วันวาร ณ กาญจนบุรี

อัลมิตรา

บางใครบางคน..มีนัดกับเราว่าจะไปล่องแพ ท่องไพร ที่เมืองกาญจน์
กำหนดวันที่ ๑๒ - ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๐ เริ่มต้นออกเดินทาง ๗.๓๐ น.
และแล้วบางคนก็ตื่นเต้นมาก่อนเวลานัดตั้งชั่วโมง ทำให้คนอื่นเร่งเวลาตาม
แถมยังมีบางใครเตรียมขนมต้อนรับซะเพียบ คงกลัวว่าน้ำหนักจะแตกต่างกัน
ทอง(ม้วน) สองถุงใหญ่และอีกกล่อง เค๊กฝอยทอง และกล้วยอบน้ำผึ้งแสนอร่อย
บางคน+บางใคร+เรา รู้รายละเอียดการท่องเที่ยวแบบคร่าว ๆ 
ฝากความสนุกไว้กับเบื้องหน้า  ถึงจะไม่ค่อยรู้อะไรมาก ก็ไม่ใช่ปัญหา .. 
เดินตามรางรถไฟมาเรื่อย ๆ  คงกลับบ้านถูก หรือไม่ถ้าผิดด้านก็แค่ออกพม่า
มาเมืองกาญจน์ทีไร นึกถึงหนังเรื่องบุญชูภาคแรกทุกที 
เป็นยังไงก็ไม่รู้ หลายปีที่ผ่านมานี้มาเยือนเมืองกาญจน์บ่อย บางปีตั้งสามหน
คงเป็นเพราะว่าอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯและเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการจัดสัมนา
ช่วงวันหยุดพิเศษเดือนตุลาคมก็กะว่าจะมาเมืองกาญจน์อีก คราวหน้าจะไปสังขละ
ขนาดเก็บเอาไปฝันเมื่อคืนเชียว .. ท่าทางจะเป็นเอามากจริง ๆ ฮา ..				
เรา .. กำลังจะแปลงกายเป็นแมงโม้แล้ว .. แต่น แต๊นนนนน

หลังจากที่แมงโม้ตัวนี้ก้มหน้าก้มตางุด ๆ ลงภาพตั้ง ๘๓ ภาพ
ใช้เวลาตั้งชั่วโมงแน่ะ กว่าจะลงภาพจนครบรายการ หิวข้าวแทบแย่
และหลังจากแมงโม้ตัวนี้อิ่มอาหารเย็นเรียบร้อย ก็ได้เวลามาโม้

เก้าโมงกว่า ๆ บรรดาบางใครและบางคนรวมทั้งเรา (แมงโม้) 
ยืนประชุมบ้าง นั่งประชุมบ้าง ที่ลานจอดรถหน้าห้างโลตัสเมืองกาญจน์
ทุกคนมีความเห็นว่า .. ควรหาอะไรถ่วงท้องให้หนัก ๆ เสียก่อน
มิฉะนั้นแล้ว .. เวลาลมกรรโชก อาจลอยตามลม .. 
เอ๊ย ไม่ใช่ อาจหิวกลางทาง .. ทำอย่างกะว่า แต่ละคนน้ำหนักไม่ถึง ๕๐ กก.

ข้าวแกงริมถนนในเมือง เป็นจุดแรกที่ประทังชีวิตมื้อเช้า 
ค่าอาหารไม่แพง จานละ ๒๐ บาท .. อิ่ม และ อร่อย+แซ่บเด้อ น้ำฟรี อีกต่างหาก				
เป้าหมายแรกหลังจากอิ่ม .. คือ ค่ายสุรสีห์ ต.ลาดหญ้า
ขับรถไปเดี๋ยวเดียวก็ถึงแล้ว เรื่องเส้นทางไม่ต้องห่วง
งานนี้ มีผู้ชำนาญทางสามารถแกะรอยพาทั้งก๊วนไปยังหงสาวดีได้

ทำเป็นเล่น !! .. ไปพม่า ในพริบตา
หาที่ไหน ไม่มีอีกแล้ว				
ตอนที่เลี้ยวรถขวับเข้ามา ก็เหลือบไปเห็นท่านมุ้ย
โอ...ท่านมุ้ยนี่เป็นฮีโร่ในดวงใจของแมงโม้ (เพชรพระอุมา อย่าลืมนะท่าน)

แต่แอบมองท่านมุ้ยจากบนรถก็ถือว่าฤกษ์ดีแล้ว
และแล้วก็จริงอย่างที่บอก .. 
คิดดูละกัน ฝนฟ้ามึดครึ้มจับยามสามตาเหมือนฝนจะตก
จนแล้วจนรอด ฝนก็ไม่ตก ..				
บัตรผ่านประตูสำหรับผู้ใหญ่ ๑๐๐ บ. และสำหรับเด็ก ๕๐ บาท
คุ้มกว่าบินไปเกาหลีดูสถานที่ถ่ายทำแดจังกึมหรือไม่ก็จูมง ตั้งแยะ ...

ยิ่งใครที่ได้ดูภาพยนตร์เรื่องตำนานพระนเรศวรฯด้วยแล้ว
คงนึกภาพนึกฉากออก ..

ถึงนึกไม่ออกก็ไม่เป็นไร เพราะว่า จักรกฤษณ์และสรพงษ์เขาออกมาบรรยายเป็นระยะ ๆ				
เริ่มต้นเล่าถึงกองถ่ายเลยดีกว่า ประเดี๋ยวโม้มาก เขาจะจับทางถูกว่าโม้

ดูจากรูปนะ สิงห์คู่ทำมาจากปูน เด่นเป็นสง่าเห็นมาแต่ไกล 
ตรงนี้ลองนึกภาพของภาคแรก ตอนที่องค์ดำเป็นตัวประกันหงสาฯ				
เบื้องหลังการถ่ายทำ .. อ๊ะ อ๊ะ ...เบื้องหลังจริง ๆ

บริเวณนี้กำลังจะเข้าประตูเมืองหงสาวดี ลานถนนกว้าง ๆที่เห็น
ถ้ามองอีกมุม ก็จะเห็นเวียงวังของพม่า

ปล . เรียงตามไซด์  M.....S......XL......L				
บางคนบางใครเป็นใครใคร แมงโม้ไม่บอก
เพราะมีมติลับตกลงกันว่า ไผเป็นไผ ใครไปบ้าง ให้อุบอิบไว้


(นอกจากแมงโม้จะโจทก์เยอะ คนอื่นก็คงมีไม่น้อยเหมือนกัน .. ฮา)				
มีทหารสามนายมาขวางทางซะดื้อ ๆ  
เขาเข้าใจหาซะจริง ๆ หน้าตาของแต่ละคน โบราณสุด ๆ 
อ้าว !! อันนี้ชมนะ 

ดูสิ พอบอกว่า พี่ท่านช่วยแอคชั่นหน่อย 
ก็คว้าดาบหันขวับมาทันที .. ทหารไทยสมัยกรุงศรีอยุธยามาดเข้ม				
มีความรู้สึกว่า เหมือนเดินข้ามเวลามาจริง ๆ
ไม่รู้เหมือนกันว่า ตะก่อนโน้น .. แมงโม้จะเคยแต่งตัวแบบนี้ไหม				
โคสองตัว ไม่ได้ถือสัญชาติไทย
แต่แมงโม้และบางใครอีกคน มีบัตรประชาชน ร้องเพลงชาติชัด				
กว่าจะเดินถึง ..
ก็อ้อยอิ่งนวยนาด สมกับที่ใคร ๆ บอกว่า
นักกลอนชอบเยิ่นเย้อ แค่เดินก้าวขึ้นบันไดสามขั้น ยังร่ายเป็นกลอนสามบท				
ระฆังใบใหญ่ที่วัดของพระมหาเถรคันฉ่อง
ภาพนี้เก็บตก ใครเป็นเจ้าของซีน ประกาศตัวด้วยเด้อ				
นี่ ... ถ้าใครถามว่า ภาพนี้ถ่ายทำตอนไหน ฉากอะไร
โกรธตายเลย .. จำได้ที่ไหนกันล่ะ โม้ไม่ออกเสียแล้ว แมงโม้เอ๋ย				
เอ่ออออออ....

แมงโม้ต้องการตัวช่วย ประมาณว่า พรายกระซิบก็ได้				
อั่นแน่ จำได้แล้ว

ผ่านเข้าประตูไป ก็จะเป็นกรุงศรีอยุธยา 

เฮ้อ โล่งอก				
ภาพนี้เป็นวังของพม่า หุ่นดำปี๋อย่างกะนิโกร
อันที่จริง ถ้าปรับแสงกล้องเป็น ภาพจะดีกว่านี้มาก อร่ามไปทั้งห้องเชียวล่ะ				
อีกมุมที่เห็นสิงห์

ส่วนที่เป็นเป็นเรือนมีหลังคา เป็นห้องเก็บภาพ มีรูปสวย ๆ อยู่เยอะ ทว่ามึดไปหน่อย				
ลองอ้อมมาอีกด้าน ก็จะได้ภาพนี้				
เข้าไปด้านใน ก็จะเป็นแบบนี้				
เคยเห็นสันติสุขที่รับบทเป็นพระมหินทราธิราช นั่งบนบัลลังก์นี้
พยายามถ่ายแบบว่า ไม่ให้เห็นหนังคาสังกะสี 
ถ้าขยับมาด้านหน้าอีกนิดล่ะก็ .. จะเห็นความแตกต่างได้ชัด				
เห็นพัดลมใหญ่ทางซ้ายมั๊ย  นั่นแหล่ะ
จุดนั่น แมงโม้ไปยืนให้พัดลมเป่าสะดือเสียนาน

ส่วนทางขวาก็หุ่นนิโกร(ตามเคย)ยืนใส่ชุดหรูตามสมัยนิยมของชาววังในสมัยนั้น				
ตู้ใบนี้เป็นที่สนอกสนใจ 
แมงโม้เห็นบางใครและบางคนกดชัตเตอร์ตั้งหลายที
ลายเทพบนบานประตูดูขลังชะมัด				
ปืนใหญ่โด่ชี้ฟ้า ลองเข็นเหมือนกันนะ
แต่สงสัย แมงโม้จะขี้ก้างเกินไป เพราะมันไม่ขยับเลย

อันที่จริง ปืนใหญ่ตรงหน้าประตูเมืองพม่าก็มีหลายอัน 
(เขาเรียกเป็นอันหรือเปล่านะ ลักษณะนามเนี่ย ชักงง)				
ปืนไฟเขาก็มีให้ลองยิงนะ แต่เสียตังค์ ๒ นัด ๑๕๐ บาท
ยิงจนได้นั่น ใช้ปืนของพระราชธรรมนูญอีกต่างหาก				
เห็นเป็นถาดแบบนี้ อย่าเพิ่งคิดว่าเอาไว้หยอดอะไร
ความจริงมันคือหลุมลูกปืน ส่วนที่เป็นแท่ง ๆ คือลูกปืน

รบกันเสร็จ ก็เอาไปหยอดขนมกันต่อ ..				
ทยอยกันเดินเข้าคุกเมืองพม่าเป็นแถว ๆ .. ฮา				
ศิลปกรรมในสมัยนั้น				
ถ้วย โถ ชาม .. สั่งตรงมาจากพม่า

งานนี้ พม่าก็รับทรัพย์ไปอื้อเหมือนกัน				
เดินกันแบบไม่รอเอาซะเลย ..

แล้วที่นี่ ที่ไหน อ่ะ				
รูปวาดนี้เจ๋งนะ  เห็นแล้วอลังการมาก ๆ				
งานนี้ต้องยกให้สิงห์เป็นพระเอก

ช่างหนักหนาสาหัสเสียจริงกับการที่จะต้องรับบทแมงโม้
โม้จนมั่วไปหมด เรียงลำดับภาพจากกล้องสามตัวจนงง

แต่ก็ไม่เป็นไร แค่น้ำจิ้ม ใครไม่อยากงงไปมากกว่านี้
ก็ต้องไปดูสถานที่ถ่ายทำจริง ช่วยท่านมุ้ยโฆษณาซะขนาดนี้
หวังว่า อีกไม่นาน แมงโม้จะได้ดูเพชรพระอุมาเสียที				
จากค่ายสุรสีห์ก็ดิ่งมาบ้านริมแควแพริมน้ำด้วยสภาพที่หิวโซ
โถ พื้นที่กว้างขวางซะขนาดนั้น เดินเมื่อยแล้วเมื่อยอีก
อันที่จริงเดินยังไม่ทั่วซะเท่าไหร่ แถมอีกครึ่งทางขี่ช้างอีกต่างหาก

บางใครนั่งรถราง เพราะสังขารย่ำแย่
บางคนเดินต๊อก ๆ บ้ากำลังเหลือเกิน

เช็คอินแล้ว .. หม่ำกันเถอะ				
ระเบียงริมน้ำ ทิวทัศน์อีกฝั่งที่เป็นรางรถไฟสายมรณะ
กับความรู้สึกที่ค้างคา (ทำไมหว่า แมงโม้เขียนหนึ่งขอนไม้หนึ่งชีวิตไม่จบซะที)				
บ้านพักบนแพกับกระแสน้ำที่ดูราบเรียบ ทว่า อย่าโดดลงไปเชียว
รับรองว่า โผล่มาอีกทีอีกสามร้อยเมตรข้างหน้า				
ประตูทางลงแพ และบ้านพักบนแพ

บ่ายสามมีนัดกันล่ะ .. อยู่ดี ๆ ตัวแห้ง ๆ ไม่ชอบ ดันมานัดกันเปียก				
แพเปียกผูกต่อกันสามช่วง
แต่ละช่วงก็นั่งกันประมาณสิบคนบ้าง สิบกว่าคนบ้าง
ใจก็เต้นตึกตัก แต่ก็ทำเป็นยิ้มสู้
บางคนก็ดูทางหนีทีไล่ ทำทีเล็งระยะ .. ฮา				
เรือยนต์ลากแพออกไปไกล ทวนน้ำขึ้นไปประมาณ ๒ กิโลเมตร
น้ำในลำน้ำแควไม่ค่อยเย็นจนยะเยือกเกินไป กุ้ง หอย ปู ปลา ก็ไม่มี				
พวกที่ยืนเท่ห์เป็นนายแบบคือสต๊าฟ .. สมชื่อสต๊าฟจริง ๆ ยืนนิ่ง ไม่กระดิก				
ขอเล่าอย่างไม่อายเลยว่า ในจำนวนคนเล่นแพเปียกทั้งหมด
มีอยู่สามคน ที่ไม่มีปัญญาว่ายกลับขึ้นฝั่งบ้านริมแควฯ

หนึ่งในนั้นคือแมงโม้ .. พอหลุดโค้ง ก็ถูกกระแสน้ำพัดไปยังอีกฝั่ง
แมงโม้ก็เลยแก้เกี้ยวไปว่า .. ไปดูทำเลถ้ำกระแซไว้ก่อน .. ฮา

นี่ถ้าเขาไม่เอาเรือไปรับกลับ ก็ไม่รู้จะกลับมาบ้านพักยังไงนะเนี่ย ๕๕๕				
นี่ล่ะ บ้านพักพุทธรักษา..

ทริปนี้เพิ่มเงินนิดหน่อย แต่อย่างน้อยก็มีห้องน้ำ น้ำอุ่น ตู้เย็น 
ที่สำคัญก็คือ มีทีวีไว้ดูจูมงตอนหกโมงเย็นด้วย				
ต้นไม้ริมทางขึ้นบ้านพัก ไม่รู้ว่าต้นอะไร
มันมีผลเขียวๆดกเต็มไปหมด ว่าจะเด็ดเข้าปากซะหน่อย
แต่ก็เกรงว่า จะเป็นภาระให้บางใครและบางคนพาไปล้างท้อง				
บางคนก็ยังสงสัยไม่เลิกว่าต้นอะไร
นี่ก็คงเก็บภาพไปถามคนที่บ้าน กระมัง ..ฮา				
บรรยากาศหน้าบ้าน เขียวชอุ่มของต้นไม้ทำให้รู้สึกสดชื่น โอโซนเพียบ				
อาหารง่าย ๆ แต่รับรองความอร่อย 

ไม่ลองไม่รู้ ... ไม่กิน ก็ไม่อิ่ม				
มื้อเย็น เป็นมื้อที่มีเกม เข้ามาเกี่ยวข้อง
รางวัลใหญ่คือ เครื่องทำน้ำอุ่นสองเครื่อง
พอดีว่าวันที่ไปตรงกับวันแม่ ใครที่มีรูปแม่ในกระเป๋าเงิน ก็ได้ลุ้นแบบนี้

ท่าตีระฆัง ขออนุญาตเจ้าของภาพ (ทั้งที่รับสินบนเอาไว้แล้ว ฮา..)				
ก็บอกแล้ว ตั้งใจส่ายระฆังหน่อย หลับหูหลับตาอย่างนี้ ตกตั้งแต่รอบแรก 

เฮ้อ .. ได้แค่โค๊กกระป๋อง				
จากนั้นก็อพยพขึ้นฝั่ง .. ฮา
ไปยังสนามที่จัดให้เล่นแคมป์ไฟ
หลังจากจุดเทียนชัยถวายพระพรแด่องค์ราชินี ก็ได้เวลาฮาอีกรอบ				
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก 

ตัดฉับมาเป็นฉากยามเช้า ขณะที่เรือกำลังพาบางใคร,บางคน,แมงโม้ 
และใครก็ไม่รู้จักอีกตั้งร้อยกว่าชีวิต ไปยังถ้ำกระแซ				
บางคนยังงัวเงีย บางคนเตรียมพร้อม บางคนยังคงเล่นไพ่บนแพ
ก็หลากหลายกันไป				
สัญญากันไว้ว่าไม่เผยนาม .. ฮา
แต่ไม่ได้สัญญากันว่า ห้ามเผยภาพ				
บนเส้นทางสายมรณะ 
เขาเล่ากันว่า หมุดกลม ๆ เป็นของญี่ปุ่น
หมุดเหลี่ยม ๆ เป็นของไทย 
เวลาเดินบนรางต้องระวัง บางหมุดมันโผล่มาให้ชวนเดินสะดุดเสียจริง				
ทางซ้าย ที่ติดขอบ จะเป็นถ้ำกระแซ
นี่ก็ยังไม่หายสงสัยเลยว่า ถ้ำกระแซ ใช่ ถ้ำเชลยหรือเปล่า

ในทริปเขาบอกว่าจะพาไปถ้ำเชลย แล้วทำไมพามาถ้ำกระแซ				
หรือว่า เดินไปเรื่อย ๆ จะพบถ้ำเชลย 

แต่ให้เดินบนรางรถไฟแบบนี้ มันเสียวพิลึก
ต่อให้สงสัยยังไง ก็ไม่อยากพิสูจน์แล้วล่ะ				
ภายในถ้ำกระแซ มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่

มีตุ่มน้ำสองใบ ไม่กล้าชะโงกดู กลัวเจอเงาสะท้อนภาพตัวเอง แหะ แหะ				
ตัวเลขที่เห็น .. ไม่รู้เหมือนกันว่าบ่งบอกอะไร
สังเกตว่า มันไม่เรียงลำดับกันสักเท่าไหร่				
หลุมระเบิดจริง ๆ และลูกระเบิด เก๊ ๆ				
ภาพนี้ถ่ายจากมุมบ้านพัก เห็นแสงเช้าสวยดี มีรถไฟผ่านพอดีด้วย				
ยังพอมีเวลาโดดน้ำเล่นอีกหลายตูม

ที่นี่เขาบังคับให้สวมเสื้อชูชีพ				
ฮัลโหล อยู่ไหนกัน .. รีบกิน รีบกลับ				
ก่อนกลับขออีกสักป๊าบ เอ๊ย อีกสักภาพ				
เชื่อเถอะน่า แมงโม้ไม่บอกหรอกว่าเป็นใคร				
จริง ๆ นะ บอกว่า ไม่บอก ก็ไม่บอกสิ ... ฟามลับ ฟามลับ				
บ่ายโมงตรง ทุกคนก็ออกเดินทางกันใหม่
คราวนี้ไปยังเส้นทางบ้านเก่า คำว่า บ้านเก่านี่ เป็นคำที่ตลก
หากแมงโม้เป็นคนที่อยู่ภูมิลำเนาบ้านเก่า เวลามีตรุษเทศกาลก็ต้องลากลับบ้าน
คงเขียนในใบลาพักร้อนว่า ขออนุญาตลางานสองวันเนื่องจากกลับบ้านเก่า .. ฮา


ในภาพทีเห็น คือส่วนหนึ่งของสถานที่ปราสาทเมืองสิงห์				
มีแผนที่ แต่ประมาณว่า อ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ 

บัตรผ่านประตู ๑๐ บาท รถ ๕๐ บาท				
ไปดูก้อนหินที่เรียงกันอย่างลงตัว				
ซอกโน้น ซอยนี้ เดินจนทั่ว				
แมงโม้พยายามทำตัวให้กลมกลืนกับหินเป็นที่สุด				
แต่แมงโม้ไม่อยากทำตัวให้กลมกลืนกับโครงกระดูกในภาพ				
หลุมนี้ไม่เดียวดาย				
มาด้วยกัน ไปด้วยกัน เลือดสุพรรณเอย 
ชักเมื่อยแล้วสิ แมงโม้เดินล้าหลังทุกที				
บางคนก็คงจะเมื่อย เพราะเห็นยืนบิดขี้เกียจอยู่นั่น				
ขนาดมี ๔ กร ยังรักษาเศียรไว้ไม่ได้เลย				
อีกมุมหนึ่งที่พยายามเดาว่า ทั้งหมดนี้สื่อถึงอะไรได้บ้าง				
ให้ความขรึมและความสงบไปอีกแบบ..				
ปราสาทเมืองสิงห์ก็ติดลำน้ำแคว เหมือนกัน				
นี่คือแผนที่				
ชอบมุมนี้

หญ้าที่เห็นเตียนโล่ง แมงโม้พบว่ามีคนตัดหญ้าอยู่ใกล้ ๆ ใช้กรรไกรค่อย ๆ เล็ม				
อารยะธรรมของขอม ปรากฏให้เห็นในแถบตะวันตกของไทย				
เห็นความสงบ บ้างมั๊ย				
ดูปราสาทหิน ดูศิลปะแบบหิน และดูเศษหิน				
ที่พิภัณฑ์บ้านเก่า บัตรผ่านประตู ๑๐ บาท

ที่เห็นคือโลงศพ ที่ทำจากต้นตะเคียน

โลงพวกนี้เคยบรรจุแล้วทั้งนั้น				
สุดท้ายจากสิ่งที่ได้ย้อนรำลึก .. พวกเราได้อะไรบ้างจากอดีตที่ผ่านมา				
รายงานส่งเจ้านาย ..

ไปเซอร์เวย์มาแล้วค่ะ

ออกเดินทาง ๗.๓๐ น. ถึงเมืองกาญจน์ ๙.๔๐ น.
ทานอาหารเช้าเองในเมืองและตรงไปยังค่ายสุรสีห์
ไปดูเบื้องหลังการถ่ายทำหนังเรื่องตำนานพระนเรศวรฯค่ะ

ที่ไปเมื่อวันที่ ๑๒ จำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมด ๑๘๓ คน
สถานที่ทานอาหารเพียงพอ (แต่ไม่โอ่อ่า) อยู่ริมแม่น้ำแคว บรรยากาศดี
อากาศไม่ร้อน ต้นไม้เยอะ มีให้เช่าจักรยานขี่ชั่วโมงละ ๒๐ บาท 
ขี่แล้วเมื่อย เพราะมันเป็นเนินเขา เชื่อว่าเช่าได้ไม่ครบชั่วโมงแน่

เริ่มต้นทริปด้วยอาหารมื้อเที่ยง 
มีก๋วยเตี๋ยว มีข้าวผัด ข้าวสวยตัมยำ(กุ้งตัวเบ้อเร่อ) และกับข้าวอีก ๗ อย่าง
อาหารที่นี่ค่อนข้างหนักไปทางปลา(สงสัยเลี้ยงเอง) 
มีคาราโอเกะ ใครอยากร้องก็ร้องได้ ผลไม้คือสัปะรดและแตงโม
ขนมหวานคือ ลอดช่อง และบัวลอยเผือก

บ่ายสาม ก็จะมีการล่องแพเปียก 
ทุกคนจะต้องสวมเสื้อชูชีพ(รวมทั้งสต๊าฟ) จะมีสุนัขกู้ภัย ๒ ตัว
ที่เขาฝึกไว้ให้ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวที่ไม่สวมเสื้อชูชีพและจมน้ำ
เรือจะลากแพเปียกย้อนทวนขึ้นไปทางต้นน้ำ ประมาณ ๒ กิโลเมตร
จากนั้นก็ให้ทุกคนลงจากแพ กระโดดลงน้ำ บางคนว่ายตามน้ำ บางคนลอยตัวตามน้ำ

ขึ้นแพที่บ้านพัก ซึ่งจะเป็นท่ายาวเป็นระยะ ๆ  ตรงโค้งน้ำนั้น ต้องเร่งชิดขวา
ไม่งั้นกระแสน้ำจะพาไปทางด้านถ้ำกระแซ (อีกฝั่ง ตรงข้ามกับบ้านริมแคว)
ทุกคนก็ไปทางขวาขึ้นฝั่งได้หมด ยกเว้น ๓ คน (อย่าให้เล่าว่ามีใครบ้าง อาย) 
ถูกพัดให้ลอยห่างจากฝั่งขวา ไปทางฝั่งซ้าย เขาก็จะมีเรือคอยระวังภัยขับมารับ

มีสต๊าฟคอยดูแล ไม่น่าจะอันตรายใดใด ทุกคนน่าจะเล่นแพเปียกได้
ไม่จำเป็นต้องว่ายน้ำเป็นขอให้สวมเสื้อชูชีพก็จะปลอดภัยแล้ว

หกโมงเย็น ทานอาหารเย็น 
ตรงนี้เขาจะจัดตามโต๊ะและจำนวนคน อาหารตลกมาก
มีออเดริฟแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เลยเรียกไม่ถูก 
ส่วนอาหารก็เพียบเหมือนเดิม มีคนมาเติมอาหารในถาดบ่อย ๆ (สงสัยกินกันจุ) 

เนื่องจากที่วันที่ไปเที่ยว มีนักท่องเที่ยวจำนวน ๒๒ กลุ่ม 
กลุ่มใหญ่ที่สุด ๖๙ คน นอกนั้นก็ ๕ คน ๒ คน ว่ากันไปเรื่อย 
มีดนตรี มีการเกมส์ รางวัลใหญ่คือเครื่องทำน้ำอุ่น ๒ เครื่อง 
รางวัลอื่น ๆ ก็มีพวก โค๊กกระป๋อง บัตรลดราคาวุ้นคุณอุ๊ บัตรพิซซ่า เป็นต้น  

หลังทานอาหารเสร็จประมาณสองทุ่ม
ก็ยกเก้าอี้ไปนั่งที่ระเบียงเพื่อชมไลท์+ซาวด์ (แต่ไม่ยักจะมีพิกเจอร์) 
เขาก็จะบรรยายถึงสงครามโลกครั้งที่ ๒  ฟังจากเสียงและแสงที่กำกับ
พอให้คิดคล้อยตาม เขามีเสียงเครื่องบินปล่อยระเบิดด้วย
แล้วก็มีระเบิดไฟที่สะพาน มีควัน มีแสง และเสียงดังเหมือนระเบิด

ราวสองทุ่มครึ่งก็ไปรวมตัวกันที่สนามบนเนินใหญ่ มีแค้มป์ไฟ
โดยมีเก้าอี้ไม้เรียงเป็นวงกลม น่าจะนั่งได้ประมาณ ๒๐๐ คน สต๊าฟตลกมาก ๆ
ให้เล่นเกมส์ประมาณว่าละลายพฤติกรรมไปในตัว ฮามาก ๆ .. 
ขนาดคนไม่รู้จักกันยังหัวเราะให้แก่กันเลย แคมป์ไฟจะจบประมาณสี่ทุ่มครึ่ง

อาหารมื้อดึกก็จะเป็นข้าวต้มกุ้ง และ ถั่วเขียวต้ม (อร่อยจัง)
ขณะที่ทานอาหารเขาก็เปิดเพลงบรรเลงเบา ๆ กะว่าทานเสร็จ
เขาก็เร่งจังหวะดนตรีเป็นดิสโก้เทค .. แต่อิมไปนอนแล้วล่ะ

เช้าอีกวัน ทานข้าวตอน ๗ โมงเช้า 
มีทั้งแบบข้าวต้ม ข้าวสวย ข้าวผัด ขนมปัง ไข่ดาว เรียกได้ว่า นานาชาติ ผลไม้เหมือนเดิม 
และมีนัดตอน ๘.๓๐ น.เพื่อไปถ้ำเชลย 
แต่ก็สามารถเลือกได้ว่าจะไปถ้ำเชลย หรือว่าจะไปขี่ช้างวังโพธิ์ ถ้าขี่ช้างบัตรคนละร้อย
 
ถ้าไปถ้ำเชลยก็นั่งเรือข้ามฟากไปตรงข้าม (ตรงที่ข้าพเจ้าถูกน้ำพัดไปนั่นแล)
และก็เดินเที่ยวในถ้ำ มีพระพุทธรูปอยู่ในนั้น มีหลืบเล็ก ๆ
แต่ไม่น่าจะมุดเข้าไปดู ส่วนใหญ่เขาจะเดินบนรางรถไฟกัน 
ช่วงเวลานั้นไม่มีรถไฟแล่น เพราะรถไฟผ่านไปแล้วตอน ๘๐๐น. 
มีร้านอาหารร้านขายของที่ระลึก มีหลุมระเบิดด้วย ทิวทัศน์พอใช้ได้ 

สิบโมงเขาก็เอาเรือมารับกลับไปที่แพ ประมาณสิบเอ็ดโมงครึ่งก็ทานอาหารเที่ยง
มีก๋วยเตี๋ยว มีข้าวสวย ขนมจีน กับข้าวมีประมาณ ๗ อย่าง ของหวาน ๒ อย่าง ...

ออกจากบ้านริมแควประมาณบ่ายโมง 
ไปยังปราสาทเมืองสิงห์ และพิพิธภัณฑ์บ้านเก่า (บัตรผ่านคนละ ๑๐ บาท)

ปล. ทริปทัวร์ของบ้านริมแคว ๙๘๐.- เด็ก ๗๘๐.-
รอไปซื้อทริปทัวร์ที่ศูนย์ประชุมสิริกิติ์ดีกว่า จะเหลือเพียงแปดร้อยเท่านั้น

จบข่าว ./

จบข่าว				
comments powered by Disqus
  • แม่มดใจร้าย

    15 สิงหาคม 2550 17:17 น. - comment id 97220

    20.gif20.gifถ้าจะวันวารจริง ๆ20.gif
  • บางคน

    16 สิงหาคม 2550 10:12 น. - comment id 97225

    บางคนขอบอกว่ามิได้ตื่นเต้นแต่บังเอิญว่าแค่เต้นตื่น เลยพลอยทำให้คนอื่นต้องตื่นกระเจิงไปหมด 
    
    ถ้ำเชลยและถ้ำกระแซคนละที่กัน ที่เขาไม่พาไปถ้ำเชลยก็เพราะว่าก่อนไปฝนตกหนัก ทำให้ทางลื่น เพราะต้องนั่งเรือ และเดินเป็นระยะทางอีก 700 เมตรก่อนจะถึงถ้ำ
    
    บางคนเป็นผู้ขอติดเกาะเพื่อไปเที่ยวและไปย้อนเวลาหาอดีตด้วย 
    
    ขอแก้ตัวและแก้ต่างอีกนิดบางคนไม่มีโจทย์และไม่มีจำเลยซะหน่อย แต่ทำไมรูปบางคนเยอะจังเลย
  • แกงหนามดุ้ง

    16 สิงหาคม 2550 12:58 น. - comment id 97228

    แมงโม้ขยันมาก อิอิ
    
    :)  งานก็เยอะยังแวะมาบินแถวๆ นี้ได้อีก...เดี๋ยวให้ปลาฉลาม..กวดซะให้เข็ดเลย..
  • อัลมิตรา

    16 สิงหาคม 2550 15:54 น. - comment id 97229

    คุณแม่มดใจร้าย .. ๕๕๕ วันวานจริง ๆ ย่อรูปซะเหนื่อย
    ว่าจะได้ลงก็ต้องข้ามอีกวัน กล้องสามตัว รูปเกือบพัน  คัดไม่ถูก
    ทำไปทำมาเรียงลำดับชักมั่ว แมงโม้ก็เลยโม้ไม่ค่อยจะออก
    แถมบางรูปต้องคอยถามบางคนว่า เอ ที่นี่ที่ไหน และ โน่นคืออะไร 
    เอาน่า แมงโม้ตกแม่น้ำ ก็เลยกระหย่องกระแย่งไปนิด ค่ะ
    
    คุณบางคน .. รูปบางคนเยอะไปหน่อย โถ่ สงสัยจะไม่อยากหน่อย งั้นเดี๋ยวจะจัดให้
    โจทก์ไม่มีเหรอ งั้นจะแบ่งไปให้บ้าง ดีไหมจ๊ะ แมงโม้มีเพียบประมาณว่าไม่อยากให้มี ก็ดันมี
    มีเรื่องฮากว่านั้นอีกนะ บางคนเขาอินกับหนังเรื่องนี้เอามาก ๆ ดูตั้งสองรอบ
    เห็นเดินเลียบเมืองอย่างอ้อยอิ่งดุจอาลัยอาวรณ์บางฉาก คงคิดไปว่าถ้าได้นุ่งซิ่นพาดสไบคงดีแท้
    ทหารศึกสามคนมองตามไม่เว้นวาง จนบางใครสะกิดแมงโม้ให้สังเกต
    
    คุณกุ้งหนามแดง .. แหะ แหะ สงสัยแมงโม้จะต้องเร่ร่อนไปทางทิศตะวันตกบ่อย ๆ พื้นดวงบอกงั้น
    เดือนนี้ เดือนหน้า และเดือนตุลาคม ก็ไปเมืองกาญจน์ .. เอาเป็นว่า เที่ยวให้ทะลุปรุโปร่งไปเลย
    ปล. ตอนนี้ปลาฉลามวุ่นอยู่กับการจัดการแบบสอบถามทริปไปเที่ยวอยู่น่ะ แบเบอร์มาเลย แพเมืองกาญจน์แหง๋ ๆ
  • สิริน

    16 สิงหาคม 2550 22:38 น. - comment id 97232

    6.gif6.gif6.gif6.gif
    
    มีบางใครบางคนไปโพสต์ท่าแข่งกับระฆังใบใหญ่
    คิดว่าท่าจะพยายามเทียบไซต์นะเนี่ย
    บางใครบางคนก็เข้าใจไปแอบถ่ายมาให้ได้น่าร๊ากกกกกกกกกก......อิอิ
    
    รู้สึกว่าสมาชิก จะมีไซต์ ทุกไซต์เลยนะคะเนี่ย...S  M  L  XL  55555  น่าร๊ากกกก มั้ยล่ะ...ท่านผู้ชมๆๆๆ
    
    น่าจ๋งจ๋านบางใครบางคน โดนน้ำพัดไป........ใจหายใจคว่ำหมดเลย
    
    บางใครบางคนผมยาวสลวยอยู่ในภาพได้น่ารักมากๆๆ..
    
    และบางใครบางคนไซต์ XL แล้วก็เข่าไม่ดี เดินครึ่งวันแรก ก็พอไหว ได้สนุกสนาน
    แต่ครึ่งวันหลัง สังขารไม่อำนวยเอาเสียเลย....อิอิ
    
    บางใครบางคน ไซต์ S น่ะ ฉบับกระเป๋าเลย
    บอกด้วยนะว่าส่งการ์ดให้แล้วด้วยความปลอดภัย......
    
    และฝากชื่นชม นายอำเภอด้วยว่า ฝีมือการกดชัตเตอร์เก็บภาพน่ะ ...เจ๋งมากๆๆ
    น่ารัก ๆๆๆ
    
    คิดถึงทู๊กๆๆๆๆ  คนเลย
    
    11.gif11.gif11.gif
  • อัลมิตรา

    17 สิงหาคม 2550 08:02 น. - comment id 97235

    คุณสิริน .. ๕๕๕ แมงโม้โดนกระแสน้ำพัดหลุดโค้งไปลอยคออยู่อีกฟาก
    ไม่มีปัญญาว่ายกลับมายังฝั่งบ้านพัก .. โหย ไม่อยากจะเซด พยายามแล้วนา
    ขาปั่นเหมือนหนูถีบจักร พึบ พับ ... แต่ก็สู้กระแสน้ำไม่ไหว 
    นี่ถ้าไม่มีเรือมารับ.. สงสัยล่วงหน้าไปรอที่สะพานข้ามแม่น้ำแควแหง๋ ๕๕๕ ..
    
    เมื่อวานนี้ เพิ่งมีโอกาสหม่ำขนมเค๊กฝอยทอง ของโปรดเลย หม่ำไปตั้งสามชิ้น
    ส่วนทองม้วนในกล่อง..หมดแหล่ววว และอีกสองถุงใหญ่ก็พร่องไปเยอะ
    ไซด์ M ไม่ยอมรับขนมแบ่งไปบ้าง สงสัยจะรักษาหุ่น .. ฮา 
    
    ปูเหลียวจะแจ้งไซด์ S ให้ทราบ เรื่องการ์ด (ส่งถึงใครบ้างอ่ะ ข้อความหวานจ๋อยมั๊ย)
    ส่วนภาพที่ลงในกระทู้นี้ คัดมาจากกล้องสามตัว ..พยายามเอามุมไม่ซ้ำกัน
    ยังดีนะ ที่ตลอดเวลาที่เมืองกาญจน์แค่ฟ้าครึ้มบ้าง แต่ฝนก็ไม่ตกเลย บรรยากาศดี
    
    ขากลับ พอเข้าเขตกรุงเทพ .. ไม่รู้อะไรเป็นอะไร มืดฟ้ามัวดินไปหมดค่ะ
    เห็นเพื่อนที่ทำงานบอกว่า ฝนกระหน่ำซะงอมเลย .. โชคดีแท้ ที่ทริปนี้ไม่เปียกฝน แต่เปียกแม่น้ำ
  • บางใคร

    18 สิงหาคม 2550 19:57 น. - comment id 97246

    ไหนใครสัญญากันแล้วว่าจะไม่ลงรูป  อายเค้าอ่ะ ยิ่งโจทย์เยอะๆ อยู่ด้วย  
    ฝากขอบคุณพี่ไซส์ XL ด้วยน่ะเรื่องส่งโปสการ์ดให้อ่ะ
  • อัลมิตรา

    20 สิงหาคม 2550 08:01 น. - comment id 97257

    ถึงบางใคร .. โหย ลืมไป ความจำปลาทอง อ่ะ
    นี่ยังไม่ได้ประกาศนะว่า รูปนั้น ใคร ?
    สปายด์สองขวด สำหรับ อุบอิบชื่อ ไม่ใช่เหรอ

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน