::นครต้นแบบและประเทศของเรา:: ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์ 22 เมษายน 2550 (เคยเผยแพร่ในpraphansarn.com) ผู้นำคนใหม่ของเราเชิญเยาวชนที่ได้รับการคัดเลือกจากทุกภาคเดินทางไปศึกษาดูงานต้นแบบประชาธิปไตยที่จังหวัดภูพานวง จังหวัดเกิดใหม่ของนครเขื่อนขันธ์บ้านใกล้เรือนเคียงของเรา วันแรกที่ไปถึง ผู้นำของนครเขื่อนขันธ์ชวนพวกเราไปเยี่ยมโรงเรียนในชนบทห่างไกล ไม่อยากเชื่อสายตาเลยครับว่าโรงเรียนที่อยู่ตามขอบประเทศเช่นนั้นจะมีครูและเครื่องไม้เครื่องมือในการเรียนการสอนทันสมัยแบบนั้น เครื่องไม้เครื่องมือพวกนี้ ส่วนใหญ่ผลิตเองภายในประเทศครับ เราสนับสนุนให้บริษัทต่างๆผลิตสินค้าด้านการศึกษาเพื่อขายไปทั่วโลก ประเทศของท่านก็เป็นประเทศหนึ่งที่มีความสัมพันธ์ทางการค้าต่อกันอย่างดี เราแทบจะไม่ต้องตั้งคำถามอะไรเลยครับ ที่เราคิดจะถามเขาเป็นคนตอบก่อนทั้งนั้น ราวเดาใจพวกเราออก เพื่อนที่ไปด้วยกันพูดว่า เขาคงรู้จักประเทศของเรา หรือไม่ก็รู้ข้อมูลของเราจนพรุนไปหมดแล้ว จึงรู้แม้กระทั่งคำถามที่เราจะถาม เราถือว่าผู้คนพลเมืองคือผู้ที่สำคัญที่สุด คนที่มีความใฝ่รู้และมีสติปัญญาจะเป็นผู้ดำรงประเทศไปสู่ความผาสุกยิ่งขึ้น ระบบการศึกษาของเราจึงเอาอุดมคติของประเทศเป็นสำคัญ ผู้นำของนครเขื่อนขันธ์ เปิดโอกาสให้เราได้พูดคุยกับนักเรียนในโรงเรียน ครู ผู้ปกครองและผู้บริหารโรงเรียนอย่างเต็มที่ ทำให้เราได้ทราบว่า ผู้บริหารและครูหลายคนเคยเข้ามาศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกในประเทศของเรา และรู้ว่าครูกับผู้ปกครองมีความคิดความเห็นเกี่ยวกับการศึกษาของประเทศในระดับที่ใกล้เคียงกันมาก ส่วนนักเรียนแต่ละคนนั้นแววตาของเขามีแต่ความกระหายใคร่รู้และอยากมีส่วนช่วยพัฒนาประเทศ คำพูดที่แต่ละคนพูดมีพลังอย่างวิเศษที่จะเสียสละเพื่อคนรุ่นต่อไป เมื่อดูโรงเรียนชนบทแล้วเราจะพาพวกท่านไปดูโรงเรียนในเมืองกันครับ เราใช้เวลาอยู่ที่โรงเรียนชนบทถึงสามวันครับ กินและนอนอยู่ในนั้นกับครู นักเรียนและผู้ปกครองของเขา เรารู้สึกว่าเราเองมีพลังขึ้นอย่างประหลาดที่จะทำอย่างนั้นบ้างต่อสังคมของเราเองและต่อคนรุ่นต่อไป ทุกคนมีไฟสร้างสรรค์เช่นนั้นเหมือนกันตลอดเวลาที่อยู่ที่นั่น โรงเรียนในเมืองของเราแทบจะไม่แตกต่างจากโรงเรียนในชนบทครับ ชนบทมีนักคิด ในเมืองก็มีนักคิด ชนบทมีนักประดิษฐ์ ในเมืองก็มีนักประดิษฐ์ สังคมเมืองและสังคมชนบทมีความต้องการแทบไม่แตกต่างกัน แต่อาจจะแตกต่างบ้างตรงที่ ในเมืองเราผลิตคนระดับหัวสมองเพื่อออกไปทำงานต่างประเทศในระดับอินเตอร์ฯ โดยตรง พลังสมองเหล่านี้จะทำให้เราพัฒนาประเทศได้ไวขึ้น ประสานงานกับมิตรประเทศได้ง่ายขึ้นโดยอาศัยเครือข่ายของงาน เราไม่เคยหากินง่าย ๆ กับมิตรประเทศนะครับ ส่วนมากเราเป็นฝ่ายแบ่งปันความรู้ มากกว่าที่จะขายทุกอย่างเพื่อเงิน สิ่งที่ปรากฏต่อตาของเราไม่ต่างจากที่เราเห็นในประเทศของเรา สิ่งที่ต่างคือสิ่งที่เราสงสัย สิ่งนั้นคือทำไมจึงแทบจะไม่มีช่องว่างระหว่างวัยระหว่างผู้สูงอายุกับคนรุ่นหนุ่มสาวและเด็ก เราเห็นคนต่างวัยทำงานวิจัยและพัฒนาองค์ความรอบรู้ร่วมกัน เห็นการสนับสนุนที่เข้มข้นของรัฐบาลต่อเขาเหล่านั้นให้ทำงานอย่างมีความสุข คนทำงานยิ้มแย้มแจ่มใสราวกับคนในครอบครัวเดียวกัน ทำเพื่อครอบครัวของตนเองด้วยกัน ครอบครัวก็คือประเทศครับ ในเมื่อเราถือเป้าหมายใหญ่ร่วมกัน จึงไม่ต้องเหยียบครอบครัวอื่นลงเพื่อจะให้ครอบครัวของตนมั่งคั่งมากกว่า ท่านผู้นำเฉลยคำตอบให้เราจนได้ในการสรุปการดูงานโรงเรียนในเขตเมือง รายได้ของเราส่วนใหญ่มาจากสินค้าเทคโนโลยีด้านการศึกษาครับ คงจะผิดจากประเทศของคุณที่มีรายได้ส่วนใหญ่จากการที่พลเมืองแข่งกันโทรศัพท์ไร้สาระ เอ่อขอโทษนะครับผมเป็นคนที่พูดตรงมาไปซักหน่อย ต้องขออภัยท่านผู้นำด้วย ความจริงเราเคยเรียนที่ฮาร์วาร์ดมาด้วยกัน ซี๊กันมาก ผมรู้ว่าท่านใจกว้างและไม่โกรธ ผู้นำของเรายิ้ม ๆ ทั้งสองคนยักคิ้วให้กันแบบเป็นที่เข้าใจ พวกเราดีใจที่ผู้นำของเรามีบุคลิกสุขุมเช่นเดียวกัน ไม่ใช่คนเจ้าอารมณ์หรือเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายแบบผู้นำบางประเทศ หลังจากดูโรงเรียนแล้วผมอยากให้พวกท่านไปดูท้องนาบ้าง สนใจไหมครับ ผมเดาใจพวกท่านไม่ถูกนะ เพราะเห็นส่งข้าวเป็นสินค้าออกเป็นอันดับหนึ่งของโลก แต่คนไม่มีข้าวกินก็เยอะ อ๋อ จะดูใช่ไหมครับ งั้นก็เลือกเลยครับว่าจะดูภาคเหนือ หรือใต้ ตะวันออก หรือตะวันตก ผู้นำของเราถามพวกเรา คำตอบที่ได้ตรงกันราวนัดก็คือไปดูทุกที่ที่ไปได้ เราจึงได้ไปดูการปลูกพืชแบบไม่ใช้ปุ๋ยเคมีของภาคตะวันออก และดูการเกษตรแบบไม่ไถพรวนของภาคตะวันตก ดูการเลี้ยงสัตว์ควบกับป่าของภาคใต้ เกษตรเพื่อศิลปหัตถกรรมของภาคเหนือ เราได้พบว่าทุกภาคมีเกษตรพื้นฐานคือเกษตรที่ตองสนองอาหารการกิน คือข้าวปลา พืชผักผลไม้ หรือสัตว์ที่ใช้เนื้อเป็นอาหาร ทำให้ทุกคนไม่อดอาหาร ไม่เป็นโรคขาดอาหาร สิ่งที่แต่ละภาคทำเหมือนเป็นเอกลักษณ์แต่ความจริงคือความสอดคล้องกับดินฟ้าอากาศและเป้าหมายของท้องถิ่นและประเทศบนพื้นฐานของความรู้และเทคโนโลยีความรู้ที่ประชาชนรู้จักเข้าใจและใช้จนเป็นธรรมดาเป็นธรรมชาติโดยไม่มีการผูกขาดไว้กับบางชั้นของคนหรือบางชนชั้นแบบบางประเทศ เราไม่เคยอดข้าว และเรารู้ด้วยว่าข้าวไม่ใช่แค่กินได้ ข้าวคือพลังที่ไม่สิ้นสุด นั่นเป็นคำพูดของคนกินข้าวเป็นอาหารหลักคนหนึ่ง เขาปลูกข้าวและเป็นนักศึกษาการแปรรูปผลผลิตระดับเชี่ยวชาญ ที่ท้องนาและชุมชนรอบท้องนาเราได้ผู้นำของประเทศพูดคุยกับพลเมืองของท่านอย่างกับเป็นอาว์เป็นลุงกัน ไม่ใช่การเสแสร้งตีหน้าออกทีวีแบบผู้นำบางประเทศที่แสดงออกต่อพลเมืองของตนราวเขาคือผู้ขอและผู้อาศัยอยู่เพื่อขอเศษทานจากผู้นำเพื่อเลี้ยงชีวิตชั่วอายุขัยหนึ่ง หลังจากดูท้องนามีที่ที่น่าจะไปอีกคือ ป่าเขาและทะเล พวกท่านสนใจไหม ผมอาจจะเดาใจท่านผิดก็ได้ ผมรู้ว่าประเทศของท่านผลิตไม้เพื่อส่งออกและจับปลาทะเลเพื่อการค้าอย่างเป็นล่ำเป็นสัน คำตอบของพวกเราก็คือไป เราต้องการที่จะไป เพื่อดูว่าอะไรที่ทำให้ป่าไม้ของประเทศนี้สวยงาม น้ำท่าอุดม ฤดูกาลไม่วิปริต และเหตุใดทะเลของเขาจึงชุกชุมไปด้วยปลาหลากสปีชี่ส์ หมึกและหอยมีมากจนสามารถเอื้อมือไปหยิบจับทักทายได้ในราตรีที่เดือนเพ็ญกล่อมฟ้า แล้วเราก็ได้เข้าใจความจริงที่เราก็เคยคิด คำตอบนั้นคล้ายกับคำตอบของชาวนา คือเมื่อไม่ต้องขายสินค้าวัตถุดิบ แต่ขายสินค้าแปรรูป ต้นทุนที่จะไปขุดเอาจากธรรมชาติก็ลดอัตราการทำลายของมันลงไป นครสารขันธ์ขายสินค้าหลักคือเทคโนโลยีความรู้ ดังนั้นธรรมชาติป่าเขา ทะเล ทุ่งนา น้ำฟ้าอากาศล้วนเป็นสิ่งที่สืบเสาะมาเพื่อขายเป็นความรู้ได้ไม่รู้จักจบสิ้น พวกเราเห็นตรงกันว่า พลเมืองของประเทศนี้ผ่านจากยุคของแย่งชิง มาสู่ยุคร่วมมือและเผื่อแผ่ สิ่งที่เขาขายคือความรู้ไม่ใช่ทรัพยากรธรรมชาติที่มีแต่ใช้แล้วหมดไป นี่เป็นสิ่งที่ประเทศของเรายังห่างเขาอีกหลาย การดูงานหนนี้ของพวกเราเป็นหนที่ผู้นำและคนดูงานพูดกันน้อยมาก ทุกคนพยามที่จะเก็บรับถ้อยคำอันพลเมืองประเทศนั้นคิดจนตกผลึกแล้วมาไว้ในห้วงนึกคิด เรารู้ว่าอกของแต่ละคนอัดแน่นแล้วด้วยคำถามต่อประเทศของตน ว่าจะเอาอย่างไร จะเป็นอย่างไร จะทำอย่างไร ท่านผู้นำมีอะไรจะพูดถึงพวกเราไหม ชาวบ้านคนหนึ่งถามเมื่อถึงกำหนดวันสุดท้ายของการดูงานนครสารขันธ์ มีครับ ผมรู้สึกชื่นชมพวกท่านและประเทศของท่านที่ช่วยกันออกแบบสังคมให้น่าอยู่ ผมอยากอยู่ในประเทศเช่นประเทศของท่าน และมีความสุขอย่างท่าน.. ดูเหมือนท่านผู้นำมีอาการเหมือนคนตื้นตันใจ หรือไม่ก็จุกอกคับใจ ท่านเหลือบดูนาฬิกาข้อมือที่เป็นทีวีจิ๋วด้วย ท่านอยากพูดต่อแต่สีหน้าของท่านเปลี่ยนเป็นซีดเผือดเหมือนคนที่เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ รายงานข่าวของสถานีโทรทัศน์แห่งนครเขื่อนขันธ์ช่วง นิวส์เบรก รายงานว่า ได้เกิดการยึดอำนาจขึ้นที่ประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงกับนครเขื่อนขันธ์ คณะยึดอำนาจได้ทำการควบคุมสถานการณ์ความไม่เรียบร้อยไว้ได้แล้วโดยไม่มีการเสียเลือดเนื้อ คณะผู้รักษาความเรียบร้อยจะรีบออกกฎหมายสูงสุดโดยเร็ว เพื่อให้ประชาธิปไตยเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ความคืบหน้า จะมีการรายงานเป็นระยะ ซักครู่เดียวท่านผู้นำของเราก็มีสีหน้าเป็นปกติอีกครั้ง แต่ก็ทุดลงนั่งอย่างคนเหนื่อยล้ามาค่อนชีวิต ผู้ดูแลเราของนครสารขันธ์เข้ามาดูแลท่านผู้นำทันท่วงที ท่านว่าไม่เป็นอะไรมาก คณะดูงานไม่มีใครไม่เหนื่อย เราพึมพำออกมาคล้ายกันว่า สำหรับประเทศของเรา คงอีกนานกว่าจะออกแบบประเทศกันได้ เหตุผลเพราะอะไร เมื่อกลับไปประเทศอาจจะได้พูดคุยกันถ้าไม่มีใครโดนอุ้มเสียก่อน
23 เมษายน 2550 00:03 น. - comment id 95760
... อ่านแล้วค่ะ ยาวจัง แต่ก็อ่านจนจบคะ จริงๆ นับถือๆ เขียนเก่งจังค่ะ..
23 เมษายน 2550 00:06 น. - comment id 95761
สวัสดีครับคุณฉางน้อย ขอบคุณมากครับที่เข้ามาพูดคุยด้วย ผมเพิ่งตื่นขึ้นมาโพสต์นะครับ ขอคำแนะนำจากคุณด้วย เพราะผมกำลังฝึกเขียน คืออยากเป็นนักเขียนน่ะครับ
23 เมษายน 2550 00:26 น. - comment id 95763
........เง้อออออออ....ม่ะอาววววว อิอิ ข้าผู้น้อย มิอาจให้คำแนะนำกะใครได้คะ คุณก่อพงษ์คะ ... ฉางน้อยอาจเป็นนักอ่าน (ที่ดี) ได้มั้งคะ แต่ฉางน้อยเป็นนักเขียนที่ดีไม่ได้หรอกคะ ที่ผ่านๆมา ฉางน้อยก็เขียนเรื่องไร้สาระ ไม่ค่อยมีแก่นสารสักเท่าไหร่นัก คุณขอคำแนะนำผิดคนแล้วค่ะ ฮี่ ฮี่ ฉางน้อยต่างหากคะ ต้องขอดื่มสักจอกให้ศิษย์พี่ ......ทั่นพี่ รับข้าเป็นศืษย์ด้วยเถิด ฮี่ ฮี่ อ่ะๆๆ .....จอกที่ 1 เพื่อศืษย์พี่ จอกที่ 2 เพื่อศืษย์น้อง จอกที่ 3 .....มาววววว เอิ๊กกกกกส์....
23 เมษายน 2550 00:32 น. - comment id 95765
ฮ่าๆ คุณฉางน้อยนิยมเมรัยด้วยหรือครับ ผมกินไม่ค่อยได้นะครับ อย่างมากก็แค่วันละกรึ๊บก่อนกินข้าว เท่านั้น นอกนั้นไม่แตะเลย เว้นแต่ขัดใจเพื่อนไม่ได้ ก็จิบบาง ๆ ร่างกายรับLกฮไม่ค่อยได้ครับ ฮา
23 เมษายน 2550 00:41 น. - comment id 95768
4............น้านนนนนนนนน ว่าแล้วไง ฉางน้อยแค่เขียนแซวคุณก่อพงษ์ต่างหากคะ ในชีวิตนี้ไม่เคยดื่มคะ เครื่องดื่มสุราเมรัย ดื่มแต่น้ำแดง แฟนต้า 55555 เพื่อนๆแซวว่า เป็นกุมารทองหรือไง ถึงได้ดื่มแต่น้ำแดง อิอิ ....... ดีแล้วคะ ที่คุณไม่นิยมดื่มสิ่งของพวกนี้ หาน้อยคนนักที่จะลด ละ เลิก สิ่งเหล่านี้ได้ ....นับถือๆ อ่ะๆๆ อีกสักจอกซิคะทั่นศิษย์พี่ อ๊าววววววว...... ฮี่ ฮี่ ลืมตัวๆๆ อีกแระเรา 55555
23 เมษายน 2550 00:46 น. - comment id 95769
ฮ่าๆ ผมเพิ่งรู้จากคุณฉางน้อยครับว่า กุมารทองชอบน้ำแดง จะจำไว้เขียนเรื่องสั้นเรื่องต่อ ๆ ไปนะครับ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ งั้น โปรดรับการคาระจากศิษย์ผู้พี่ หนึ่งจอก
23 เมษายน 2550 00:53 น. - comment id 95771
6.........555555555 ในที่สุด ศิษย์พี่ก็หลวมตัวรับคารวะจากศิษย์น้องแระ อ๊าววววว จอกที่ 1 ......กรึ๊บ กะ ระ รึ๊บ กรึ๊บๆ ........ม่ายมาว ม่ายเลิก เอิ๊กกกส์ .... ( หน้าเริ่มแดงแระ เห็นป่ะคะ ) .ปล. 1 .....กุมารทอง ชอบน้ำแดงคะ ปล. 2 ....กุมารจีน ชอบน้ำเงี้ยว อิอิ ( ล้อเล่งๆน๊าคะ )
23 เมษายน 2550 00:55 น. - comment id 95772
ฮ่า ๆ ศิษย์ผู้พี่ขอตัวไปนอนล่ะครับ คงนอนยิ้มไปจนกว่าจะหลับ ขอบคุณมาก ราตรีสวัสดิ์ครับผม
23 เมษายน 2550 01:03 น. - comment id 95774
..... ราตรีสวัสดิ์ค่ะ คุณก่อพงษ์ แล้วอย่านอนยิ้มค้างแบบนี้นะคะ เดี๋ยวคนนอนเคียงข้างจะตกใจหล่นจากเขียง เอ๊ย หล่นจาก เตียง ฮี่ ฮี่
23 เมษายน 2550 16:55 น. - comment id 95784
ไม่เป็นไรดอกครับ