บทที่ ๔ ปูมหลังปัตตานี (นอกตำรา) ภาค ๑ โดย สอาด จันทร์ดี
sangtien
คีย์แมนโทน พระเอกของผมเข้ามายืนอยู่หน้าโต๊ะ รับงานเอาไปทำ พูดภาษาอีสานกับผมด้วยความสนิทสนม ขณะเดียวกัน "ลุงเซะ" ชาวหมู่บ้านสะกอม ก็เข้ามาคุยด้วย ชาวสะกอมพูดสำเนียงใต้ที่แปลกไปจากชาวใต้ทั้งหลาย เสียงจะมีลักษณะอ่อนหวาน นุ่มนวล และแหลมไปในตัว เปรียบเหมือนคนอีสาน แต่สำเนียงชัยภูมิอะไรทำนองนั้น
สะกอมมีอาณาเขตติดกับโรงแยกแก๊ส
ชาวบ้านสะกอม แบ่งเป็น ๒ กลุ่ม คือกลุ่มต่อต้านกับกลุ่มหนุนให้ก่อสร้างโรงแยกแก๊ส ลุงเซะเป็นกลุ่มสนับสนุน เข้ามาส่งเสียงดังว่า "พ้มชวนมันแล้ว ให้มันมาทำงานมันก็ไม่มา ทำงานได้เงินตั้งหลายพันไม่ทำ...มันจะทำมอบ...มันแย่จัง.." หลังจากพูดจบ แกควักยาเส้นออกมามวน แล้วหันหน้าไปคุยโขมงโฉงเฉง จับต้นชนปลายไม่ถูก
อารมณ์ของผมยังคงสดชื่นแจ่มใส แต่สมาธิในการทำงานแบ่งขั้วตลอดทั้งวัน
ขั้วแรกคืองานประจำวัน ซึ่งจะต้องตามดูทุกๆจุดว่าการทำงานเป็นไปด้วยดีหรือไม่ การทำงานในโรงแยกแก๊ส ก็เหมือนกับการก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมัน ช่างที่ทำงานนำหน้าคือช่างประกอบท่อ เรียกว่า "Pipe **r" เมื่อช่างประกอบท่อเข้าหน้าได้แล้ว ช่างเชื่อม "Welder" ก็จะเข้าประจำที่ลงมือเชื่อม
ช่างเหล่านี้ มาจากเหนือและอีสาน ลูกมือจำนวนหนึ่ง ได้แก่หนุ่มสาวจากท้องถิ่น ผมบอกกับคีย์แมนโทนว่า ช่างเชื่อมประเภทนี้ รายได้ดี จ้างชั่วโมงละ ๙๒ บาทยังไม่ยอมมากันเลย วันหนึ่งทำงาน ๑๐ ชั่วโมง ได้เงินมากถึง ๑,๐๑๒ บาทเชียวนะโทน ตอนพักเที่ยง โทนขอซ้อมมือกับช่างเขาสิ...สร้างโอกาสให้แก่ตนเอง...โทนได้ยินด้วยความดีใจ
ผมจัดการให้โทนเข้าไปเป็นกรรมกรแผนกช่างเชื่อม จะได้มีโอกาสเรียนงาน
ในกลุ่มหนุ่มสาวจากใต้ มีคุณหนูคนหนึ่งที่ผมสอบสัมภาษณ์เธอ เธอจบปริญญาตรีภาษามาเลเซียจากกัวลาลัมเปอร์ บรรจุเข้าทำงานควบคุมข้อมูลวัสดุ (Material Control) นี้ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่มีความเข้าใจสภาพและปัญหารอบตัว แต่เธอเงียบและเก็บอารมณ์ได้ในทุกสถานการณ์
ใจของผมในขั้วของงาน ดำเนินไปตามปกติ
แต่อีกขั้วหนึ่งเป็นเรื่องชวนให้ครุ่นคิด ทำงานอยู่ก็คิด คิดแตกต่างไปจากทุกคนที่ทำงานด้วยกัน พรรคพวกที่ทำงานอยู่ในโรงแยกแก๊ส เมื่อเข้าประชุมจะส่งเสียงทักทาย ด้วยอารมณ์ขันบ้าง หยอกเย้ากันบ้าง หรือไม่ก็บ่นไม่อยากอยู่ อยู่ไปไม่รู้ว่าจะถูกฆ่าตายวันไหน แต่สรุปแล้ว เชื่อว่าไม่มีใครคิดที่จะเอาเรื่องภาคใต้ไปวิพากย์วิจารณ์
ผมกลับเป็นคนคิดอยู่ตลอดเวลา คิดว่าเย็นนี้จะเขียนเรื่องอะไรให้หนังสือพิมพ์บ้านเมือง คิดแล้วก็แปลกใจ มีเรื่องรอให้เขียนมากมายหลายประเด็น ล้วนแล้วแต่น่าเขียนถึง แต่ผมก็ต้องระวังอย่างยิ่ง ไม่ให้พวกโจรรู้ว่าผมทำอยู่โรงแยกแก๊ส
ผมลำดับเรื่องความเข้าใจเรื่องปัญหา ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้มาตรฐานนอกตำราแล้ว ผมก็ถามเข้าหาข้อเท็จจริงว่า ความเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับชายแดนภาคใต้ครั้งนี้ มันเป็นในตำราไหม ผมนึกถึงคนที่เป็นพระเอกของผมคือ คีย์แมนโทนอีกเช่นเคย
ผมถามคีย์แมนโทนอีกครั้งว่า "ถามจริงๆเถอะโทน...โทนมีความรู้เรื่องปัตตานีบ้างหรือเปล่า..."โทนตอบว่า "รู้ซิ รู้เพราะเขาสอนเมียผม...เมียผมสอนผมต่อ"...หลังจากนั้น ผมได้ขอโอกาสให้โทนเล่าหรือสอนผมอีกต่อ...
คราวนี้ ความรู้ปัตตานีดูจะเข้าตำรามากขึ้น
โทนเริ่มว่า...นานมาแล้ว ปัตตานีเป็นเมืองเอกราข มีขอบเขตเชื่อมติดต่อกับผืนแผ่นดินสยามทางตอนเหนือ และมีขอบเขตติดกับมลายูทางตอนใต้ ชาวปัตตานีเป็นเชื้อสายเดียวกันกับมลายูในประเทศมาเลเซีย นับถือศาสนาอิสลามด้วยกัน มีสัทธิประเพณีเหมือนกันแต่ภาษาพูดจะแตกต่างบ้างเล็กน้อย ปัตตานีใช้ภาษายาวี มีตัวหนังสือเป็นของตัวเอง แต่ชาวมลายูในประเทศมาเลเซีย ใช้ตัวหนังสืออังกฤษ เนื่องจากถูกพวกล่าเมืองขึ้นทำลายตัวอักษรดั้งเดิม บังคับให้ใช้อักษรอังกฤษแทน
ในประเทศมาเลเซียมีสุลต่าน ๕ วงค์ แต่ละวงศ์จะได้ขึ้นครองเป็นกษัตริย์คราวละ ๕ ปี
ปัตตานีก็เคยมีสุลต่านเป็นของชาวปัตตานีเอง สุลต่านไม่มีเหลืออยู่ในประเทศไทย พวกที่ต้องการให้มีสุลต่าน จึงได้ประกาศจัดตั้งรัฐปัตตานี ที่พวกเรารู้กันในนามของ
พูโตนั่นแหละ พวกพูโตได้ต่อสู้มายาวนาน เคยก่อกบฎ มีการล้มตายสูญเสียกันมาแล้ว
คนปัตตานีทุกคนยังไม่เลิกล้มความตั้งใจที่จะเอาสุลต่านกลับมาให้ได้
ผมถามโทนว่า แล้วทำไมจะต้องฆ่าพุทธ ฆ่าพระด้วยเล่า
โทนบอกว่า การฆ่าพุทธ ฆ่าพระ มันเป็นมาตรการที่จะบีบบังคับเอาชนะรัฐบาล มาตรการที่สำคัญพวกนั้น ต้องท่องจำให้ขึ้นใจ
ห้ามรักคนไทย ห้ามเรียนภาษาไทย ถึงพูดไทยได้ ก็อย่าใช้พร่ำเพรื่อ ห้ามร้องเพลงชาติไทย ห้ามไม่ให้ความร่วมมือกับคนไทย ไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ หรือข้าราชการ
ต้องสนับสนุนลูกหลานให้เรียนคัมภีร์ เรียนภาษายาวี ต่งตัวตามแบบฉบับของอิสลาม ทำตามคำสอนของศาสดา
เคร่งครัดในศาสนาของอิสลาม
ห้ามให้การสนับสนุนศาสนาอื่น
โดยเฉพาะคือ ห้ามช่วยเหลือศาสนาพุทธ
กดดันชาวพุทธให้อยู่ด้วยไม่ได้
ถ้ากดดันแล้วยังดื้อดึง ในที่สุดก็ต้องฆ่า
แม้แต่พระก็ต้องฆ่า
การฆ่าต้องปาดคอ...สับหัวให้เละ เชือดเนื้อหนังเป็นชิ้น แล้วเอาอุจจาระทา
ทำให้พุทธเห็นว่าจะทนอยู่ต่อไปได้ ให้มันรู้ไป
พวกนักรบน้อยใหญ่ บางคนจบมาจากต่างประเทศ จบวิชาก่อวินาศกรรม มีความรู้ในการผลิตระเบิดแสวงเครื่อง ระเบิดมือถือ มีความรู้ในการใช้อาวุธ เก่งและกล้าหาญหาตัวจับยาก นักรบทุกคนต้องสาบานตนเป็นนักรบของพระเจ้า
อีกพวกหนึ่งฝึกอบรมในป่า หรือฝึกที่สนามโรงเรีบนปอเนาะในหมู่บ้าน ฝีกใด้อย่างเปิดเผย เพราะไม่มีพวกเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าถึง คนในหมู่บ้านก็ไม่มีใครกล้าเอาความไปบอก คนสองพวกนี้ทำงานด้วยกัน
โทนบอกว่ามีกองกำลังกระจัดกระจายทั่ว ๓ จังหวัดมากกว่า ๗๐๐๐ คน
ผมถามอีกว่า ใครเป็นหัวหน้าใหญ่...โทนบอกว่า เยอะแยะ...หัวหน้ามีมากกว่า ๒๕ คน คนหนึ่งชื่อ "ดอเยาะ.." อีกคนหนึ่งชื่อ "สะแปอิง" และอีกหลายคนหลายชื่อ ซึ่งเป็นทั้งชื่อจริงและชือจัดตั้ง แต่จะมีอย่างน้อย ๓ คน เป็นจอมบงการใหญ่ !!
จะชื่อไหนก็ตาม ทุกคนทำงานด้วยตัวเอง เรียกว่าตัวจริงเสียงจริง แถมมีผู้หญิงเป็นมือฆ่าอันดับหนึ่ง เหนี่ยวไกปืนแม่นยำเหมือนจับวาง โหดและห้าวหาญยิ่งกว่าผู้ชายเสียอีก
"โทนเป็นคนนอกมาเป็นเขย ไม่คิดว่าเขาจะระแวงดอกหรือ" ...ผมถาม
โทนตอบว่า "ตลอดปีตลอดชาติ ผมอยู่กับครอบครัว ไม่เคยเข้าใกล้ทหาร ตำรวจ ไม่ไปหาข้าราชการ เพิ่งจะมาทำงานนี้แหละเป็นครั้งแรกของชีวิต มาทำงานแล้วผมก็ต้องหลีกให้ไกลจากพวกทหาร ตำรวจ ไม่สุงสิงกับใครทั้งสิ้น...นี่...ถ้าไม่ช่นายหัวสอาด จันทร์ดี ผมไม่คิดว่าจะได้เล่าเรื่องแบบนี้ให้ใครฟัง..."
ผมถอนหายใจด้วยความรู้สึกอึดอัดโดยไม่รู้ตัว
ผมถามอีกว่า..."โทน...โทนคิดว่านักรบทุกคน เป็นหนุ่มสาวชาวบ้านเท่านั้นหรือ...? ถามแล้วผมก็นั่งรออยู่ว่าเขาจะตอบว่าอย่างไร โทนมองดูหน้าผม ถามผมว่า ทำไมจึงอยากรู้มากนัก โทน...นี้มันบ้านเมืองของเรา เราอยากรู้ โทนไม่ได้รู้สึกตกใจดอกหรือ ฆ่ารายวัน พระเณรถูกสังหารโหด... ทหาร ตำรวจ ตายเป็นใบไม้ร่วง
โทนมีอาการเศร้า...เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่ง่ จึงพูดออกมา
"ข่าวว่า จะมีนักรบรับจ้างมาจากอินโดนีเซีย" แล้วเสริมว่า "จะมีหัวหน้าใหญ่มาจากฝั้งโน้น..."
ผมมึนตึบ...นึกไม่ถึงว่าจะได้ยินเรื่องราวแบบนี้ จึงได้แต่กล่าวขอบคุณเขา ที่เขาเล่าความลับให้ฟัง เมื่อได้ยินเช่นนั้นแล้ว จิตของผมหงุดหงิด คิดไปต่างๆนานาว่า ทำไมหน่วยข่าวกรองจึงไม่รู้ หรือว่ารู้แล้ว มันช่างน่าแปลกเป็นอย่างยิ่ง
ผมเปิดดูบันทึกเก่าๆที่ผมถือติดตัวมาอ่านตรวจสอบ
เหตุร้ายที่ ๓ ชายแดนภาคใต้เกิดมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งจะเกิด ตัวอย่างเช่น ตัวเลขความเสียหายย้อนอดีต ตั้งแต่เดือนเมษายน ๒๕๑๒ ถึงเดือนพฤษภาคม ๒๕๑๗ รวมเป็นเวลาเพียง ๕ ปี มีคดีก่อการร้ายเกิดขึ้น ๗๘๐ ครั้ง
เจ้าหน้าทีถูกฆ่าตาย ๕๓ คน บาดเจ็บ ๑๒๐ คน
ราษฏรถูกฆ่าตาย ๓๗๕ คน บาดเจ็บ ๑๒๗ คน
ราษฏรถูกจับตัวเรียกค่าไถ่ ๑๐๒ คน
คนร้ายถูกเจ้าหน้าที่ปราบปราม-ตาย ๒๗๕ คน บาดเจ็บ ๑๓๗ คน
นี้เป็นตัวเลขย้อนอดีต...ที่ยังไม่รวมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง มาจนถึงยุค จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ถ้ารวมตัวเลขกับอดีตเข้าไป การเข่นฆ่าราวีได้มีมาก่อนบนตัวเลขความสูญเสียที่น่าสยองใจ
หลังจากปี ๒๕๑๗ เป็นต้นมา...เหตุร้ายไม่เคยเงียบ แต่ด้วยความจำเจซ้ำซาก ได้ทำให้เรื่องราวถูกกลบเกลื่อน กอรปกับฝ่ายรัฐบาลเองก็ต้องการให้เรื่องไม่อยู่ในความสนใจของประชาชน จึงพากันปล่อยให้เป็นคลื่นกระทบฝั่ง แต่บนสถานการณ์ "คลื่นกระทบฝั่ง"ดังกล่าว ได้เกิดกระบวนการต่อสู้อย่างเข้มข้น แหลมคม....มากไปกว่าเดิมมากมายนัก
ที่แหลมคมมากที่สุด ได้แก่การสร้างนักการเมืองเป็นปากเป็นเสียงต่อสู้แทน ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับรัฐสภาของประเทศ
ในเวลาเดียวกัน ก็ได้ขอทุนสนับสนุนจากต่างประเทศ มีโครงสร้างที่เป็นตัวแม่บทเกิดขึ้นอย่างเต็มกระบวน เช่นการวางตัวผู้นำรัฐปัตตานี วางตัวคณะรัฐมนตรีเงา ป่าวประกาศแก่ชาวยาวีให้รับรู้เอาไว้แต่เนิ่นๆ ว่าถ้าชนะขึ้นมา จะได้ใครมาเป็นผู้รับผิดชอบกองทัพเรือ ทัพบก...และอื่นๆ ที่รัฐปัตตานีจะต้องมี
สิ่งเหล่านี้...ไม่ได้เป็นความลับในหมู่ของชาวยาวี
แต่แปลกใจนัก รัฐบาลไทยไม่ระแคะระคายเลย
.....โปรดอ่านต่อ ตอนจบของ บทที่ ๔