ………”
“อย่างที่พี่เข้าใจไม่ผิดเพี้ยน จากอุณหภูมิของน้ำทะเลที่สูงขึ้นวันนี้ อาวุธทำลายล้างโลกพลันอุบัติขึ้นแล้ว มันคือก๊าซพิษ ไร้สี ไร้กลิ่น ปริมาณมหาศาลจากทั่วทุกมุมโลก จากมหาสมุทรที่ล้อมรอบแผ่นดินไว้ราวลูกไก่ที่อยู่ในกำมือ มันจะแพร่ไปในอากาศอย่างรวดเร็วเมื่ออุณหภูมิถึงจุดๆหนึ่ง พร้อมกับคร่าชีวิตผู้คนและสัตว์ภายในพริบตาเมื่อสูดดมเข้าไป ไม่ทันวิ่งหนี ไม่ทันตั้งตัว ไม่มีเวลาแม้จะกล่าวคำอำลา………………………..”
“ความร้อนทำให้มันขยายตัวอย่างรวดเร็ว จนคาดไม่ถึง”
“นายช่างกำลังจะบอกผมว่าเรากำลังจะถูกฆ่าใช่ไหมครับเวลานี้เดี๋ยวนี้” ช่างบ่าวถึงกับทรุดเขาลงกับพื้น อย่างหมดอาลัยตายอยาก คงยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง และภาวนาให้เรื่องราวที่ได้ยินมาทั้งหมดเป็นเพียงแค่ความฝัน แม้ในใจเขาจะทราบว่านี่เป็นความจริงก็ตาม….
“พี่ยังไม่ถึงกับตายเร็วเกินไป พี่ดูซิมันพึ่งจะเริ่มผุดขึ้นมาในปริมาณน้อยๆเท่านั้นยังมีเวลาวันสองวันให้พี่ได้หนีทัน” นายช่างสองยังคงพูดจาเหมือนล้อเล่น ใบหน้ายังคงยิ้มแย้ม คล้ายว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นเรื่องโกหกก็ปาน !
เขายังคงนั่งจิบกาแฟสบายอารมณ์เหมือนเคย ราวกับว่าไม่เคยพูดอะไร จนเวลาผ่านไปเนิ่นนาน เมื่อช่างบ่าวตั้งสติได้แล้ว นายช่างจึงพูดเสริมว่า
“อาวุธที่มองเห็นอย่างไรก็ยังไม่น่ากลัว ที่น่ากลัวแท้จริงคืออาวุธลับที่มองไม่เห็น ไม่รู้มันจะมาเวลาใด เมื่อไร จนมันมาถึงตัวแล้วคิดแก้ไข คงไม่ทันการแล้ว อิอิอิอิ”
“ ฟองผุดนี้ก็คือ ก๊าซมีเทนนั่นเอง ไร้สี ไร้กลิ่น ฆ่าชีวิตในพริบตา ถ้าปริมาณมีมากพอ” นายช่างสองกล่าวสรุปย้ำอีกครั้ง ก่อนจะพริ้มตาหลับลงอย่างสงบ……………
แม้ว่าผลการณ์วิจัยจากนักวิทยาศาสตร์และองค์การนาซาจะได้เปิดเผยข้อมูลมาก่อนหน้านี้แล้วว่า ภายใต้ท้องทะเลสามารถจะเกิดก๊าซมีเทนซึ่งเป็นก๊าซมรณะคร่าสรรพชีวิตได้ภายในพริบตา ถ้าหากท้องทะเลมีอุณหภูมิสูงขึ้นถึงจุดหนึ่ง ด้วยปริมาณที่มากมายมหาศาลเกินกว่าใครจะคาดคิด แม้แต่นักวิทยาศาสตร์เองก็ยังคงไม่สามารถยืนยันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่ามันจะมีความเป็นไปได้ขนาดไหน และจะเกิดขึ้นเมื่อใด คำเตือนต่างๆได้แจ้งไปทั่วโลกแต่ผู้นำประเทศทั้งหลายกับให้ความสนใจแต่เรื่องเศรษฐกิจจนกลายเป็นหนวกใบ้ และปล่อยให้การใช้เชื้อเพลิงอันเป็นผลต่อภาวะโลกร้อนยังคงดำเนินต่อไป จนวันนี้สิ่งแวดล้อมได้สูญเสียสมดุลและเกิดภัยทางธรรมชาติที่ไม่เคยเกิดได้เกิดขึ้นมากมายคร่าชีวิตผู้คนนับล้าน และบัดนี้หนทางเพื่อแก้ไขต่างๆสมควรงดเว้นได้แล้วเนื่องเพราะ สายเกินไป สำหรับการยับยั้งมหันตภัยจากก๊าซมรณะนี้…………………………………..
ไม่นานหลังจากนั้น เหตุการณ์ต่างๆเริ่มเลวร้ายลงจนถึงขั้นวิกฤติ การเตือนภัยดังไปทั่วโลก ท้องทะเลอันเงียบสงบได้เกิดก๊าซมีเทนขึ้นจำนวนมากมายมหาศาลทั่วทุกมุมโลก โลกตกอยู่ในภาวะอันตรายทันที มาตรการต่างๆถูกนำมาใช้แต่ไร้ผล ไม่สามารถยับยั้งก๊าซพิษลงได้ มันได้ฆ่าชีวิตมนุษย์และสัตว์ล้มตายมากมายสุดคณานับ จนไม่สามารถคาดการณ์จำนวนที่แน่ชัดได้ ผู้คนล้มตายไปค่อนทวีป มีเหลือเพียงส่วนน้อยเท่านั้น มีพื้นที่บางส่วนที่รอดพ้นจากมหันตภัยครั้งนี้ มีเหลือคนเพียงบางกลุ่มเท่านั้นที่รอดชีวิตและแน่นอนหนึ่งในนั้นย่อมมีช่างบ่าวและนายช่างสองรวมอยู่ด้วย เพราะทั้งคู่ถูกไล่ออกจากงานทันทีที่แจ้งกับผู้บริหารถึงภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดขึ้น ไม่มีใครรับฟังเขา ผลก็คือเขาเป็นเพียงสองคนที่รอดตายจากไซด์งานกลางทะเล ส่วนคุณสุรชัยและคนงานนับพันต้องถูกสังเวยชีวิตลงด้วยก๊าซมรณะอย่างน่าเวทนา ทันทีที่ถูกไล่ออกช่างบ่าวได้รีบพาครอบครัวไปอาศัยอยู่จังหวัดเชียงราย ส่วนนายช่างสองมีคนรักอยู่คนหนึ่งที่เชียงใหม่ เขาคิดถึงเธอมากจึงบินขึ้นไปหาเธอทันทีและครองคู่อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขตลอดไป……………….
HAPPY ENDING