นิยายเรื่องนั้น

แมงกุ๊ดจี่

๑.
ปึก!.... เสียงโยนซองสีน้ำตาลขนาด  A4  ในนั้นมีเอกสารประมาณปึกหนึ่งได้
สาเหตุของเสียงมาจากอาการหัวเสียของชายวัยกลางคน สวมแว่วตาหนาเตอะที่มีอาการหงุดหงิด สีหน้าตึงเคลียด   เขาคือบอกอ. สำนักพิมพ์หนังสือแห่งหนึ่ง  ซึ่งตอนนี้บอกบุญไม่รับซะอย่างนั้น
อาการหงุดหงิดที่เหมือนจะไม่ยอมสงบง่าย ๆ  เจ้าของอาการเดินมาใกล้โต๊ะ
ทำงานแต่ไม่ยอมนั่ง  แต่ใช้มือค้ำยันขอบโต๊ะทำงาน เพื่อให้การทรงตัวมั่นคง
มากพอแล้วจ้องเขม็ง  มายังต้นตอของอาการหงุดหงิดของเขา  ที่ทำเขาแทบ
เหมือนคนเสียสติ
"ผมบอกคุณกี่ครั้งแล้ว  ให้ส่งต้นฉบับก่อน 1  เดือน  เพื่อให้ผมอ่านก่อน
แล้วค่อยพิจารณาตีพิมพ์   คุณไม่เข้าใจรึไง  ห๊ะ"  บอกอ.ส่งเสียงตวาด
อันทรงพลังมากด้วยอำนาจที่เหนือกว่าพร้อมจ้องไม่วางตา   บอกอาการไม่สบารมณ์ได้อย่างเด่นชัด...แววตาของคู่สนทนา  ฉายแววผิดหวังไม่น้อยที่โดนหนิอย่างนั้น   แต่ก็มิได้โต้แย้งผู้มีอำนาจเหนือกว่าแต่อย่างใด  เหมือนเป็นสิ่งที่จะปฏิเสธเสียมิได้  ที่ต้องนั่งรับฟังคำด่าทอ  คำตำหนิ   ที่ตอกย้ำความรู้สึกนึกคิด..
"แล้วนี่อะไร!  แล้วนี่อะไร! "  ตาของ บก.สำนักพิมพ์แทบถลนออกมานอกเบ้า
พร้อมกับกิริยาหยามหยันกึ่งขำแสยะยิ้ม   แต่ไม่มีทีท่าว่าจะส่งเสียงหัวเราะเล็ดลออดออกมาแต่อย่างใด..."ดูซิ   อ่านดูแล้วยิ่งไร้อารมณ์   ไม่น่าติดตาม  คุณเป็นนักเขียนนะ  ไม่ใช่ไม้กระดาน" เขายังคงพูดไม่หยุด โดยเปลี่ยนจากมือยันโต๊ะทำงาน  เป็นเดินอ้อมมาด้านหลังของคู่สนทนา  แล้วเดินวนกับไปยังจุดเดิม...
"ผมให้โอกาสคุณแก้ตัว   เรื่องของคุณจะเลื่อนไปก่อน   ยังไม่ตีพิมพ์ปักษ์นี้
ผมจะเอาของนักเขียนคนอื่นลงไปก่อน   ส่วนคุณไปจัดการแก้ไขงานคุณมาให้สมบูรณ์"เขานั่งลงพร้อมใช้มือดันซองสีน้ำตาลที่โยนลงก่อนนี้     เลื่อนให้เจ้าของซอง  รับคืนไปเจ้าของเอกสาร  สบตา   "ค่ะ   บอกอ " แล้วเอ่ยรับคำอย่างหนักแน่น  แต่แฝงไว้ด้วยความระอิดระอาใจเหลือ...
ดูเหมือนพายุอารมณ์เมื่อครู่จะสงบลงแล้ว    
เมื่อได้พัดปะทะกับสิ่งกรีดขวาง  เหมือนจะไม่สามารถพัดทำลายสรรพสิ่งต่าง ๆ  ได้อีก"งั่นขอตัวนะคะ  บอกอ "  คู่สนทนาคิดว่าได้เวลาแล้ว  ที่จะออกไปจากห้องนี้ห้องเย็นที่ใคร ๆ   เรียก  แต่สำหรับหล่อนทำไม?  มันร้อนอบอ้าวเหลือเกิน  และแสนจะอึดอัด  เป็นไปได้หล่อนแทบอยากจะวิ่งหนี   ในนาทีที่เห็นอารมณ์เกี้ยวกราดนั้นทันที... 
     
"อ้อ! เดี๋ยว... อย่าลืมนะ  อารมณ์หน่ะ  อารมณ์ให้มันมีซะบ้าง"  
เสียงผู้มีอำนาจเหนือกว่าสบถ..   ก่อนที่หล่อนจะเดินพ้นประตูห้องออกมา เมื่อก้าวพ้นประตู  หล่อนมองดูซองสีน้ำตาลที่ถือออกมาด้วย แล้วถอนหายใจยาว  เหมือนจะโล่งคล้ายยกภูเขาออกจากอก  ที่ออกมาจากห้องบอกอเจ้าอารมณ์ได้เสียที
"วิกานดา  อัญญสิทธิ์"  หญิงสาวที่เรียนจบด้านการบริหาร  แต่มีพรสวรรค์ในการเขียนนิยาย...และเป็นสิ่งที่หล่อนชอบและรักที่จะทำในงานด้านนี้   และยึดอาชีพในด้านการเป็นนักเขียน  หล่อนเป็นนักเขียนฝีมือดี  และมีจินตนาการที่หลายหลากในการสร้างสรรค์ผลงานออกสู่มหาชนเสมอ   หล่อนเกิดมาพร้อมกับสำนักพิมพ์นี้   ไม่สิหล่อนแจ้งเกิด  ได้เป็นนักเขียนก็เพราะสำนักพิมพ์นี้  หล่อนหันหลังไปชำเลืองมองประตูห้องที่ก้าวพ้นออกมาเมื่อครู่   พร้อมกับยักไหล่ทั้งสองข้าง  เหมือนไม่หยี่หระกับเหตุการณ์ที่ผ่านมาไม่กี่นาที   แล้วหยิบซองสีน้ำตาลที่เป็นต้นฉบับขึ้นแนบอกเดินเข้าลิฟต์ไป...
***********************************
๒.
หญิงสาวร่างบางนอนหลับสนิทไม่เป็นท่า  ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง 
ไร้ภาพพจน์งดงามของกุลสตรี   เหตุเพราะเมื่อคืนหล่อนทำงานจนดึกดื่น... ทำให้หลับเหมือนคนไร้สติ   ไม่สามารถควบคุมความคิดกริยาใด ใด ได้    (อิอิ   เหมือนผู้เขียนเลย  คริ ๆ) 
เมื่อคืนหล่อนหมกหมุ่นอยู่กับการวางเคล้าโคลงเรื่องของนวนิยาย  ที่เขียนให้กับสำนักพิมพ์  ที่มีกำหนดภายใน  1   เดือน  ต้องส่งต้นฉบับให้ทัน  แต่เหมือนจะไม่เข้าท่าเอาซะเลย   หล่อนเสียเวลาทั้งคืนไปโดยเปล่าประโยชน์  และหมดเรี่ยวแรงที่จะต้านความอ่อนล้าของร่างกายได้...
ก็หล่อนถนัดเขียนแนว  รักแก่นแก้วแสนซน   และฆาตกรซ่อนเงื่อน  แต่นี่บอกอ.สั่งเหมือนฟ้าฝ่า    ให้เขียนแนวใหม่   เป็นรักโรแมนติก  หวานแว๋ว  อันนี้ก็ยังพอทำเนา     แต่ต้องมีบทรักพิศวาท    เย้ายวนใจ   ให้น่าติดตาม...นี่สิ!  ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญทำให้เป็นปัญหาหนักสาหัสสำหรับนักเขียนวัยละอ่อนอย่างหล่อน...
กริ๊งงงงงงงง  กริ๊งงงงงงงงง.....เสียงโทรศัพท์ดังปลุกนักเขียนสาวที่อิดออด
ไม่อยากจะลุกจากที่นอนมารับเท่าใดนัก...เพราะเหนื่อยล้ามาเกือบทั้งคืน...
"วิ ค๊ะ" หล่อนทำเสียงเซ็ง ๆ  แทนชื่อตัวเองโดยอัตโนมัติ  เพราะจริง-จริงแล้ว
หล่อนไม่อยากจะลุกมาด้วยซ้ำไป...
"ยังไม่ตื่นอีกเหรอ?  ลูกสาวขี้เซา"  เสียงแว๊ก  แว๊ก...มาตาสาย   
แต่เป็นเสียงที่แว๊กที่ฟังแล้วอบอุ่นดี  สำหรับลูกสาว  เป็นเสียงของ  วิภา  อัญญสิทธิ์ มารดาของหล่อน ตั้งแต่หล่อนเรียนจบก็ขอออกมาอยู่ข้างนอก   โดยบิดาได้ซื้อห้องชุดหรือคอนโด ที่จัดได้ว่าหรูหราในระดับหนึ่ง   ซึ่งบิดาของหล่อนเป็นนักธุรกิจ  ที่มีฐานะมั่นคงพอสมควร
"แม่เองเหรอคะ "   หล่อนทำเสียงง่วน ๆ  กะจะงอแงเต็มที่
"ลูกวิ   วันนี้วันหยุดมาทานข้าวเป็นเพื่อนพ่อกับแม่นะ"   เธอบอกบุตรสาว
"โห!   แม่คะวิไม่ว่างเลยงานเยอะมาก"  หล่อนก็ตอบไปอย่างนั้นเอง  
แท้ที่จริงแล้วหล่อนอยากไปจะตาย   แต่ยังรู้สึกฝืน  ๆ   ที่จะต้องไปพบหน้าบิดา  
เพราะบิดาไม่เห็นด้วย กับงานที่หล่อนทำ   เพราะบิดาบอกว่าไม่มั่นคง  และไม่เห็นรายได้เป็นกอบ เป็นกำเหมือนตนประกอบธุรกิจ   และเขาต้องการให้ลูกสาวมาช่วยดำเนินกิจการต่อจากตน
"ไม่ต้องอิดออดเลย   แม่อยากให้วิ  มีโอกาสคุยกับคุณพ่อบ้าง"มารดาหล่อนพูดแล้วถอนหายใจยาว เพราะเป็นกังวลว่าพ่อลูกจะห่างกันมากไปกว่าเดิม  เพราะลูกสาวกับพ่อนิสัยใจคอถอดแบบกัน มาโดยไม่ผิดเพี้ยนเลย  ดังคำโบราณว่า "ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น"   พ่อลูกต่างมีทิฐิต่อกัน...
"ว่าไง?   ลูกวิ  คุณพ่ออายุมากแล้วนะ  ลูกวิอย่าทำเป็นเด็กพร่องการอบรมนัก"   เสียงมารดาเอ็ดมาตาสาย  ซึ่งความจริงแล้วหล่อนก็ไม่โกรธเคืองบิดาเลย  แต่ละอายที่จะดื้อดึงทำสิ่งที่รัก เพราะมันขัดกับความต้องการของบิดา  เหมือนหล่อนประกาศความเป็นอิสะเสรีของตนเอง
"แม่คะ   งั้นเย็นนี้วิไปทานข้าวด้วยนะคะ"   หล่อนตอบรับคำมารดา   แต่ในหัวใจก็หวั่น ๆ ว่าจะคุยกับบิดาว่ายังไงดี    ถ้าหากบิดายื่นคำขาดให้ไปช่วยงานของท่าน  หล่อนบอกตัวเอง ว่าเป็นไงเป็นกัน   อย่างน้อยหล่อนจะต้องไม่อกตัญญูบิดามารดาผู้ให้กำเนิดหล่อนมา....
***********************************
๓.
หล่อนขับรถเก๋งคนงามเข้าไปในบริเวณบ้าน  ซึ่งหล่อนไม่ได้มานานมากแล้ว
ตั้งแต่คราวที่ขอบิดาเป็นนักเขียน  ทำให้บิดาไม่พอใจเป็นอย่างมาก.... ที่หล่อนเลือกจะทำอะไรเล่น เล่น   ซึ่งเป็นความคิดของท่านเอง   แต่มันเป็นความฝันความฝันที่หล่อนอยากจะคว้ามา   เพราะหล่อนตามใจบิดาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
ครั้งที่ยินยอมเรียนด้านการบริหารธุรกิจ  แทนที่จะเรียนทางด้านนิเทศฯ หรืออักษรศาสตร์  แต่หล่อนก็จำต้องปฏิบัติตามคำของบิดา  และหล่อนก็ทำได้ดีด้วยสิ   ซึ่งบิดาหล่อนเอง  ก็คิดว่าเมื่อเรียนไปแล้วหล่อนจะต้องชอบ   และรักที่จะเป็นนักธุรกิจเหมือนตน...
หล่อนจอดรถแล้วนั่งนิ่งทำใจในรถ  หลับตาถอนหายใจยาว...
จังหวะเดียวกันที่มารดาของหล่อนเดินออกมาต้อนรับ   ด้วยแววตาและกิริยาที่งบอก  ได้ว่าคิดถึงหล่อนมาก  ท่านยิ้มมาแต่ไกลด้วยความรู้สึกปิติยินดี  ที่ลูกสาวยอมมา  หล่อนเห็นมารดาเดินลงมาจากตัวบ้าน  จึงเปิดประตูรถลงไปหามารดาที่กำลังเดินยิ้มมาต้อนรับ 
"ลูกวิ...."   วิภาสวมกอดลูกสาวด้วยความรักใคร่   ซึ่งจริง-จริงแล้ววิภาติดต่อกับลูกสาวเกือบจะตลอดเวลาที่หล่อนขอออกไปอยู่ตามลำพัง  แต่ไม่เคยบอกให้สามีได้รู้เห็น
"คุณแม่..."   หญิงสาวกอดมารดาแน่น   น้ำตาปริ่มซึมเหมือน
จะไหลออกมาให้ได้ "เข้าในบ้านก่อนเถอะ  คุณพ่อรออยู่"  วิภาบอกบุตรสาวด้วยความอ่อนโยน  เพราะรู้แน่ในแววตา  ว่าวิกานดา   หวาดหวั่นที่จะพบบิดา  ซึ่งวิภาพยายามจะสร้างความมั่นใจให้แก่บุตรสาว... วิกานดาเดินตามมารดาของตนเข้าไปในบ้าน  ซึ่งหล่อนเองก็คุ้นเคยเพราะหล่อนเกิดที่นี่และโตที่นี่
ภายในห้องหนังสือดูกว้างขวางโอ่อ่า  และตกแต่งแบบเรียบเหมาะสมและลงตัว
ซึ่งบ่งบอกว่าเป็นห้องของนักธุรกิจที่มีรสนิยมมากพอควร  แห่งการได้รับความยกย่อง...นพกานต์    อัญญสิทธิ์    ชายวันกลางคนที่เฉียดห้าสิบ  นั่งอยู่ภายในห้องเพียงลำพังเงียบ ๆ  ก๊อก ก๊อก.... เสียงเคาะประตูทำให้บุคคลที่อยู่ในห้องต้องหันไปมองแต่ยังคงนิ่งด้วยแววตาฉาย   ความราบเรียบแต่แฝงความเฉยชา... 
วิกานดาหล่อนเห็นบิดานั่งอยู่ในเก้าอี้โยก ที่ใช้สำหรับพักผ่อน  นอนอ่านหนังสืออยู่ไม่ห่างจาก ริมหน้าต่างมากนัก  ท่านดูซูบไปมาก  เพราะเกือบ 3  ปีที่หล่อนไม่กล้ามาพบท่านเลย...
หล่อนค่อย ค่อย  คลานเข้าไปใกล้   แล้วพนมมือกราบลงตรงเท้าท่านที่วางบนที่วางพักเท้า ของเก้าอี้โยก  "คุณพ่อขา...วิขอโทษ  ขอความกรุณาอย่าโกรธลูกเลยนะคะ"  หล่อนหมอบกราบ   ที่เท้าน้ำตาร่วงโดนเท้าผู้เป็นบุพการี  ผู้เป็นบิดาก็ไม่เคยโกรธเคืองบุตรสาวของตนเลย  เพียงแต่  พูดไปเพื่อให้สำนึกเท่านั้น  ด้วยความโมโหจึงพูดแรงไป   จนสถานการณ์ต้องห่างเหินกันอย่างนี้   เพราะมีลูกสาวเพียงคนเดียวจึงต้องการให้ดำเนินกิจการช่วย  ซึ่งได้วางแผนชีวิตให้หล่อน..
ตั้งแต่เริ่มแรก  เรียนก็ต้องเรียนด้านการบริหารธุรกิจ   และหลายสิ่งหลายอย่างที่ท่านสอนหล่อน แต่หล่อนก็อยากจะทำสิ่งที่ตัวใฝ่ฝัน    ซึ่งผิดถนัดที่ท่านจะบังคับหล่อนเหมือนแต่ก่อน..  นพกานต์ค่อย ๆ  ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้โยก  แล้วก้มลงประคองไหล่สองข้างของบุตรสาวให้ลุกยืนตาม แล้วสวมกอดไว้ในอ้อมแขน   "อย่าดื้อกับพ่ออีกเลยลูก  พอยอมเจ้าแล้ว"   เสียงท่านแหบเหมือน
เหนื่อยมาก   วิกานดาซบกับอกบิดาด้วยความรักที่บิดาเอื้ออาทรต่อหล่อนไม่โกรธหล่อน  ที่ดื้อรั้น "ค่ะวิจะไม่ดื้อกับคุณพ่ออีกแล้ว"   หล่อนตอบรับคำ แล้วถอยออกห่างบิดาเพื่อมองหน้าท่านให้ชัด "คุณพ่อซูบไปมากนะคะ   คงเป็นเพราะลูก  ลูกผิดเองค่ะ"   น้ำตาหล่อนไหลด้วยสำนึกผิดในสิ่งที่ตนก่อขึ้น   ถ้าหล่อนไม่ดื้อรั้นมากและเอาแต่ใจจนเกินไปทุกอย่างคงไม่ดำเนินมาเช่นนี้...
เมื่อเห็นพ่อลูกปรับความเข้าใจกันแล้ว   วิภาจึงเข้าไปชวนทั้งคู่รับประทานอาหารเย็นครอบครัวกลับมาเหมือนเดิม  สามพ่อแม่ลูกหน้าตาสดชื่นกัน   เมื่อบ้านอบอุ่นขึ้นอีกครั้ง   ซึ่งวิกานดาตกลงจะมาช่วยบิดาบริหารงาน  และจะทำสิ่งที่ตนรักควบคู่ไปด้วย....หล่อนยังเป็นนักเขียนได้ และช่วยงานบิดาได้   แต่งานเขียนอาจน้อยลง  แต่ก็ไม่เป็นไรหล่อนเลือกที่จะเป็นลูกกตัญญู  แต่ก่อนจะไปทำให้งานให้บิดา  อย่างที่ตกลงไว้    หล่อนขอส่งต้นฉบับ   ที่ค้างให้แล้วเสร็จก่อน...
				
comments powered by Disqus
  • เพียงพลิ้ว

    21 มิถุนายน 2550 13:04 น. - comment id 96640

    บางสิ่งอยู่ทางโน้น บางอย่างอยู่ทางนี้นะคะ
    
    36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif1.gif
  • เฌอมาลย์

    21 มิถุนายน 2550 13:40 น. - comment id 96642

    เหมือนคนไร้สติ   ไม่สามารถควบคุมความคิดกริยาใด ใด ได้    (อิอิ   เหมือนผู้เขียนเลย  คริ ๆ) 
    
    คริ คริ เหมือนน้องเฌอด้วยคร่า 
    65.gif
  • คนบนเกาะ

    21 มิถุนายน 2550 16:13 น. - comment id 96644

    36.gifเฮ้อโล่งอก  คนอ่านก็เครียดนะเนี่ย...หุหุ
  • ฤกษ์(ไม่ได้ล๊อกอิน)

    23 มิถุนายน 2550 22:29 น. - comment id 96667

    สนุกจางเล๊ย  (ต้องชมไว้ก่อนมือใหม่จะได้มีกำลังใจ) อิอิ

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน