องค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงขอร้องอะไรไม่สำเร็จสักอย่างเพราะ…
ลุงแทน
ขอย้ำเตือนเพื่อความเป็นมงคลยิ่งกันอีกครา อยากให้พวกเราเหล่าพสกนิกรทั้งหลาย ได้ยกขึ้นมาพิจารณาไตร่ตรอง พระราชดำรัสขององค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ กันบ่อยๆ เถิด ผู้เขียนเห็นว่าเป็นพระราชดำรัสที่แฝงไว้ด้วยนัยอันสำคัญยิ่ง อันจะเป็นพลังดลใจแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆ คน ได้ฉุกคิด ได้ร่วมมือกันแก้ไขแนวทางมิจฉาทิฐิซ้ำรอยเดิมที่ครอบงำประเทศไทยมาอย่างยาวนาน ได้กลับมาร่วมมือกันคิดสร้างสรรค์ประเทศชาติให้ถูกต้องโดยธรรม อันจะนำมาซึ่งความมั่นคง เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าผาสุกของประเทศชาติ ความย่อตอนหนึ่งว่า “...ซึ่งข้าพเจ้าก็อยากจะบอกว่าขอร้องให้ทุกท่านช่วยประเทศไทยให้ช่วยราษฎรไทยต่อไปลูกหลานท่านเองในอนาคต ...ได้ขอร้องท่านนายกฯ ท่านไปแล้ว... และอีกอย่างที่ข้าพเจ้าอยากจะขอร้องพวกท่าน เพราะข้าพเจ้าเป็นพระราชินี ตั้งแต่อายุ 17 กว่าๆ ก่อน 18 ไม่กี่เดือน จนถึง 75 ยังขอร้องอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง ไม่มีผลอะไรเลย เรื่องต้นไม้ก็ไม่มีผลสำเร็จ ทางการก็ไม่มีกฎหมายอะไร หรือมาตรการที่จะดูแลรักษาป่า เพื่อเก็บน้ำจืดไว้ แล้วก็ ภรรยาท่านประธานาธิบดีแห่งลาว เมื่อตอนมาเยือนประเทศไทย ก็พูดกับข้าพเจ้าบอกว่า เอ๊ะคนไทยทำไมชอบตัดป่านัก ตัดป่าของตนเองเหี้ยนเตียนหมด อีกหน่อยเถอะ ระวังจะไม่มีน้ำกิน ยังก้าวร้าวเข้าไปตัดป่าในเมืองลาวอีก ลาวไม่ยอมเด็ดขาดไล่เปิดไปหมด...
...พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านสอนข้าพเจ้าอย่างนี้ นี่เป็นอย่างนี้ พูดเท่าไหร่ไม่ฟัง ก็ต้องตายซะก่อน เห็นซะก่อนถึงจะเชื่อฟัง ... . เพราะฉะนั้นก็หวังจะได้รับความร่วมมือจากทุกท่านว่า ตั้งต้นเสียทีเถิด ได้ขอให้ทุกท่านถ้าไม่อยากให้ลูกหลานอดอยากก็ขอให้ช่วยกันสู้รักษาสมบัติของบรรพบุรุษไทยให้คงอยู่เพื่อเลี้ยงคนไทยต่อไป... ...ข้าพเจ้าก็ไม่เข้าใจว่าคนไทยเรา อ้อ ภรรยาประธานาธิบดีประเทศลาว พูดว่า คนไทยเนี่ย ด็อกเตอร์เดินออกเกลื่อนกลาด แต่ทำไมไม่รู้จักว่าป่าเป็นสิ่งสำคัญ เก็บน้ำในดินให้กับประเทศ เป็นด็อกเตอร์เดินไปเดินมา ว่าอย่างนี้กับข้าพเจ้า ระหว่างนั่งรถจากดอนเมืองมากว่าจะถึงกรุงเทพมหานคร เสียงนี้ปลงคนไทย ปลงอนิจจังว่าเป็นด็อกเตอร์ซะเปล่าๆ ทำอะไรอย่างนี้ได้อย่างไร...” (พระราชดำรัส สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคล ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา วันเสาร์ที่ 11 สิงหาคม 2550)
สรรสิ่งล้วนเกี่ยวพันสัมพันธ์กันทั้งหมด ตามกฎอิทัปปัจจยตา “เมื่อสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี (ถ้ามีเหตุดี ผลก็จะดีตาม) เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้ก็เกิดขึ้น (เมื่อมีเหตุดีเกิดขึ้น ผลดีก็เกิดขึ้นตามเป็นลูกโซ่แผ่กระจายขยายกว้างออกไปทุกทิศทุกทางจากใกล้สุด ไปสู่ไกลสุด และจากสูงสุดลงสู่ต่ำสุด) อันนี้เป็นกฎธรรมชาติ สภาวะอสังขตธรรมหรือนิพพานอันเป็นเหตุที่ดีที่สุดสมบูรณ์สูงสุด ได้แผ่กระจายขยายกว้างออกไปทุกทิศทุกทางเป็นปัจจัยให้เกิดสิ่งมีชีวิตที่เล็กที่สุด จนถึงมนุษย์ อันเกิดการวิวัฒนาการเกิดขึ้นใน 2 ลักษณะคือ (1) แบบค่อยเป็นค่อยไป และเมื่อถึงจุดอิ่มตัวก็จะเปลี่ยนเป็น (2) แบบก้าวกระโดด การวิวัฒนาการของธรรมชาติจะเป็นไปในลักษณะทั้งสองนี้ไปเรื่อย ๆ ดูได้ง่ายๆจากคำสอนของพระพุทธเจ้า เช่น ปุถุชนผู้ยังหนาด้วยกิเลส เมื่อเข้ามาบวชเรียนและปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าสอนอย่างถึงที่สุดแล้ว ก็จะเกิดการวิวัฒนาการแบบค่อยเป็นค่อยไป และก้าวกระโดดไปสู่การบรรลุพระโสดาบัน และค่อยเป็นค่อยไปบรรลุพระสกิทาคามี และก้าวกระโดดเป็นพระอนาคามี จากนั้นก็พัฒนาแบบค่อยเป็นค่อยไปจนก้าวกระโดดเข้าสู่สภาวะพระอรหันต์ อันเป็นสภาวะสูงสุด ที่ไม่ต้องวิวัฒนาการอีกต่อไปแล้ว
อีกนัยหนึ่งสภาวะอสังขตธรรมแผ่กระจาย ส่วนสภาวะอสังขตธรรมวิวัฒนาการเข้ารวมศูนย์หรือมุ่งสู่สภาวะอสังขตธรรม จึงเป็นปัจจัยให้กฎธรรมชาติดำรงอยู่ได้ อันเป็นธรรม หรือธรรมาธิปไตย คือความเป็นใหญ่แห่งธรรม หมายถึง (1) สภาพที่ทรงไว้มันเป็นของมันเช่นนั้นเอง (2) สภาวะที่ไม่ตาย (3) สภาวะสันติถาวร (4) แก่นธรรม (5) ต้นเหตุ (6) สัจธรรม (7) ความจริงแท้ (8) ความยุติธรรม (9) หลักการ (10) คุณธรรม (11) ความถูกต้อง (12) ความประพฤติชอบ (13) สัมมาทิฐิ (14) พระธรรม (15) คำสั่งสอนของพระศาสดาที่ปรากฏขึ้น ฯลฯ
ธรรมาธิปไตย หมายถึง (1) จงอาศัยธรรมเท่านั้น (2) สักการธรรม (3) ทำความเคารพธรรม (4) นับถือธรรม (5) บูชาธรรม (6) ยำเกรงธรรม (7) มีธรรมเป็นธงชัย (8) มีธรรมเป็นยอด (9)มีธรรมเป็นใหญ่... (ธรรม หรือบรมธรรม, ธรรมาธิปไตย เป็นศูนย์กลางของสรรพสิ่ง)
ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราสร้างเหตุไม่ดีเกิดขึ้น (ตรงข้ามกระแสธรรมฝ่ายก้าวหน้า หมายความเป็นมิจฉาทิฐิ) ผลก็จะเสียตามเป็นลูกโซ่แผ่กระจายขยายกว้างออกไปทุกทิศทุกทางจากสูงสุดลงสู่ต่ำสุดดุจเดียวกัน จากระบอบการเมืองมิจฉาทิฐิเป็นปฐมเหตุเสียแล้ว ย่อมเป็นปัจจัยให้สถาบัน องค์การ และองค์กรต่างๆ ภายใต้ระบอบฯ มิจฉาทิฐิไปด้วยอย่างเป็นไปเอง ถึงแม้ว่า บางสถาบัน องค์การ ฯลฯ ต่างๆ จะมีความถูกต้องโดยธรรมก็ตาม แต่ก็ไม่อาจจะต้านทานระบอบการเมืองที่ใหญ่กว่าได้ ดุจเดียวกับปลา ไม่อาจจะต้านทานน้ำเน่าได้ ฉันใด สถาบัน องค์การ องค์กรต่างๆ ก็ไม่อาจจะต้านทานอำนาจของระบอบมิจฉาทิฐินั้นได้ แต่เมื่อทนไม่ไหว ก็เกิดรัฐประหารขึ้น แต่เมื่อทำรัฐประหารแล้ว คณะรัฐประหารก็กลับทำผิดซ้ำรอยเดิมทุกทีไป คณะผู้ปกครองไทยได้สร้างระบอบมิจฉาทิฐิมาอย่างยาวนานกว่า 75 ปี จึงเป็นปัจจัยให้ประเทศของเราล้าหลังเสื่อมทรุดอย่างน่ากังวลที่สุด ก็เพราะผู้ปกครองไทยนับแต่ 2475 และต่อๆ มา เป็นคณะผู้ปกครองล้วนแล้วแต่มิจฉาทิฐิ และล่าสุดจนถึงคณะผู้ปกครองชุดปัจจุบันสร้างรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 50 ที่ว่าเป็นมิจฉาทิฐิ คือพวกเขายึดมั่นในลัทธิรัฐธรรมนูญ แต่หลงเข้าใจว่าเป็นลัทธิประชาธิปไตย พวกเขาจึงมีแนวคิดสร้างรัฐธรรมนูญ อันเป็นเพียงวิธีการปกครอง (Methods of Government) เพียงด้านเดียว อันได้แก่ หมวดและมาตราต่างๆ เช่น รัฐราชอาณาจักร พระมหากษัตริย์ ประชาชน (สิทธิ, หน้าที่) รัฐสภา (นิติบัญญัติ) บริหาร ตุลาการ (ศาล) และองค์กรต่างๆ
เรามาดูการจัดความสัมพันธ์ที่ถูกต้องเป็นธรรมอันยิ่ง อันเป็นหนึ่งเดียวกับกฎธรรมชาติ หรือแบบอย่างเดียวกัน ระหว่างกฎธรรมชาติ – ขันธ์ 5 – ระบอบการเมืองโดยธรรม อันเป็นที่มาของการคิดแก้ปัญหาเหตุวิกฤตชาติในแนวทางธรรมาธิปไตยอันเป็นแนวทางมรรควิธีแห่งชัยชนะของชาติ ของประเทศไทยให้ยิ่งใหญ่ตลอดกาล
โดย ป.เพชรอริยะ 3 ธันวาคม 2550 15:54 น.