เยี่ยมเยือนเมืองพม่า (2)

แม่มดใจร้าย


	     ตอนที่แล้วได้แนะนำเกี่ยวกับชื่อของสหภาพพม่า และได้พาไปไหว้พระมหาเจดีย์ชเวดากอง พร้อมข้อมูลเกี่ยวกับพระมหาเจดีย์ สำหรับวันนี้ผู้เขียนจะนำท่านไปไหว้เจดีย์ชเวมอดอว์ หรือ พระธาตุมุเตา และนำชมพระราชวังบุเรงนอง รวมถึงพาชมพระธาตุอินทร์แขวนค่ะ
	     คณะพร้อมแล้วคุณผู้อ่านพร้อมหรือยังคะ ถ้าพร้อมแล้วเราเริ่มเดินทางสู่เมืองหงสาวดี อดีตราชธานีของกษัตริย์มอญและพม่าที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งคนไทยคุ้นเคยจากตำนานบุเรงนอง (ผู้ชนะสิบทิศ) และจากภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ของประเทศไทยเรานั่นก็คือ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช 
	     พะโค หรือ หงสาวดี เป็นเมืองหลวงเก่าแก่ของอาณาจักรมอญโบราณอายุมากกว่า 400 ปี สถานที่แห่งนี้ได้มีการเริ่มขุดค้นและบูรณะปฏิสังขรณ์ พระราชวังบุเรงนอง เมื่อปี พ.ศ. 2533 จากซากปรักหักพังที่คงหลงเหลืออยู่และสันนิษฐานว่าโบราณสถานแห่งนี้เป็นพระราชวังของพระเจ้าหงสาวดี ซึ่งปัจจุบันการขุดค้นยังไม่เสร็จสิ้น
แต่ทางการของพม่าได้มีการสร้างพระราชวังจำลองขึ้นมาซึ่งก็นับว่าสร้างได้งดงามค่ะ
DSC00306.jpg?t=1185279826DSC00308.jpg?t=1185279985
	     ส่วนของเจดีย์ ชเวมอดอว์ หรือ พระธาตุมุเตา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรืองในอดีตนั้นภายในบรรจุพระเกศาพระธาตุของพระพุทธเจ้า มีลักษณะและสถานที่คล้ายกับพระมหาเจดีย์ชเวดากองค่ะ มีพระเจ้า 4 องค์ประดิษฐานรอบพระธาตุคล้ายกัน และที่ขาดไม่ได้ก็คือพระเจ้าทันใจ (แบบบ้านเราค่ะ ใครใคร่ขอก็ตามสบายค่ะ)
DSC00286-1.jpg?t=1185280179DSC00290.jpg?t=1185280238DSC00296.jpg?t=1185280301DSC00297.jpg?t=1185280360
สำหรับวันนี้จะว่าอากาศไม่เป็นใจก็ไม่ได้ค่ะ เรียกว่าพวกเรายังพอมีบุญอยู่บ้างดีกว่าเพราะว่าพอขึ้นรถฝนก็ตก แต่พอถึงจุดที่จะต้องลงฝนก็หยุดค่ะ อากาศก็เลยกำลังสบายค่ะไม่ร้อนเกินไปและไม่หนาวเกินไป เพราะถ้าอากาศร้อนพวกเราคงจะแย่แน่เลยค่ะ เนื่องจากอากาศของที่นี่ร้อนมาก ๆ ค่ะ พาชมพระราชวังบุเรงนองแล้ว ชมเจดีย์ชเวมอดอว์แล้ว ขอพักกินข้าวกันก่อนค่ะ เนื่องจากว่ากองทัพเดินด้วยท้องค่ะ ร้านอาหารที่เราแวะกินข้าวกันนี้ชื่อร้านตองห้าค่ะ (555) เป็นร้านอาหารแบบตึกแถวพวกเราต้องขึ้นไปที่ชั้นสองของอาคาร อาหารของที่นี่ก็พื้น ๆ เรียกว่ากินได้สำหรับคนไม่เรื่องมาก (แต่ต้องขออภัยค่ะไม่ได้ถ่ายรูปอาหารมาให้ชม) เพราะบอกไปแล้วค่ะกองทัพเดินด้วยท้องของมาก็กินหมดค่ะ ใครไปพม่าถ้าจะขอข้าวเพิ่มก็ให้บอกว่า ทะมิ๊น นะคะแต่พวกเราเรียกว่า ทะมิน ค่ะ จำง่ายดี ขอบคุณ ก็ใช้คำว่า เจซูติน
	     อิ่มแล้วเดินทางต่อดีกว่าค่ะ อ้อลืมเล่าให้ฟังค่ะคนที่นี่เขาก็ไม่ต่างจากบ้านเราค่ะมีทั้งคนมีและคนไม่มีค่ะ ที่หน้าร้านอาหารจะพบเห็นกลุ่มคนที่ไม่มีค่ะ เห็นแล้วก็ให้นึกถึงว่าครั้งหนึ่งเคยได้ไปพบเห็นที่ ซัวเถา ค่ะ เดินขอเศษเงินและอาหารกัน ถ้าให้คนหนึ่งก็จะตามมาอีกหลายคนเลยค่ะ  สำหรับภาคบ่ายที่พวกเราต้องผจญก็คือ คิมปูนแค้มป์ (เชิงเขาไจ้เที่ยว) เราใช้เวลาเดินทางจากร้านอาหารประมาณ 1 ชั่วโมงค่ะ แล้วหลังจากนั้นพวกเราก็จะต้องเปลี่ยนรถจากรถบัสโดยสารเป็น รถขนหมู อย่าแปลกใจค่ะคุณอ่านไม่ผิดค่ะที่ต้องบอกแบบนี้ก็คือรถที่เราจะใช้ขึ้นไปเชิงเขาก่อนจะเดินทางต่อไปพระธาตุอินทร์แขวนนั้นเป็นรถแบบนี้จริง ๆ ค่ะ เพราะเขาจะใช้รถบรรทุกหกล้อแบบบ้านเราที่ใช้ขนหมูนำไม้มาวางพาดกันประมาณ 10 แถวแล้วรอบข้างรถก็จะทำที่กั้นไว้ค่ะ (แต่ขอบอกว่าสนุกได้ใจเลยละ) การผจญภัยของเรายังไม่หมดแค่นั้น เพราะก่อนมาพม่านั้นเราจะถูกขู่เกี่ยวกับเรื่องการเดินทางขึ้นพระธาตุอินทร์แขวน และแล้วพวกเราก็พบว่ามันเป็นความจริง เพราะเมื่อรถบรรทุกพาพวกเรามาถึงเชิงเขาแล้วพวกเราต้องเปลี่ยนการเดินทางเป็นการนั่งเสลียง เสลียงของที่นี่เขาใช้เก้าอี้ชายหาดแบบบ้านเราวางพาดบนไม้ไผ่สองลำแล้วก็มีผ้าพลาสติคทำเป็นที่วางขา ให้พวกเรานอนแล้วเขาก็แบกพวกเราขึ้นไปโดยใช้สี่คนหาม (แต่ไม่มีคนแห่นะคะ) สำหรับระยะทางในการเดินจากการดูด้วยสายตาของตัวเอง และจากการที่เคยเดินข้ามเขามาแล้วในการท่องเที่ยวที่ทีลอเล และจากการขึ้นภูกระดึงคิดว่าตัวเองเดินขึ้นได้สบายค่ะ แต่เขาไม่ให้เราเดินขึ้นเองเพราะนั่นเท่ากับประชากรของเขาขาดรายได้ ค่านั่งเสลียงคนละประมาณ 800 บาทใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง เวลาไม่มากเกินไปแต่ว่างานนี้ต้องบอกว่าตัวใครตัวมันค่ะ เพราะว่าพี่พม่าเขามีทีเด็ดไว้หลอกพวกเรา แต่เนื่องจากว่าพวกเราได้รับการเตือนกันมาล่วงหน้าแล้ว แกก็เลยโดนพี่ไทยอย่างพวกเราวางเฉยค่ะ ก็ลองคิดดูค่ะว่าแค่ตัวเราเองเดินขึ้นเขายังเหนื่อยแทบแย่ แต่นี่เขาต้องแบกพวกเราขึ้นเขาน่ะเหนื่อยขนาดไหน เขาก็เลยงัดกลเม็ดในการแวะพักตามร้านขายน้ำที่มีอยู่สองข้างทาง และร้านที่แวะพักก็ใช่อื่นไกลค่ะ เป็นบ้านพี่เมืองน้องทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นภรรยา หรือว่าญาติพี่น้องกัน เขาเองไม่ได้อยากกินน้ำหรอกค่ะ แต่อยากให้เราอุดหนุนเพราะว่านั้นคือรายได้ที่เขาจะได้รับเพิ่มค่ะ แต่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในใจตลอดระยะเวลาที่อยู่บนเสลียงนั่นก็คือ การทำนาบนหลังคน พวกพี่ที่ไปด้วยกันบอกว่าเป็นเพราะชาติก่อนเขาเคยทำกับเราไว้ ชาตินี้เขาเลยต้องมาชดใช้ให้เรา ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ชาตินี้ก็ขออโหสิกรรมแก่กันและกันด้วยค่ะ  การผจญภัยยังไม่หมดแค่นั้นค่ะพอขึ้นถึงบริเวณที่พักเขาก็จะรอทิปจากพวกเราซึ่งต้องบอกไปว่าทิปพรุ่งนี้ค่ะ เนื่องจากว่าเขาต้องแบกเราลงอีกหนึ่งรอบ

     เรื่องราวยังไม่ได้จบแค่นี้ค่ะ แต่ผู้เขียนเห็นว่าเรื่องราวต่อจากนี้ควรจะต่อเนื่องกันตามความคิด จึงขอรวบยอดเป็นตอนต่อไปเพื่อให้ได้อ่านเรื่องราวที่ควรจะต่อเนื่องกันค่ะ 
     อดีตก็คืออดีตค่ะ เราเรียนรู้อดีตจากปัจจุบัน เรื่องราวที่เราได้รับรู้และเรื่องราวที่เขาได้รับรู้ต่างข้อมูล ต่างกรรม ต่างวาระกันค่ะ เรากลับไปแก้ไขอะไรในอดีตไม่ได้ แต่เราสามารถทำปัจจุบันให้ดีได้ค่ะ เขาเองไม่ได้สุขสบายมากกว่าเราค่ะ ทุกวันนี้เขาอยู่กันอย่างหวาดกลัวเพราะการเมืองภายในประเทศของตัวเองและเฉกเช่นเดียวกับเรา เพราะปัจจุบันเราเองก็อยู่ด้วยความหวาดกลัวกลับสถานะการบ้านเมืองของเรา				
comments powered by Disqus
  • เพียงพลิ้ว

    25 กรกฎาคม 2550 08:36 น. - comment id 97002

    อ่านเพลินจังเลยนะคะพี่แม่มด อยากไปเที่ยวบ้างแล้วสิคะ
    
    36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif1.gif
  • ฤกษ์ ชัยพฤกษ์

    25 กรกฎาคม 2550 11:37 น. - comment id 97005

    หงษาวดีที่เคยไป ให้เขาพาไปดูชุมชนชาวมอญ ปรากฏว่า คนมอญหนีไปแหมดถูกกวาดล้างชนเผ่าต้องกระเจิดกระเจิงไปอยู่ชายแดนติดกับไทยแถววัดวังวิเวการามของหลวงพ่ออุตมะเสียมาก บางส่วนอยู่แถวเมืองมะละแหม่ง.
    เขาเตรียมหมู่บ้านชาวมอญ ไว้ให้นักท่อเที่ยวดู โดยรวบรวมครัวคนมอญ จากเมืองมะละแหม่งมาสร้างหมู่บ้านให้ไม่ไกลจากวังบุเรงนองซึ่งสร้างขั้นใหม่กลางดงมะพร้าวเท่าใดนัก ก็เหมือนกับเราสร้างหมู่บ้านกระเกรี่ยงคอยาวน้ำเพียงดินแม่ฮ่องสอนนั่นแหละ ชาวมอญที่นั่นก็อยู่ทอผ้าบ้างแกะสลักบ้าง ให้นักท่องเที่ยวดู  รู้สึกสงสารเหมือนสงสารกระเหรี่ยงคอยาวเลยทีเดียว
  • คนบนเกาะ

    25 กรกฎาคม 2550 12:00 น. - comment id 97006

    36.gifเข้ามาหาอาหารแปลก ๆ ทานจ้า

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน