วิวัฒนาการของมนุษย์

สายรุ้ง

หลังจากที่โลกพ้นจากการทำลายล้างและตั้งขึ้นใหม่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งแต่เดิมได้ไปบังเกิดเป็นพรหมในชั้นอาภัสสราภูมิ (รูปพรหมชั้นที่ ๖) เสียเป็นส่วนมาก ครั้นแผ่นดินปรากฏเกิดขึ้นแล้ว รูปพรหมบางตนในชั้นอาภัสสราภูมิที่สิ้นบุญ สิ้นอายุ ก็จุติลงมาเกิด โดยการเกิดในสมัยต้นกัปนั้น เป็นการเกิดแบบผุดโตเต็มตัวทันใด (โอปปาติกะ) ไม่ต้องอาศัยบิดามารดา มนุษย์พวกนี้มีเพศเหมือนพรหม ไม่ปรากฏเพศว่าเป็นหญิงหรือชาย ดำรงตนอยู่ได้โดยมีปีติเป็นภักษา ร่างกายมีรัศมีเปล่งปลั่งงดงาม เหาะเหินเดินอากาศเที่ยวไปมาในเวหา คงมีปีติอยู่ดังนี้เช่นเดียวกันกับเมื่อครั้งสมัยอยู่ในพรหมโลก เป็นเช่นนี้สืบต่อกันมาช้านาน อยู่มาวันหนึ่ง นับเป็นคนแรกในมนุษย์ยุคนี้ แลเห็นแผ่นดินมีสีสรรสวยงาม มีกลิ่นหอม เกิดกิเลส คือ โลภะขึ้นแล้ว นึกอยากลองลิ้มรสดูว่าเป็นเช่นไร จึงหยิบดินขึ้นมานิดหนึ่งวางลงที่ปลายลิ้น พลันบังเกิดโอชารสซาบซ่านแผ่ไปทั่วสรรพางค์กาย รู้สึกชอบใจยิ่งนัก เกิดตัณหาในรสเข้าครอบงำ จึงบริโภคง้วนดิน (มีลักษณะเป็นวุ้นนุ่มคล้ายนมสดที่ถูกเคี่ยวให้งวด เมื่อทิ้งให้เย็นจะจับเป็นฝาอยู่ข้างบน มีสีคล้ายเนยใส หรือเนยข้นอย่างดี มีรสชาติดุจรวงผึ้งเล็กที่สะอาด) นั้นเรื่อยไป คนอื่นเห็นก็พากันเอาอย่าง และพากันติดใจเกิดตัณหาพากันบริโภครสแผ่นดินกันทุกคน เมื่อบริโภคง้วนดินอันเป็นอาหารหยาบดังนี้แล้ว รัศมีกายก็อันตรธานหายไปสิ้น ความมืดมนอนธการก็พลันบังเกิดไปทั่ว มนุษย์ในยุคนั้นย่อมมีความสะดุ้งหวาดกลัวเป็นกำลัง
***เมื่อมนุษย์สิ้นรัศมีกายแล้ว ขณะนั้นเองจึงบังเกิดดวงอาทิตย์เป็นปริมณฑล ๕o โยชน์ ปรากฏขึ้นในอากาศเวหา มีรัศมีส่องสว่างแทนให้ เป็นวิมานของสุริยเทพบุตร
(คำว่า "สุริยะ" แปลว่า แกล้วกล้า เป็นชื่อที่หมู่มนุษย์ในยุคนั้น ขนานนามให้กับเทพเจ้าที่สิงสถิตอยู่ในดวงอาทิตย์ ด้วยเหตุว่า เมื่อดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้นแล้ว ทำให้หมู่มนุษย์ที่กำลังหวาดกลัวเพราะอยู่ในความมืด เนื่องจากรัศมีกายหายไป เกิดความแก้วกล้าขึ้น เมื่อได้เห็นแสงสว่างจากดวงอาทิตย์) ครั้งเมื่อสุริยวิมานส่องสว่างให้แล้วอัสดงคตไป โลกกลับมืดดังเก่า มนุษย์ทั้งปวงกลับพากันสะพรึงกลัวอีก เมื่อนั้นจันทรวิมานอันมีปริมณฑล ๔๙ โยชน์ก็บังเกิดขึ้นแทนให้ หมู่มนุษย์ทั้งหลายพากันชื่นชมโสมนัสจึงได้ขนานนามว่า "จันทรเทวบุตร"
***เมื่อพระอาทิตย์และพระจันทร์บังปรากฏเกิดขึ้นในโลกธาตุแล้ว หมู่นักขัตดาราก็บังเกิดขึ้นตามมา แต่บัดนั้นเป็นต้นมาก็เกิดกลางวัน กลางคืน เดือน ปี และเวลาต่อๆ กันมา เขาสิเนรุหรือเขาพระสุเมรุพร้อมทั้งเขาอันเป็นสัตบริภัณฑ์ทั้ง ๗ อันได้แก่ ยุคนธร อิสินธร กรวิก สุทัสสนะ เนมินธร วินตกะ และอัสสกัณณะ ตลอดจนเขาจักรวาล เขาหิมพานต์ และท้องมหาสมุทร ต่างก็เกิดร่วมกันในวันเพ็ญเดือน ๔ และเกิดขึ้นในเวลาเดียวกันกับการปรากฏขึ้นของพระอาทิตย์และพระจันทร์ทั้งสิ้น
***ถึงเวลานี้ เป็นเวลาที่มนุษย์มีตัณหาในรสครอบงำจิตใจ ชวนกันบริโภครสแผ่นดินอยู่ เมื่อบริโภคอาหารหยาบอยู่ดังนี้ ร่างกายก็ไม่ละเอียดสวยงามดังเดิม ปรากฏให้เห็นแตกต่างกันออกไป บางพวกมีสีสรรวรรณะดีกว่าอีกพวก จึงเกิดการดูหมิ่นดูแคลน เกิดกิเลสขึ้นอีก ๒ ชนิด คือ "สักกายทิฏฐิและมานะ" เมื่อบาปธรรมทั้งสองมีกำลังแรงกล้าขึ้นในหมู่มนุษย์ รสแผ่นดินอันโอชานั้นก็พลันสูญหายไป
เมื่อแผ่นดินที่โอชารสได้สูญหายไปแล้ว แผ่นดินก็กลับกลายเป็นสะเก็ดคล้ายเห็ด เรียกว่า กระบิดิน แต่กระบิดินก็ยังคงมีกลิ่นหอม มีรสเป็นอาหารมนุษย์ได้อยู่ มีสี กลิ่น รส คล้ายเนยใส หรือ เนยข้นอย่างดี รสอร่อยเหมือนรวงผึ้งเล็กที่หาโทษไม่ได้ แม้จะไม่รสเลิศดังเดิมเหมือนกับครั้งที่เคยเป็นง้วนดินก็ตาม เมื่อบริโภคกระบิดินเป็นเวลาช้านาน ร่างกายก็แข็งกล้าขึ้นทุกที ความแตกต่างทางผิวพรรณวรรณะก็เกิดมากขึ้น เกิดการดูหมิ่น เหยียดหยาม ทะนงตน อันเนื่องมาจากความผิดแผกแตกต่างดังกล่าว ประกอบกับความแน่นหนาแห่งบาปอกุศลในกมลสันดานของมนุษย์ยุคนั้นที่เพิ่มพูนทับทวี ทำให้กระบิดินค่อยๆ หายไป พลันบังเกิด เครือดิน ขึ้นมาแทน เครือดินนั้น มีลักษณะคล้ายกับผลมะพร้าว มีสี กลิ่น รส คล้ายเนยใสหรือเนยข้นอย่างดี เมื่อเครือดินหายไปก็เกิดเป็น ข้าวสาลี งอกขึ้น ข้าวสาลีในยุคนั้น ไม่มีเปลือก ไม่มีรำ มีกลิ่นหอม เกิดเป็นรวงข้าวสาลีขึ้นจากต้นทันที ไม่ต้องรอเวลา มนุษย์ทั้งหลายไปรูดเก็บเอามาหุงกินได้ทันที สุดแต่ความต้องการจะบริโภคในเวลาใด ก็ไปรูดเก็บเอามาจากต้น นำใส่ไว้ในภาชนะ ตั้งไว้บนแผ่นศิลา ข้าวก็จะเดือดสุกไปเอง การรับประทานก็ไม่จำเป็นต้องมีกับ เมื่อตนพอใจให้มีรสอย่างใด ข้าวก็จะมีรสดังต้องการ รวงข้าวที่ถูกเก็บไปในเวลาเช้า ตอนเย็นก็กลับโตขึ้นดังเดิม หากเก็บในเวลาเย็น ตอนเช้าก็โตดังเดิม มีรวงแก่สุกพร้อม
***ในสมัยที่มนุษย์บริโภคง้วนดิน กระบิดิน และเครือดินนั้น ถือเสมือนเป็นทิพยสุธาหาร ไม่ต้องย่อย แต่เมื่อบริโภคข้าวสาลีอันเป็นของหยาบดังนี้แล้ว จึงต้องย่อย มีอุจจาระ ปัสสาวะ และทวารทั้ง ๙ อันได่แก่ ตา ๒ หู ๒ จมูก ๒ ปาก ๑ ทวารหนัก ๑ และทวารเบา ๑ เกิดขึ้นเป็นที่ระบายของโสโครกทั้งหลายให้ไถถั่งหลั่งไหลออกมาจากร่างกาย มีเพศชายและหญิงปรากฏ จึงเป็นปัจจัยกระตุ้นเตือนอุปนิสัยให้เกิดกามราคะตามมา ทั้งหญิงและชายต่างก็เพ่งเล็งแลกัน เมื่อนั้น อุปจารสมาธิอันสั่งสมเมื่อสมัยครั้งที่ยังเป็นพรหมก็พลันขาดออกจากขันธสันดาน เมื่อกระวนกระวายด้วยอำนาจแห่งราคะดำกฤษณาเห็นปานนี้ จึงพากันส้องเสพอสัทธรรม (เมถุนธรรม) จึงทำให้เกิดการขวนขวายในการสร้างเคหสถานที่อยู่อาศัยอันมิดชิดเพื่อการประกอบซึ่งอสัทธรรมนั้น ส่วนพวกที่ยังรังเกียจอสัทธรรมต่างก็พากันแสดงความไม่พอใจ ตำหนิติเตียน โยนมูลโคใส่บ้าง โปรยฝุ่นโปรยเถ้าใส่บ้าง คนที่เกียจคร้านก็เกิดการเก็บสะสมข้าวสาร คือ ไปรูดเอามาไว้คราวละมากๆ คนอื่นเมื่อเห็นตัวอย่างดังนี้แล้วก็ทำตาม เมื่อความโลภเจริญขึ้นในจิตใจ ข้าวสาลีก็ไม่ออกรวงและงอกแทนให้ใหม่ดังเดิม แต่กลับออกรวงมีเปลือกมีรำที่ต้องทำการขัดสีและเพาะปลูกให้มีขึ้น และกลายมาเป็นข้าวสารที่เราบริโภคกันอยู่จนถึงทุกวันนี้				
comments powered by Disqus

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน