บ่น
ตาทึบ
ตรงขอบฟ้าสุดสายตาหากเรารู้ว่ามีใครคนหนึ่งรออยู่....นั่นหมายถึงว่าทำให้เราอยากมีชีวิตที่จะดิ้นรนเพื่อไปให้ถึง......แต่ตอนนี้ทำได้เพียงแค่ว่าอยากมีชีวิตเพื่อที่จะอยู่พบกับวันนั้น..วันที่เวลา โอกาส อิสระภาพ เป็นของเรา .... ไม่ต้องมาคอยตอบคำถามที่ว่า... ไปไหน ....ไปทำไม... เพราะอะไรถึงไป.... ไร้สาระ ... คงลืมไปซิว่าแต่ละคนมีความคิดเป็นของตัวเอง.....มีเหตุผลของตัวเอง....ซึ่งเหตุผลของคนคนหนึ่งอาจดีที่สุดสำหรับเขาแต่อาจไม่ดีเลยสำหรับคุณ....ทำไมต้องเอาความคิดของตัวเองมาตัดสินเหตุผลของคนอื่นด้วย.....ไม่มีใครหรอกนะที่อยากให้ใครมาเป็นเจ้าชีวิต....ใครที่เป็นแบบนี้ให้ลองกลับไปตรึกตรองอีกครั้ง........ว่า..............ตัวเองเป็นแบบนี้หรือปล่าว............ถ้าคิดว่าตัวเองอยู่ในข่ายแบบนี้ให้คิดเสียใหม่.........กลับไปให้อิสระกับคนที่คุณคุมขังเขาอยู่ให้เค๊าได้หายใจบ้างปล่อยเค๊าบ้างก็ดีในบางครั้ง..........แล้วคุณจะได้ไม่ต้องเจอกับการทรยศที่คุณเองไม่รู้ตัวแบบนี้..........อยากจะบอกให้คนที่เอาแต่ใจตัวเองทุกคนว่า..."ความรักหนะมันคือการที่เห็นคนที่คุณรักมีความสุขไม่ใช่ความรักคือการที่ทำให้ตัวเองมีความสุขหรอกนะ"......คุณอาจจะถามนะว่าแล้วตัวเองจะหาความสุขได้อย่างไร.......ถึงตรงนี้ผู้เขียนก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าคุณจะไปหาได้จากอะไร.......ใครหาทางออกให้ผู้เขียนหน่อยซิ.....
.........แต่วันนี้รู้สึกสบายใจนะได้คุยกับคนที่ยอมเสียความเป็นตัวของตัวเองแล้วมารับฟังเรื่องราวบ้าบอของคนคนหนึ่งที่เหมือนจะไร้สาระแต่ก็ยอมรับฟัง....ขอบคุณคนที่รับฟังมากนะ......
ขอบฟ้าในฝันของเธอใช่ว่าไกลแสนไกล
แค่เพียงเส้นเล็กๆ บางๆ ที่ขีดอยู่ตรงหน้า
กั้นระหว่างความอิสระกับการถูกจองจำ
กั้นระหว่างปีกเบาบางกับพันธะของเวลา
เพียงแต่ก้าวที่จะข้ามต้องเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่
ก้าวที่มีพลังของความเข็มแข้งเต็มหัวใจ
ก้าวที่ไร้พันธะของการถูกกล่าวหาว่าทอดทิ้ง
เพราะเป็นถนนที่ไร้เส้นทางถอยกลับ
เพียงวันนี้ใจที่แอบเล็ดลอดออกมาในบางครั้ง
เพียงเพื่อสะสมและเติมเต็มให้กายได้ต่อสู้
เพื่อเยี่ยมเยือนสถานที่ที่จะอยู่จนแนบเนา
และออกมาจูบรับสัมผัสของกลิ่นอายขอบฟ้า
เมื่อวันที่มงกุฏได้โดนถอดวาง พันธะไม่ติดค้าง
แม้นจะสิ้นไปพร้อมเรี่ยวแรงของความเข็มแข้ง
แต่จะไม่ลืมปีกและก้าวที่เดินข้ามเส้นห่งเสรีภาพ
วันนั้น .จะได้เห็นรอยยิ้มที่สวยที่สุดในรอบหลายปีจากเธอ