หวัดดีครับพี่ตะวัน วันนี้ตอนหัวค่ำ ผมไปที่คลีนิคคุณหมอวุฒิยา มีโอกาสได้พูดคุยกับคุณหมอ แล้วรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ เหมือนกัน คุณหมอเล่าให้ผมฟังว่าเรื่องอกหักเป็นเรื่องปกติธรรมดาของโลก โดยทั่วไปแล้วเวลาคนเราเผชิญกับอาการอกหัก ถูกทิ้ง ก็จะมีการแสดงออกที่แตกต่างกัน 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ก็คือ 1. พวกที่เห็นชีวิตสำคัญกว่าความรัก พออกหักก็ไม่เสียใจอะไรมาก กับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ 2. พวกที่เห็นชีวิตสำคัญเท่า ๆ กับความรัก พออกหักปุ๊บ ก็โศกเศร้าเสียใจหนักหนาสาหัสอยู่เหมือนกัน แต่ก็ยังพอจะประคับประคองหาทางเอาตัวรอด กลับมาใช้ชีวิตได้แบบคนปกติในที่สุด 3. พวกที่เห็นความรักสำคัญกว่าชีวิต พวกนี้จะบูชาความรักมาก ในเคสคนไข้ของคุณหมอ กลุ่มที่ เวลาอกหัก แล้วพยายามฆ่าตัวตาย (ซึ่งมีอยู่หลายรายเหมือนกัน) จัดอยู่ในกลุ่มนี้ คุณหมอสรุปให้ฟังสั้น ๆ ว่าคนกลุ่มที่สองกับกลุ่มที่สาม จัดอยู่ในพวก "คนช่างฝัน" คือ มีจินตนาการความรักไว้สวยงาม ความรู้สึกไว อารมณ์อ่อนไหวง่าย พอความรักในโลกแห่งความเป็นจริงขัดกับสิ่งที่ตัวเองจินตนาการไว้ ก็จะไม่อาจฝืนทนรับความจริงได้ จากนั้นคุณหมอก็ลองให้ผมพิจารณาตัวเองว่าตัวผมอยู่ในกลุ่มใด "มันแน่อยู่แล้วครับคุณหมอ ว่าผมต้องอยู่กลุ่มที่สองผม เพราะถ้าผมอยู่กลุ่มที่หนึ่ง ผมก็คงไม่มาที่คลีนิค นี่หรอก และถ้าผมอยู่กลุ่มสาม ป่านนี้ ผมคงไปแขวนคอตายที่ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยประท้วงไล่คมช.ไปแล้ว" คุณหมออธิบายว่า ปัจจัยที่ทำให้คนเราแสดงอาการออกต่างกันเป็นสามกลุ่ม ส่วนหนึ่งแล้วได้รับอิทธิพลมาจากการเลี้ยงดูในวัยเด็ก พวกกลุ่มที่ 2 และ 3 โดยมากแล้วมักมีชีวิตวัยเด็กที่สะดวกสบาย พ่อแม่รักและเอาใจใส่มาก กล่าวอีกนัยหนึ่ง ก็คือ "ได้รับ" ความรักมาโดยตลอด พอมาวันหนึ่ง รู้สึกว่า คนที่เคยให้ความรักกับเรา เขาไม่อาจให้ในสิ่งที่เคยให้ ก็จะรู้สึกทนไม่ได้ ส่วนคนที่อยู่กลุ่ม 1 ชีวิตในวัยเด็กอาจจะพบความยากลำบากมาจนชิน หรือไม่ก็ผ่านประสบการณ์การเป็นคนไข้ที่เคยอยู่ในกลุ่มที่ 3 หรือ 2 มาก่อน แต่สามารถทำความเข้าใจต่อความเป็นไปของโลกได้ จนพัฒนาตัวเองขึ้นมาอยู่ในกลุ่มที่ 1 ----------------------------------------- คุยกับคุณหมอ เรื่อง "การให้" หรือ "การรอรับ" แล้วก็อดนึกถึงตอนรู้จักกับพี่ตะวันใหม่ๆ ไม่ได้ หลังจากที่พี่ตะวันชอบมาคอมเม้นอะไรยาวๆ ในไดผมหลายครั้งหลายครา ผมก็เลยเกิดความอยากรู้อยากเห็นว่า "คนนี้มันใครวะ" จนต้องคลิกเข้าไปอ่านได ทั้ง ๆ ที่ปกติ ผมไม่ค่อยอ่านไดคนอื่นอยู่แล้ว ด้วยความบังเอิญหรือโชคชะตาฟ้าลิขิตอะไร ผมก็ไม่อาจจะอธิบายได้ วันนั้น เพลงที่พี่ตะวันเอามาเปิดลงไดอารี่ เป็นผมอยากได้พอดี เพลง "ใคร" ของบอยด์ โกสิยพงษ์ (ที่เป็นเสียงเด็กร้อง) ผมก็เลย แอ๊ด อีเมล์ ของพี่ตะวันเพื่อจะขอโค้ดเพลง (แค่นี้จริง ๆ นะ) แต่หารูไม่ว่า เพลง "ใคร" ของพี่บอยด์ เนี่ยกลายเป็นสื่อรัก ทำให้เรามีโอกาสคุยกันตั้งแต่วันนั้น เมื่อสองวันแรกที่ผมแอ๊ดพี่ตะวัน วันนั้น ผมทำโทรศัพท์มือถือหล่นหายลงบนรถเมล์สด ๆ ร้อน พอรู้ตัว ก็เดินลงมาจากรถเมล์แล้ว พอลงรู้ตัวปั๊บ เกิดอาการเซ็ง เพราะทำอะไรไม่ได้ ก็รถเมล์มันวิ่งไปไกลแล้ว ไม่รู้จะทำอะไร เลยเข้าไปนั่งเล่นในร้านเน็ต เผอิญมาเจอพี่ตะวันออนไลน์พอดี เพียงแค่ผมบ่นให้พี่ตะวันฟังว่า ผมทำโทรศัพท์หายบนรถเมล์ พี่ตะวันก็อาสา โทรไปบอกยกเลิกเบอร์โทร อีกทั้งยังติดต่ออะไรต่อมิอะไรให้ผมอีกหลายอย่าง ทั้ง ๆ ที่วันนั้นมันก็สองทุ่มแล้ว ผมไม่ค่อยเข้าใจนักหรอกว่าทำไมพี่ตะวันต้องช่วยผม คนที่เพิ่งรู้จักทางเอ็มไม่ถึงสองวันมากขนาดนี้ แต่ก็มาเข้าใจจนเมื่อเราได้คบกันแล้ว ครั้งหนึ่งเรานั่งรถ ตด 888 อยู่ด้วยกัน พี่ตะวันเล่าให้ผมฟังว่า งานอดิเรกที่ชอบทำ ก็คือ "การเอาใจคนอื่น" เพราะ เวลาที่พี่ตะวันสามารถทำให้คนอื่นมีความสุขได้ พี่ตะวันก็จะมีความสุขไปด้วย ผมฟังแล้วถึงได้คิด ว่างานอดิเรกของพี่เนี่ย ต่างจากผม ที่มักจะเป็น "การเอาแต่ใจตัวเอง" อยู่เสมอเสียมากกว่า --------------------------------- ผมเล่าให้คุณหมอวุฒิยาฟัง ว่าผมเสียใจที่มักจะเป็นคนชอบเอาแต่ใจตัวเอง คุณหมอ ให้กำลังใจว่า "แค่เริ่มคิดจะเปลี่ยนแปลงได้ ก็ถือว่า เก่งมากแล้ว ดีมากแล้วหยุดโทษตัวเอง แล้วคิด ทำ แต่สิ่งที่ดี ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างจะดีขึ้นเอง" คิดถึงพี่ตะวันครับ ต้นไม้
16 มกราคม 2550 17:09 น. - comment id 94705
พูดถึงการให้ การรับ เมื่อคืนก็ทะเลาะกับคนต่างวัยคนนั้นเรื่องการให้นี่แหละค่ะ
16 มกราคม 2550 21:02 น. - comment id 94708
สองตอนนี้มาเร็วทันใจดีจัง ^^ ยังรออ่านอยู่นะ.. "ต้นไม้"
26 มกราคม 2550 11:15 น. - comment id 94805
ชอบเพราะได้บันเทิงและสาระด้วยค่ะ