ณรงค์
ใบคา
ฝนยังคงโปรยมาเรื่อยๆ ตั้งแต่บ่าย จวบจนตอนนี้เที่ยงคืนกว่าแล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหรือตกหนักกว่าเดิม สภาพอากาศของ 3 จังหวัดชายแดนใต้แห่งนี้ยากที่จะรับรู้หรือเข้าใจได้จริงๆ ทั้งๆ ที่ท้องฟ้ามืดครึ้มอยู่อย่างนั้นแต่ฝนก็ไม่ยักจะตกหนัก ผิดกับบางวันขณะที่ช่วงเช้าฟ้าโปร่งพอตกบ่ายฝนกลับเทกระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่งราวกับว่าฟ้าจะถล่มลงมาในทันที
ณรงค์ยืนมวนใบจากกลางละอองฝนตรงด่านตรวจเลยทางสามแยกประมาณ 100 เมตร ซึ่งอยู่กึ่งกลางระหว่างอำเภอแว้ง กับอำเภอสุไหงโก-ลก หากมาจาก อ.แว้ง จะต้องหักมุมเลี้ยวขวา 45 องศา จึงจะเจอจุดตรวจและทหารอีก 11 นาย ส่วนทางตรงนั้นเป็นถนนสายเล็กๆ ไม่ค่อยมีใครใช้สัญจรไปมาเท่าไหร่ เนื่องจากไม่ใช่เส้นทางสายหลัก ดังนั้นคนที่เดินทางบนถนนสายนี้ย่อมไม่รู้ว่าเบื้องหน้ามีอะไรรอคอยพวกเขาอยู่ เพราะโค้งหักศอกนั้นไม่เอื้ออำนวยต่อวิสัยทัศน์ในการมองเห็น กอรปกับสวนยางที่รกทึบทั้งสองข้างทาง ทำให้แยกนี้เป็นเหมือนเส้นแบ่งเขตดีๆ นี่เอง ด้วยทำเลเช่นนี้จึงเหมาะแก่การตั้งด่านตรวจเป็นอย่างยิ่ง
ณรงค์ถูกส่งเข้ามาประจำกองที่นี่ประมาณสามเดือนกว่า เขาแตกต่างจากเพื่อนร่วมรุ่นหลายๆ คนที่ต่างหวาดวิตกในเรื่องความปลอดภัยของตัวเอง ตรงกันข้ามดวงตาของเขากลับเปล่งประกายอย่างสมหวัง ที่ได้เข้ามาประจำการในที่แห่งนี้ แม้จะเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ในฐานะทหารเกณฑ์ไม่ถึงสี่เดือน แต่ระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมานั้นเขาเข้าออกทุกซอกซอยของพื้นที่อย่างเคยชิน ชนิดที่หลับตาแล้วสามารถบอกได้ว่าส่วนไหนเป็นอะไร เขาเพิ่งมาเห็นประโยชน์ของการไม่ยอมย้ายทะเบียนบ้านของพ่อก็หนนี้เอง เคยนึกจะบอกพ่อถึงประโยชน์ของมันแต่ก็จนปัญญาเพราะไม่รู้ว่าขณะนี้ท่านอยู่ที่ไหน นรก หรือสวรรค์
เขายังจำเหตุการณ์วันนั้นได้ดี วันที่พ่อต้องมาสังเวยชีวิตให้กับความขัดแย้งของคนบางกลุ่ม วันที่พ่อต้องจากเขาไปอย่างไม่มีวันได้พบกันอีกเพราะแรงระเบิด ยมทูตกระชากร่างของพ่อออกเป็นชิ้นๆ อย่างรวดเร็วไม่ให้โอกาสได้รู้ตัว แม้กระทั่งเสียงร้องก็ไม่ปล่อยให้เล็ดลอดออกมาได้ เขาร้องลั่นด้วยความตกใจในสภาพที่เห็น วันนั้นณรงค์นั่งเล่นหมากฮอสอยู่ในศาลาบนเนินสูงหน้าตลาดของอำเภอสุคิริน อำเภอที่รอบข้างขนาบไปด้วยเนินสูง และภูเขารกทึบ เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นรถกระบะสีแดงคันเก่าของพ่อกลับจากจ่ายตลาดตอนบ่ายในอำเภอสุไหงโก-ลก จอดเพื่อยกสินค้าเข้าร้านขายของชำ ของผู้รับเหมาก่อสร้างเจ้าใหญ่ในอำเภอซึ่งพ่อเป็นลูกน้องคนสนิท เขาก็ผละจากเกมกระดานที่กำลังเป็นต่อนั้นทันที หมายจะลงไปช่วยพ่อเหมือนทุกครั้ง แต่เขาไม่รู้เลยว่าครั้งนี้จะมีอะไรพิเศษกว่านั้น
เพียงแต่ปัดก้นกางเกงดัง เพี้ย! เพี้ย! เสียงระเบิดก็ดังก้องตลาด แรงระเบิดสั่นสะเทือนขึ้นมาถึงยอดเนิน เสียงมันดัง ถึบ! ฟังดูหนักแน่นมีพลัง ขณะนั้นเขาล้มตัวลงหมอบซึ่งเป็นไปตามสัญชาตญาณตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ณ ที่เกิดเหตุควันฟุ้งกระจาย ข้าวของเครื่องใช้กระจัดกระจาย ร่างของพ่อนอนแน่นิ่งไม่ไหวติง มองยังไงๆ ก็เป็นพ่อไม่มีผิด ความตกใจเปลี่ยนเป็นแตกสลายเกือบจะล้มพับลงจุดนั้น เมื่อสติคืนมาจึงได้เข้าไปมองพ่อใกล้ๆ แต่พ่อตายแล้ว
แม่เศร้าโศกอยู่แรมปี เมื่อขาดเสาหลักไป ครอบครัวของเขาก็ย่ำแย่ เงินค่าทำศพและปลอบขวัญจากรัฐบาลใช่ว่าจะชดเชยสภาพจิตใจที่เสียไปได้ มิหนำซ้ำยังจะช่วยซ้ำเติมให้หวนนึกถึงเรื่องราวความเลวร้ายเก่าๆ ที่เกิดขึ้นกับพ่อและครอบครัว เมื่อการติดต่อขอรับเงินถูกบอกปัดครั้งแล้งครั้งเล่า นานไปเข้าก็หายไปกับสายลมไม่มีใครพูดถึงมันอีกเลย แต่เขายังรู้สึกว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง
ปกติคนในพื้นที่เมื่อเข้ารับการฝึกทหารแล้ว จะไม่ได้เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ เพราะกลัวว่าจะไม่สามารถปฏิบัติภารกิจได้ดีเท่าคนที่มาจากที่อื่น เพราะกลัวว่าทหารและผู้ก่อการร้ายจะเป็นญาติ หรือเพื่อนสนิทกัน ระยะของชาวบ้านและรัฐบาลจึงห่างกันอีกก้าวหนึ่ง
แม้ว่าณรงค์จะมีทะเบียนบ้านอยู่ในเขตพื้นที่นี้ แต่ทว่าพ่อของเขาไม่ยอมย้ายชื่อมาอยู่ด้วย โดยอ้างว่าต้องการมีชื่อรักษาทะเบียนบ้านเดิมเอาไว้ ดังนั้นเมื่อมีการเลือกตั้งครั้งใด นั่นย่อมหมายความว่าพ่อจะต้องเดินทางไกลจากจังหวัดนราธิวาสไปอำเภอหลังสวนจังหวัดชุมพรเพื่อกากบาทเลือกตั้งเพียงวันเดียว ซึ่งเขาคิดว่ามันเปลืองและแม่ก็เคยบ่นให้พ่อฟังเสมอ จนกระทั่งหมายเกณฑ์มาถึงเมื่อปีที่แล้ว ประโยชน์ของการไม่ย้ายทะเบียนบ้านของพ่อก็บังเกิดผลเพราะเขาต้องไปเกณฑ์ทหารที่ อ.หลังสวน และได้มาปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่แห่งนี้ ที่ที่พ่อของเขาทิ้งร่างเอาไว้โดยไร้ความผิด เขาหวังเพียงแต่ว่าอย่างน้อย เอชเค ในมือกระบอกนั้นจะต่อลมหายใจให้ชาวบ้านได้บ้างไม่มากก็น้อย
ส่วนหนึ่งก็หวังทอนลมหายใจของเหล่าผู้ก่อการร้ายในจำนวนที่ยิ่งมากยิ่งดี
ใบจากยังไม่หมดมวน ณรงค์ต้องหันกลับไปสบสายตากับเพื่อนอีก 4 คนที่ยืนอยู่ตรงจุดตรวจ ส่วนคนที่เหลือพร้อมด้วยจ่าชัย ซุ่มในบังเกอร์ข้างทาง
แสงสีส้มจากจักรยานยนตร์ทอดยาวบนถนน แล่นมาจาก อ.สุไหงโก-ลก ปาดซ้ายทีขวาทีเหมือนงูเลื้อย เมื่อใกล้เข้ามาก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายของคนขับและคนซ้อนท้ายตะเบ็งแข่งกับเสียงเครื่องยนตร์ แต่เมื่อถึงด่านตรวจก็จอดลงอย่างสงบเจียมตัว ทว่ายืนอย่างไร้ศูนย์เต็มที ณรงค์มองหน้าก็รู้ทันทีว่าเป็นใคร แต่ฝ่ายตรงข้ามขณะนั้นไม่รู้แล้วว่าเบื้องหน้าชื่ออะไร รู้เพียงแต่ว่าเป็นทหาร และในฐานะพลเมืองดีควรหยุดให้ตรวจด้วยความยินดี
ขี้เมาสองคนนั้นเป็นวัยรุ่นในหมู่บ้านใกล้เคียง ที่ณรงค์เคยร่วมวงเหล้าด้วยเมื่อครั้งยังไม่เกณฑ์ทหาร หากไม่เมาสองคนนั้นคงจำเขาได้ เมื่อเห็นสภาพอย่างนั้นณรงค์ก็อดยิ้มไม่ได้ทั้งๆ ที่ผู้คนส่วนใหญ่วิตกเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัย แต่ยังมีคนกลุ่มหนึ่งไม่รู้ร้อนรู้หนาวยังคงหาความสำราญไม่หยุดหย่อน หรือว่าพวกเขากลัวจนไม่รู้จะกลัวไปเพื่ออะไรอีก ถึงต้องหาทางระบายกันบ้าง เมื่อคิดถึงตรงนี้ทำให้ณรงค์ต้องลอบถอนหายใจเบาๆ
ดึกๆ ออกเที่ยวไม่กลัวเหรอ ณรงค์ถาม
กลัวอะไรเพ่ รู้ไหมดึกๆ อย่างนี้แหล่ะปลอดภัยเมื่อไม่มีใครเที่ยว ก็ไม่มีใครวางระเบิด พวกผมก็เที่ยวได้ตามสบาย คนซ้อนท้ายพูดเสียงช้าๆ ยานๆ
ทำไมพูดเสียงอย่างนั้น พม่าหรือเปล่าเนี่ย ไหนร้องเพลงชาติให้ฟังหน่อยสิ ณรงค์แหย่
จะบ้าเหรอ นี่มันกี่โมงกี่ยามกันแล้ว ยังมาให้ร้องเพลงชาติอยู่ได้ เพลงชาติเขาเอาไว้ร้องตอน 8 โมงเช้า กับ 6 โมงเย็น ผมไม่ร้องหรอก มันไม่ใช่เวลา ขี้เมาตอบขณะที่ยังเอนไปเอนมา
ณรงค์และเพื่อนหันมองหน้ากันก่อนที่จะส่ายหน้าอย่างเอือมระอา แล้วปล่อยให้สองคนนั้นรีบๆ กลับบ้านไปนอนเดี๋ยวไม่ทันตื่นขึ้นมาร้องเพลงชาติตอน 8 โมงเช้า
ตี 1 แล้วฝนยังคงสภาพเดิมคือปรอยลงมาบางๆ อากาศก็เริ่มหนาวลง ความถี่ของการจุดใบจากขึ้นสูบก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หลายคนเริ่มบ่นว่าหนาวและอยากนอน บางคนก็บ่นว่าซวยจริงๆ ไม่น่าตกมาอยู่แถวนี้และสภาพอย่างที่เป็นอยู่ ป่านนี้นอนคุมโปงใต้ผ้าห่มสบายไปแล้ว ไม่เห็นต้องมาเป็นเป้าเคลื่อนที่อยู่อย่างนี้เลย มีหลายเสียงเออออด้วย แต่ณรงค์ไม่คิดเช่นนั้น เขาแอบภูมิใจเล็กๆ ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการหลับสบายของชาวบ้านในค่ำคืนอันหนาวเย็นนี้
รถกระบะสีดำจอดให้ณรงค์และเพื่อน ตรวจอย่างช้าๆ
ไอ้... ทหารคนหนึ่งกระซิบข้างหูณรงค์และคนอื่นๆ เมื่อรู้ว่าบุคคลในรถ ซึ่งขับมาเพียงลำพังนั้นเป็นผู้ร้ายค่าหัวหลายหมื่นบาท ก่อคดีลอบสังหารตำรวจมาแล้ว 1 คน ลอบวางเพลิงโรงเรียนหลายแห่งด้วยกัน
จ่าชัยเดินออกมาจากบังเกอร์ เพื่อมาตรวจสอบเพื่อความแน่ใจ ส่วนคนในรถยังคงนั่งนิ่งใจเย็นเหมือนไม่รับรู้ถึงรังสีอันตรายที่พวยพุ่งออกมา มันยังคงทำตัวเหมือนคนบริสุทธิ์ทั่วไป เมื่อจ่าเดินเข้ามาถึง ณรงค์ก็รีบเสนอตัวทันที
ไอ้...แน่ครับจ่า ผมจัดการเอง ไม่ทันที่จ่าชัยจะตอบอะไร ณรงค์ก็เดินดุ่มๆ ประทับ เอชเค คู่กายไว้ที่ไหล่ลั่นไกสังหารโจรก่อการร้ายค่าหัวหลายหมื่นบาท สิ้นใจตายคารถทันที
รงค์ ทุกคนร้องเสียงหลงพร้อมกัน
มึงทำเหี้ยอะไรว่ะ จ่าชัยปรี่เข้าไปกระชากคอเสื้อณรงค์ แต่ณรงค์สะบัดแล้วพูดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวว่า
จ่าจะจับมันเหรอครับ จ่าดูหน้ามันสิ จ่าดูมัน แม่ง! ทั้งๆ ที่รู้นะว่าพวกเราจำมันได้ แต่ดูมันสิยังนิ่งเฉยเหมือนทองไม่รู้ร้อน มันคงคิดว่าถึงจับมันไปได้ พอมันทำสารภาพหน่อย บอกว่าโดนหลอกสำนึกผิดแล้ว พร้อมที่จะร่วมเป็นคนดีพัฒนาชาติบ้านเมือง เดี๋ยวก็มีคนปล่อยมันไป พาไปเข้าศูนย์อบรมวิชาชีพอะไรเข้าหน่อยก็กลับมาก่อเรื่องเลวร้ายได้เหมือนเดิม แล้วจ่าจะจับมันให้เหนื่อย ให้หมดกำลังใจไปทำไมจ่า หา! เขาเน้นคำว่าหา จ่าจำไอ้เดชได้ไหม ไอ้เดชที่มันเคยอยู่กับเราไงจ่า พอมันขอย้ายไปอยู่บันนังสะตาก็โดนหมาตัวไหนก็ไม่รู้ฟันคอขาดในตลาด ตลาดสดนะจ่า คนเป็นร้อยแต่ไม่มีใครเห็นสักคนว่าไอ้ตัวไหนเป็นคนฟัน มันทำอะไรผิดล่ะจ่า มาคุ้มครองชาวบ้านแท้ๆ ทำให้พวกแม่งสบายแท้ๆ เพราะมันเป็นทหารเหรอ หรือเพราะมันไปก้มเลือกส้มแล้วเผยสันคอยาวงามนั่น ทำให้เกิดอารมณ์อยากฟันคอคนเล่นอย่างนั้นเหรอ
กูเข้าใจ แต่มึงจะให้กูทำยังไง จ่าชัยพูดเสียงอ่อยๆ หมายจะปลอบเขามากกว่าที่จะคิดได้ มึงจะทำให้ทั้งกองร้อยฉิบหาย
ไม่ยาก ณรงค์พูดด้วยเสียงมั่นใจ และหนักแน่น ทำให้ทุกคนงงไปตามๆ กัน แล้วเขาก็ก้าวไปเปิดประตูฝั่งตรงข้ามคนขับของรถกระบะคันนั้น แล้วลากศพมาจัดท่านั่งเรียบร้อยตรงเบาะข้างนั่นเอง เสร็จแล้วณรงค์ก็ปิดประตูรถแล้วเดินอ้อมกลับไปฝั่งคนขับ ขึ้นและสตาร์ทรถ เมื่อเสียงปิดประตูดัง ปั้ง! รถกระบะก็กระโจนไปข้างหน้า เสียงดังโครมใหญ่เมื่อรถไปชนเข้ากับต้นยางพาราเข้าอย่างจัง แต่ฝั่งที่ชนคือฝั่งตรงกันข้ามกับฝั่งคนขับ
ขณะที่ทุกคนกำลังยืนมองการกระทำของณรงค์อย่างตกตะลึงนั้น เขาก็เดินเข้ามาหาเพื่อนทหาร และจ่าชัยพร้อมบอกว่ายิงสิ
รุ่งเช้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับพาดหัวข่าวคล้ายๆ กันว่า
โจรใต้แหกด่านทหาร
ตายหนึ่งหนีรอดหนึ่ง