นิทานข้างห้อง...นอน (ตอน ครั้งแรกของเรา 2)
ชมพูภูคา J.
ครั้งแรกของเรา
น่าจะนับย้อนไปสักตอน 8 หรือ 9 ขวบ
ตอนที่พอจะรู้เรื่องรู้ราว และรู้ว่าใครคนนั้น คนที่เรียกได้ว่า
เป็นเพื่อนบ้าน ก่อนจะพัฒนามาเป็นเพื่อนเล่น เพื่อนร่วมโรงเรียน
เพื่อนกิน เพื่อนนอน จนกระทั่งเป็นเพื่อนตายในที่สุด
เพื่อนชนิดสุดท้ายนี้มารู้ทีหลัง หากไม่ไช่ตอนที่ตายไปแล้วหรอกนะ
บ้านเราอยู่ติดกัน ไม่ใช่รั้วติดกัน เพราะบ้านเราสองคนไม่มีรั้วกั้นกลาง
มันเป็นบ้านที่ติดกันเป็นผนังเดียวจริงๆ
และถ้าพ่อกับแม่จะช่วยเจาะ ผนังบ้านด้านนั้น
มันก็จะทะลุกลายเป็นหน้าต่าง หรือ ประตูก็ได้ แล้วแต่ขนาดที่เจาะ
อ้อ...แล้วเราสองคนก็จะวิ่งหากันได้สะดวกขึ้น
ไม่ต้องคอยเดินอ้อมออกจากห้องนอนมาที่ระเบียง
ซึ่งมันน่าปวดหัว แล้วก็สิ้นเปลืองพละกำลังมากในการไปมาแต่ละที
ที่สำคัญห้องนอนเล็ก ๆ ของฉันกับเธอ จะแปรเปลี่ยนเป็นห้องนอนใหญ่ของเราสองคน
โก้ คือ ชื่อของเธอ และเธอมักบอกใครต่อใคร ให้เรียกตัวเองว่า ซิโก้
ชื่อเดียวกันกับนักฟุตบอลในดวงใจคนนั้น
เรื่องของเรื่องก็คือมันน่าจะฟังดูดีกว่าจะยอมให้เพื่อนเรียก ไอ้โก้ เฉยๆ น่ะแหละ
น่าแปลกว่า ชื่อโก้ เป็นชื่อโหลพอๆ กับ ชื่อสมชาย หรือสุพจน์
(ขออภัยคุณสมชายกับคุณสุพจน์ด้วย)
หากแต่เป็นชื่อโหลๆ ของเหล่าผองเพื่อนสี่ขานั่นต่างหากที่โก้รู้สึกโกรธ
ก็แหม หมาร้อยตัว ต้องมีชื่อ ไอ้โก้ ไปแล้วเสีย 1 ตัว
ลองคิดเล่นๆ ดูสิ หมาเมืองไทยมีตั้งกี่ล้าน
หมาไทยๆ ก็จะชื่อ โกโก้ หรือไอ้โก้
หมาตัวที่อินเตอร์หน่อย หน็อย ยังดันมาตั้งชื่อ ซิโก้ มันน่าไหมล่ะ
วันที่พบกันครั้งแรกของเราเป็นวันที่ฝนตก
อย่าคิดว่าบรรยากาศวันนั้นจะโรแมนติก
เพราะจำได้ว่ามีเสียงฟ้าผ่าดังมาเป็นระยะ
มันน่าสะพรึงกลัวขนาดไหนในหัวใจของเด็กอายุแปดเก้าขวบที่ต้องอยู่บ้านตามลำพัง
ฟ้าผ่าครั้งนึง เสียงดังราวกับตั้งใจจะผ่าโลกทั้งใบให้แยกเป็นเสี่ยงๆ
แล้วดูทีท่า จะไม่ผ่าแค่ครั้งสองครั้งเสียด้วย
ไม่ช้าไม่นานเรื่องโหดร้ายสำหรับเด็กวัยนั้นที่ต้องเรียนรู้เพิ่มขึ้นจากโรงเรียนอีกก็คือ
ฝนตก แล้วไฟฟ้ามักจะดับ
ฉันนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่หน้าบ้าน เพราะทำอย่างอื่นที่ดีกว่าไม่ได้
นึกโกรธพ่อกับแม่ทั้งๆ ที่ท่านทั้งสองไม่เกี่ยวข้องอะไรเลย
ท่านไม่ได้อยู่เบื้องหลังเหตุที่ฝนตก ไฟฟ้าดับมันก็เป็นของคู่กันอยู่แล้ว
ไม่งั้นเทียน กับไฟฉายจะขายออกได้อย่างไร ถ้าไฟฟ้าไม่รู้จักดับเสียบ้าง
ฉันนึกพาลไปเรื่อยเปื่อย รอบข้างมืดมิด จะมีก็เพียงแสงวูบวาบแปลบปลาบ
เป็นระยะ ๆ จากขอบฟ้าด้านโน้นทีด้านนี้ที ต้นไม้ริมรั้วเอนลู่ตามแรงลม
มันคงถือโอกาสบิดเนื้อบิดตัวแก้อาการเมื่อยขบ อย่างน้อยโอกาสก็มาปีละสามสี่เดือนเท่านั้น
ถ้ามีคนอกหักสักคนแถวนี้คงดี จะได้นั่งร้องไห้เป็นเพื่อนกันเสียเลย
เสียงกระซิกๆ อันเป็นเสียงสะอื้นดังคลอๆ ไปกับเสียงรอบกาย
มันอาจจะเพลินดีเหมือนกันหากไม่มีเสียงอะไรบางอย่างแทรกขึ้นมา
และมันก็ช่างแทรกขึ้นมาแบบไม่เนียนเอาเสียเลย เพราะจำได้ว่าสัมผัสนั้นชัดมาก
คำว่า ขนหัวลุก เป็นอย่างไร เข้าใจได้เลยในวินาทีนั้น
ทิศทางที่มาของเสียงแปลกๆ สั่นเครือ หวีดหวิว แล้วก็อะไรอีกล่ะที่บรรยายอารมณ์
หลอนได้ลึกซึ้งถึงแก่นเหมารวมเอามาให้หมดนั่นแหละ
มันอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเท่าไร อันที่จริงมันใกล้ชนิดเฉียดใบหูมากกว่า
ช็อค อีกคำที่ตามมาแทบจะในทันที สั้น ๆ หากหลับนาน
ฉันช็อคหมดสตินานเป็นชั่วโมง
และหลังจากฟื้นขึ้นมาก็ยังแหกปากร้อง
ชนิดต้อนขวัญประจำตัวของคนอื่นให้กระเจิดกระเจิงตามขวัญตัวเองไปด้วย
อย่างนี้ล่ะมั้ง เขาเรียก ขวัญหนีดีฝ่อ
แม่กอดฉันไว้แน่น คงกลัวว่าจะขาดใจเพราะมัวแต่ตะเบ็งเสียง
แต่จริงๆ ถ้าฉันจะตาย ก็น่าจะมาจากสาเหตุที่แม่กอดแน่นเกินไปมากกว่า
เหตุการณ์ผีหลอกในคืนวันฝนตก เป็นเรื่องขำขำในครอบครัวของเราสองคน
ที่ยังเล่าซ้ำไปซ้ำมาได้ทุกครั้งที่มีโอกาส
ฉันนอนไข้รับประทานไปสามวันสามคืนเพราะโดนผีเก๊หลอก
ในขณะที่ผีเก๊โดนตีซะก้นบวมจนบานนั่งไม่ได้ไปหลายวันพอๆ กัน
โก้ เคยเล่าให้ฟังในวันอารมณ์ดีๆ ว่า เขาไม่ได้ตั้งใจแกล้งฉันเลยแม้แต่น้อย
(หลังจากพยายามอธิบายให้พวกผู้ใหญ่ฟัง (เป็นวรรคเป็นเวร) แล้วก็ตาม หากไม่มีใครเชื่อ)
เพราะตัวเองก็กลัวผีขี้ขึ้นสมองเหมือนกัน แล้ววันนั้นน่ะจะขอมานั่งรอพ่อกับแม่ด้วยคนต่างหาก
สำหรับชุดดำๆ กับหน้ากากผีนั่นก็เป็นความบังเอิญมากกว่า
เพราะตอนก่อนที่ไฟฟ้าจะดับเขากำลังลองชุด
ที่จะใช้ในวันงานฮาโลวีนที่โรงเรียนพอดิบพอดี
มิน่าล่ะ ตอนที่โก้พยายามอธิบายให้ใครต่อใครเข้าใจนั้น
ใบหน้าของเขามีริ้วรอย โคตรเซ็ง อย่างเห็นได้ชัด
มันเหนื่อยไหมล่ะ เวลาที่เราพูดความจริงคอแทบแหก
คนฟังทำเป็นยิ้มๆ ประมาณ เออน่า รู้ทันน่า แล้วมันหมายถึงอะไร
นอกจากคำๆ เดียว คือ ฉันไม่เชื่อแกหรอก
โก้คงเจ็บปวดไม่น้อย เปลืองน้ำลาย แถมเหนื่อยชะมัด
สู้ประชดไปเลยให้รู้ดำรู้แดง เออ กูทำ ไหนๆ ก็เชื่อแบบนั้นอยู่แล้วนี่
นี่คือ ครั้งแรกของเรา
มันเจ็บปวดแล้วก็ไม่น่าประทับใจเลยสักนิด
สำหรับโก้ ความเจ็บปวดเกิดขึ้นเพราะสิ่งที่ตัวเองพูด ไม่มีใครเชื่อ
และนั่นไม่ใช่ครั้งแรกและครั้งเดียวที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นกับเขา
โก้ อาจเคยพูดปดบ้างตามประสามนุษย์ปุถุชน
แต่เรื่องสำคัญ หรือถือได้ว่ามีสาระสำคัญ โก้ไม่เคยพูดปด
แม้ว่าผลของการยอมรับความจริงจะเป็นอย่างไรเขาก็ยินดียืดอกรับมัน
สำหรับฉันความเจ็บปวดในครั้งแรกของเราน่ะรึ
ฉันต้องนอนจับไข้หัวโกร๋นน่ะสิ อ้อ...โกร๋น คงเกินความจริงไปสักหน่อย
มันก็แค่ แม่ต้องวิ่งไปหาซื้อวิกผมให้ดูเหมือนผมเดิมของฉันเท่านั้นน่ะสิ
มิฉะนั้น ฉันอาจจะต้องหยุดการเรียนสักหนึ่งเทอม
เพื่อรอให้ผมงอกขึ้นอย่างสมบูรณ์เสียก่อน
ไม่มีใครรู้เรื่องนี้หรอกนอกจากฉัน โก้ แล้วก็คนที่บ้าน
โก้ไม่ได้ล้อเลียนแต่อย่างใด ทั้งๆ ที่สันดานเขาเป็นเช่นนั้น
อาจจะเป็นเพราะความละอายหรืออย่างใดไม่รู้แน่ชัด
แต่นั่นก็เพียงพอแล้วกับครั้งแรกของเรา ซึ่งมันแย่มากจริงๆ