จุดสิ้นสุด
ใบคา
นาฬิกาบอกเวลา 4 โมงเย็น อีกประมาณหนึ่งชั่วโมงพวกเขาคงมาถึง มาเพื่อช่วยสะสางปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้น ล้างมันให้มลายหายไปเหมือนโคลนที่โดนน้ำแรงจากสายยางฉีด เรื่องร้ายๆ ที่ถาโถมเข้ามาจะได้ลาจากเสียที ผมไม่อาจทนรับกับสภาพเลวร้ายอย่างนี้ต่อไปได้อีกแล้ว ยอมมันครั้งหนึ่งก็เหมือนจำนนตลอดชาติ ขืนทนให้เป็นอยู่อย่างเดิมคงหมดตัวไปสักวัน แม้หนทางที่เลือกจะไม่ใช่เส้นทางที่ดีนัก แต่ในยามคับขันและเร่งรีบเช่นนี้ก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เหมาะกว่าคืออะไร กฎเกณฑ์ของสังคมไม่อาจช่วยอะไรได้ก็ต้องหาทางออกด้วยตนเอง และอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้ามันก็จะจบลง ผมนั่งคอยใจระทึกภาวนาให้พวกเขามาก่อนมัน เพราะลำพังตัวคนเดียวไม่อาจจะทานมันไหว
เหมือนเป็นลางบอกเหตุ เมื่อครั้งที่แรงกระชาก ตึง! ของรถจักรบนรางเหล็กออกตัวจากสถานีต้นทางสุไหง-โกลก มุ่งสู่ปลายทาง จ.ยะลา ของเย็นวันอาทิตย์ หลังจากการกลับบ้านเมื่อสุดสัปดาห์ มันเป็นการเยือนบ้านตามธรรมดาที่ปฏิบัติทุกวันหยุดเรียนเสาร์ อาทิตย์ เพื่อรับเบี้ยเลี้ยงที่ทางบ้านให้เป็นรายสัปดาห์ (และต้องมารับเอง) พ่อแม่ไม่ค่อยเชื่อใจกับเงินก้อนที่จะให้เป็นรายเดือนเท่าไหร่นัก เพราะทราบดีว่าสังคมนักเรียนเทคนิคเป็นอย่างไร ยิ่งเช่าบ้านอยู่ตามลำพังกับเพื่อนแล้วด้วย เกรงว่าเงินนั้นจะไม่ได้แปลงค่าตัวเองเป็นสารอาหารลงสู่ท้อง กลัวว่าท้องนั้นจะได้รับแต่ยาฆ่าเชื้อ ถึงอย่างไรชาวเทคนิคอย่างผมก็มีวิธีการบริหารเงินอันน้อยนิดเพื่อแปรสภาพเป็นน้ำเมามาหล่อเลี้ยงความเป็นนักศึกษาอยู่เสมอ ตราบใดที่บะหมี่สำเร็จรูปยังไม่สูญหายไปจากประเทศไทย ตราบใดที่ยังไม่มีใครอ้างตัวเป็นเจ้าของกองผักบุ้งในคูข้างถนน และตราบใดที่ยังมีเพื่อน เพื่อนที่กำลังจะมาเป็นกำลังให้ผมในอีกไม่กี่สิบนาทีข้างหน้านี้
เหมือนเป็นลางบอกเหตุเมื่อชายคนนั้นเดินเตร่เข้ามาหา หลังจากเสียงล้อเหล็กบดขยี้รางชราดัง ฉึกกะฉักๆ แต่พ่อเคยบอกว่ามันร้องดัง ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง โดยให้เหตุผลเสริมว่าเพราะเสียงรถไฟเป็นเช่นนี้เราจึงไม่เห็นรถไฟไทยมาตรงเวลาสักที ซึ่งผมก็เห็นด้วยและมักจะบอกเสียงร้องของรถไฟอย่างนี้ต่อคนอื่นเสมอๆ เขาเดินเข้ามา สายตาตรงดิ่งมาที่ผมด้วยความเป็นมิตร เมื่อระยะใกล้ในระดับหนึ่งที่พอจะพูดกันได้ยินถนัดถนี่ไม่ถูกเสียงดังจากการขับเคลื่อนของรถจักรทำลาย แต่นั่นก็หมายความว่าเราตัวแทบติดกันเลยทีเดียว เขานั่งบนที่พักแขนข้างผม (ผมนั่งริมทางเดินส่วนป้าแก่ๆ นั่งติดริมหน้าต่าง) แล้วยิงคำถามด้วยไมตรีว่าจะไปไหน เมื่อรู้ว่าผมจะไปยะลา ซึ่งไม่ใช่สาระอะไรสำคัญของการสนทนาในครั้งนั้นหรอก สิ้นเสียงผมเขาก็ลุกขึ้นยืน แล้วขอเงินดื้อๆ 10 บาท
เงินสิบบาทไม่รู้สึกเสียดายแม้แต่น้อย แต่ความรู้สึกที่เสียไปมันช่างมากค่ากว่านัก ป้า ที่นั่งข้างๆ นิ่งเฉยเหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา ไม่สงสัยและไม่ถาม ซึ่งผมเองก็คิดว่าคงเป็นเรื่องธรรมดาที่ใครๆ ก็มีสิทธิ์เจอได้ทุกคนถ้ามาเพียงลำพัง ด้วยเหตุผลนี้เองที่ผมเพิ่งเจอเรื่องราวอย่างนี้กับตัวเองเป็นครั้งแรก ทั้งๆ ที่ใช้บริการมาแล้วตั้งหนึ่งปี
ทิ้งระยะห่างเพียง 5 นาที ชายอีกคนก็มาด้วยท่าทีเหมือนคนแรก เขาที่ 2 นี้ปฏิบัติเหมือนกับเขาที่ 1 ทุกอย่าง แต่เงิน 10 บาทในกระเป๋าสตางค์ของผมไม่ได้เคลื่อนย้ายเพิ่มด้วยเหตุผลที่ว่า เมื่อกี้ให้คนโน้นไปแล้ว ผมชี้นิ้วไปที่เขาที่ 1 ซึ่งเห็นหลังไวๆ กำลังขอเงินผู้โดยสารตู้ถัดไป เขาที่ 2 ยิ้มตบบ่าของผมทีหนึ่งเบาๆ แล้วเดินไปหาเหยื่อรายต่อไป
ดีนะที่มันยังหากินกันเป็นระบบอยู่ ถ้าปีนเกลียวกันขึ้นมาเมื่อไหร่เห็นทีจะแย่
มันเป็นเหมือนลางบอกเหตุให้ผมรู้ว่าไม่ควรอยู่คนเดียว ไม่ว่ากรณีใดๆ และความระแวงก็เกิดขึ้นเมื่อ เดช เพื่อนร่วมแชร์บ้านเช่ายังไม่กลับมา เดชบอกว่าหลังเลิกเรียนจะไปตามพรรคพวกเอง ปล่อยให้ผมคอยอยู่ที่นี่ถ้ามาช้า เห็นท่าไม่ดีอย่างไรให้ปิดประตูลงกลอนเสีย ประมาณ 5 โมงเย็นทุกคนคงรู้ข่าวและจะมากันครบไม่ขาดไม่เกินกว่านี้แน่นอน ไม่ใช่เพราะอยู่คนเดียวและปิดประตูลงกลอนหรือ ที่เรื่องทั้งหมดต้องลงเอยด้วยการขอความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ คืนของการสาดแข้งของศึกยูโรระหว่างอิตาลี และฝรั่งเศส คืนนั้นผมนั่งดูบอลคนเดียวในบ้านเช่าขณะที่เดช ออกไปดูที่ร้านน้ำชาซึ่งขายเหล้ากับกลุ่มเพื่อน ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายจึงไม่อยากออกไปข้างนอกเลยขอตัวโดยที่ไม่ลืมขอหัวเอาไว้ด้วย พักครึ่งแรกกระบะสีขาวพร้อมด้วยวัยรุ่น 6 คน มาจอดอยู่หน้าบ้านให้เห็นอย่างชัดเจนเพราะผมเพียงแต่ล็อกประตูเหล็กเลื่อนชั้นนอกเท่านั้น แต่บังตาเปิดอ้าซ่าเพื่อรับลม บุรุษ 2 นายเดินเข้ามาร้องเรียก บอกว่าขอน้ำหน่อยรถหม้อน้ำแห้ง ผมยืนลังเลอยู่พักหนึ่งยังไม่ยอมเปิดประตูให้ สักครู่เขาเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นเกรี้ยวกราดบอกว่า มึงจะเปิดหรือไม่เปิด ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมเปิดรับปัญหาเข้ามาทันทีทั้งๆ ที่รู้ว่าพวกเขาไม่ได้มาขอความช่วยเหลือแน่แท้ ผมโดนยัดข้อหาทันทีว่าเป็นคนไปตีกบาลน้องชายของพวกเขา และน้องชายผู้เคราะห์ร้ายของเขาทั้งสองนั้นก็จำได้ว่าไอ้มือมืดนั้นขับมอเตอร์ไซค์ เข้ามาในบ้านเช่าของผม พวกเขายืนยันว่าต้องเป็นผมแน่ๆ แต่เจ้าตัวไม่ยักลงมา พี่ชายทั้งสองให้เหตุผลว่าเขากลัวไม่กล้าลงจากรถ
เงิน 10 บาทที่เสียไปให้กับเขาทั้งสองบนรถไฟเที่ยวสุดท้ายของวัน จากสุไหงโก-ลก สู่ปลายทาง จ.ยะลา ตลอดระยะทางผมนั่งเงียบไร้อารมณ์ มันคงติดไปกับเหรียญสิบเหรียญนั้นด้วยเป็นแน่ แต่เมื่อรถถึงปลายทางความขุ่นมัวของจิตใจก็อันตรธานหายไป คงเป็นเพราะมั่นใจแล้วว่าผมหมดหนี้ที่ต้องใช้บนรถไฟสายนั้นเป็นแน่แท้ และตั้งมั่นว่าจะไม่เดินทางคนเดียวอีกเลย
มันเป็นเหมือนสิ่งเตือนใจว่าไม่ควรอยู่คนเดียวในเมืองที่หาความปลอดภัยแก่ชีวิตและทรัพย์สินได้ยากอย่างเมืองนี้ ผมรู้สึกหิวเมื่อสะพายเป้เดินลงมาจากขบวนรถไฟ ที่พึ่งเดียวคือร้านสะดวกซื้อ เจ็ดสิบเอ็ด ข้างสถานี ผมเดินออกมาด้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปซึ่งในขณะนั้นมันกลายเป็นบะหมี่สำเร็จรูปเรียบร้อยแล้ว ชายคนหนึ่งรุ่นราวคราวเดียวกับผมนั่งยองๆ อยู่ข้างๆ ร้านสะดวกซื้อ 24 ชั่วโมงแห่งนั้น เงยหน้ามองผมแล้วยิ้มให้ ผมยิ้มตอบแต่ไม่ได้สนใจอะไรรีบเดินเพื่อจะหาที่นั่งสำเร็จโทษบะหมี่ในมือให้เสร็จเร็วไวจะได้กลับบ้านเช่าพักผ่อนเสียที คืนที่มีบอลคู่เด็ดไม่ควรเสียเวลา ไม่รีบนอนแต่หัวค่ำรุ่งเช้าจะตื่นไม่ไหว บอลก็เตะดึกเหลือเกินจึงต้องนอนเอาแรงกันก่อน
เขาเข้ามากอดคอผมแล้วถามเป็นภาษายาวีว่า หงีมาเหนาะ ซึ่งแปลว่าไปไหน ผมตอบกลับเป็นภาษาไทยว่า มาจากนราฯ เพราะผมมาจากที่นั่นและที่ที่จะไปคือที่นี่ ซึ่งถึงแล้ว จะตอบว่าไปยะลาเดี๋ยวจะหาว่ากวนเบื้องล่างเข้าให้ เขาไม่ถามอะไรเพิ่ม แต่เปลี่ยนภาษาที่ใช้เป็นภาษาไทยว่า เพื่อนขอเงินสิบบาทสิ ผมกลายเป็นเพื่อนมันเสียแล้วไม่น่ายิ้มให้เลย
ผมให้ไป 5 บาทเพื่อตัดรำคาญ บอกไปว่าไม่มีเหรียญสิบมีแต่เหรียญห้าบาทอยู่เหรียญเดียว เอาแค่นี้แล้วกัน แล้วผมก็ตบบ่ามัน ยกมือให้เป็นการอำลา
คืนนั้นผมสูญเงินไป 500 บาท หลังจากที่พวกเขาขู่เข็ญอยู่นานให้ผมรับความผิดที่ไม่ได้ก่อ สุดท้ายก็มาลงเอยที่ขอเงินกันหน้าตาเฉย คืนนั้นเป็นเพราะผมอยู่คนเดียวหรือเป็นเพราะผมโง่เปิดประตูให้พวกมันเข้ามาอันนี้ผมก็ไม่แน่ใจ
หลังจากคืนนั้น คืนที่ผมต้องจ่ายค่าโง่ให้กับเดนสังคมที่เข้ามายกข้ออ้างต่างๆ นานา เพียงเพื่อจะกรรโชกทรัพย์ บ้านเช่าของผมก็ได้ต้อนรับหนึ่งในสมาชิกกลุ่มกระบะขาวในคืนแห่งยูโรเสมอ และที่สำคัญมันจะมาเฉพาะวันที่ผมอยู่คนเดียวส่วนใหญ่เป็นตอนเย็น ซึงเป็นเวลาที่ผมเลิกเรียน และเป็นช่วงที่เดชกำลังเรียนเพราะเรียนภาคบ่าย หนหลังไม่ได้มาขอกันเปล่าๆ แต่มีสินค้ามานำเสนอเสมอ และต้องขายได้ทุกครั้งไป ซึ่งเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ที่มันคนนั้นเอามาขายล้วนราคาถูก เพราะได้มาจากการขโมยและรีดไถจากที่อื่นอีกทีหนึ่ง แต่สิ่งเหล่านั้นก็ใช่ว่าจำเป็นสำหรับผมเสียทุกอย่าง
หลังๆ เข้าก็ต้องมีเครื่องมือบังคับเพื่อให้ง่ายต่อการขายนั่นคือปืน และนี่คือจุดพังทลายของความอดทนของผม
เดชยังไม่กลับมา เพื่อนอีกประมาณ 10 คนที่คาดว่าจะตามได้ยังคงไม่มีใครมา ดูเหมือนเดชจะไม่เดือดร้อนเท่าไหร่นัก หรือเป็นเพราะว่าเขาไม่เคยเจอปัญหาอย่างผมทั้งๆ ที่เราก็อาศัยอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน ผมคงคิดมากไปเองเพราะอยู่คนเดียว จำได้ว่าทันทีที่ผมเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเขาเป็นเดือดเป็นร้อนทันที กรามทั้งบนและล่างขบกันแน่นเสียงดังกรอดฟังชัด วันนั้นพวกเราหลายสิบคนนั่งคอยแต่ก็ไม่เจอ สองสามวันผ่านไปก็ไม่เห็นมีมา ทุกคนต่างลงมติว่ามันคงมีเหยื่อรายใหม่ หรือไม่ก็โดนจับขังลืมไปแล้ว แต่มันก็มาอีกเมื่อผมอยู่ลำพัง มาพร้อมปืนลูกซองสั้นสีดำ ปลอกลูกปลายยังคงลอยและตกอยู่บนอุ้งมือของมันเป็นจังหวะตลอดเวลาที่มันอธิบายสรรพคุณสินค้า
ผมกลัวมันจะมาถึงก่อนเดชและเพื่อนๆ จะมาทัน
ความกังวลของผมหายไป เดชมาแล้ว เพื่อนอีก 10 คนก็มาด้วย พวกเขามาพร้อมกัน และอุปกรณ์ครบ
เป็นไงไอ้ห่ากลัวไหม อยู่คนเดียวน่ะ เดชถามเชิงล้อเลียน
ไอ้ห่านึกว่าไม่มาเสียแล้ว เร็วๆ รีบขนขึ้นรถโว้ย เดี๋ยวแม่งมาอีก กูขี้เกียจซื้อของของมันแล้ว เป็นอย่างนี้ทุกวันจนกันพอดี ดีไม่ดีวันไหนไม่มีตังค์โดนยิงไส้แตกอีก แล้วขนดีๆ ล่ะระวังของแตก