คำสาบานในความเงียบงัน:อย่าหวังครั้งใดจะรู้จัก

แก้วกาญจนา

ซาซากุสาวเท้าก้าวเดินฉับ ๆ ออกมาอย่างรีบร้อน   ดั่งเท้าสัมผัสพื้นนั้นร้อนรนยิ่งกว่าไฟ   หากในใจเขาคิดยาวไกลกว่านี้   เขาจะอยู่ในปราสาทเซอราตาพินต่อไปไม่ได้แล้ว
กว่าสติจะอยู่กับตัวก็เมื่อพาร่างตัวเองเดินมาถึงประตูปราสาทชั้นนอก     มีทหารในชุดเครื่องแบบสีฟ้าบ่งบอกถึงความเป็นนักรบชาวการาลาซยืนเฝ้าประตูอยู่เพียงลำพัง    
ซาซากุคิดจะเดินผ่านนายทหารไปให้เงียบที่สุด แต่ทันทีที่ก้าวพ้นประตูปราสาทไปนั้น  นายทหารที่ยืนนิ่ง ๆ เหมือนไม่สนใจก็เอ่ยทักขึ้นว่า
  อ้าว  ท่านซาซากุ  เขาหันไปตามเสียงเรียก   จะไปไหนเสียล่ะ  
ซาซากุนิ่งเงียบเฉย   ปล่อยให้คนทักพูดต่อไป  
  เราชนะแล้ว  หรือว่าท่านยังไม่รู้    ตอนนี้ทุกคนกำลังจัดงานเลี้ยงฉลองอยู่ในห้องโถงข้างใน  พูดแล้วข้าอยากจะเสนอหน้าเข้าไปบ้างจังเลย  แต่ดันมีหน้าที่ต้องเฝ้าประตูหน้าอีก ท่านมีโอกาสน่าจะเข้าไปร่วมงานนะ  ไม่น่าออกมาเลย  บอกตามตรงข้าเสียดายแทน
คนเล่าถือโอกาสร่ายยาวเรื่อยเปื่อย   หากซาซากุไม่ได้สนใจฟังเลยแม้แต่น้อย  กำลังครุ่นคิดหาทางปฏิเสธอย่างนุ่มนวลที่สุด สำหรับการออกไปจากปราสาทอย่างไม่มีหวนคืนมา  คำไหนคงไม่ดีเท่ากับ.
  ข้าขอโทษด้วย  กับสิ่งที่ผ่านมา  
เขาเอ่ยคำนี้ออกไป  ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจดี ยังไงนายทหารผู้นี้ต้องไม่เข้าในความหมายของเขาแน่  แต่มันสายเสียแล้ว  เขาต้องไปให้ทันกาลก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ไป   เขารีบเดินจากบริเวณหน้าประตูนั้นมา   ระหว่างนั้นยังได้เสียงตะโกนอย่างงง ๆ ไล่หลังมาเป็นเสียงแห่งความทรงจำสั้น ๆ ก่อนเลือนหายไป
 เฮ้ย  อะไรกันเนี่ย  
เขาเดินดุ่ม ๆ บนถนนลาดด้วยก้อนกรวดมาตลอดทาง  จนถึงกรวดก้อนสุดท้ายบนทางเดิน  ต่อไปเบื้องหน้าของเขาคือป่าไผ่  ในบรรยากาศสลัว ๆ ท่ามกลางแสงจันทร์สาดส่องลงมาพอให้เห็นทางเดิน 
ซาซากุเดินมาหยุดอยู่ใกล้ต้นไผ่ต้นหนึ่ง  ล้อมรอบไปด้วยกอไผ่เล็ก ๆ เตรียมงอกขึ้นเป็นต้นใหม่ในเวลาต่อมา  บริเวณนี้ดูสว่างกว่าที่อื่น ๆ ใกล้ ๆ กัน  เขาจึงหยุดยืนไม่กล้านั่งลงตรงกอไผ่  พลางคิดถึงแผนการของตัวเขาเองอย่างเงียบ ๆ 
ภารกิจแรกของเขาเสร็จสิ้นลงแล้ว  แต่ความเสียใจและผิดหวังยังคงฝังแน่นอยู่ในใจ   ภาพลูกค้ารายแรกเดินทางมาพบเขาในสำนักงานผุดขึ้นในความคิดอีกครั้ง   ภารกิจแรกในชีวิตของเขา  ลอบสังหารกษัตริย์แอกาแมนแห่งราชวงค์เมลูเวท  แลกกับค่าจ้างมูลค่าถึงสามพันเหรียญ   เงินจำนวนมากที่เขาไม่มีโอกาสได้เห็นหรือสัมผัสมันมาก่อนเลย   ค่าตอบแทนนี้เอง  ทำให้เขามีแรงจูงใจในการปฏิบัติภารกิจนี้ให้ดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้  
แต่แล้ว  เมื่อวันนั้นมาถึง  ทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างที่เขาคิด  ภารกิจแรกจบลงอย่างไม่ราบรื่น  กษัตริย์แห่งเมลูเวทตายจริง  แต่ไม่ใช่ฝีมือเขา  หากเป็นรีทแมน  หัวหน้ากบฏฝ่ายการาลาซสังหารเป้าหมายต่อหน้าเขา  ความหวังในเงินก้อนนั้นชักเลือนลาง  เพราะความคิดบ้า ๆ ที่ว่าตัวเขาคนเดียวคงทำไม่ได้แน่  ถึงได้ยอมสวามิภักดิ์กับคนมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน  และยอมให้มันช่วงชิงไป  และตัวเขาล่ะ  เขายอมอยู่เป็นพวกเดียวกัน  แล้วต่อมาก็หลบหนีไปให้พ้นจากอำนาจมืดของเจ้ารีทแมนเสียที 	  
ซาซากุถอนใจเฮือก  แค่งานแรกก็ไม่สำเร็จแล้ว  ในใจของเขาตอนนี้คิดอยู่เรื่องเดียว  จะบอกลูกค้าของเขาอย่างไรดีถึงจะรักษาเงินก้อนนั้นไว้ได้
เวลาประมาณเก้าโมงเช้าจนถึงสิบเอ็ดโมง ลูกค้าจะรอพบเขาอยู่ที่โรงแรมในเมืองแดรป  ใจจริงแล้วซาซากุก็ไม่อยากไปที่นั่นนักหรอก  หากเขาฝืนใจ  ทำทุกอย่างก็เพื่อเงินสามพันเหรียญค่าจ้างของเขาเอง

ตลอดระยะทางท่ามกลางแสงสลัว ๆ ในป่าไผ่นั้น   ความในใจของซาซากุยังคงล่องลอยอยู่ไหนสักแห่ง  ทิ้งร่างเดินไปตามทางเดินที่เต็มไปด้วยหญ้าต้นเล็ก ๆไปจนถึงดอกหญ้าสูงท่วมเอว  สองขาก็ยังคงก้าวเดินแหวกกอหญ้าต่อไป  ไม่รู้สึกเจ็บ ๆ คัน ๆ จากใบหญ้าเหล่านั้น
แต่บางครั้งสติก็ถูกดึงกลับเข้าร่างวูบ  เมื่อต้องเผชิญหน้ากับปีศาจเจลหลากสีสัน   อย่างที่เขาเคยเห็นตอนเริ่มหัดเดินเตาะแตะ นานแล้วแต่ก็ยังจำได้ดี มันมีทั้งตัวสีเขียว สีแดง สีฟ้า สีเหลือง หลาย ๆ ตัวยืดหยุ่นอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนั้น  
เขาลืมตาขึ้นมองมันอีกครั้ง  ปีศาจเจลตัวนี้เป็นสีฟ้า  ไม่ยากถ้าจะฆ่ามันนั้นง่ายนิดเดียว  เขาสงบจิตใจไล่ความฟุ้งซ่าน  ชักดาบซามูไรออกมาจากฝัก  ตั้งท่ายกดาบฟันกลางลำตัวปีศาจเจลเลือดสีฟ้ากระฉูดในพริบตา
  ไปตายซะไอ้พวกปีศาจ  รำคาญ  
ซาซากุสบถออกมาอย่างเหลืออด  เขาฆ่าปีศาจเจลเป็นตัวที่สิบแล้ว  โชคดีเหลือเกินที่ใกล้ตัวเขามีป้ายบอกทาง แผ่นไม้สลักลูกศรชี้ตรงไป  อีกแผ่นชี้ย้อนหลัง  ข้างหน้าเป็นทางไปเจ็นแรน  ส่วนเบื้องหลังเป็นปราสาทเซอราตาพินที่เขาสู้อุตส่าห์หลบหนีออกมาและรอดพ้นอย่างหวุดหวิด
ผ่านมาหนึ่งชั่วโมงนั้น  เขาเกือบเดินหลงไปถนนจีบาซู  ด้วยสติที่ล่องลอยหนีหายเกือบทำให้เขาต้องเดินทางกลับไปรับโทษที่ประเทศเมลูเวทเสียแล้ว  เส้นทางต่อไปข้างหน้าจะไม่มีการหลงทางเข้าดินแดนต้องห้ามอีกแน่นอน
เมื่อเข้ามาถึงเขตเจ็นแรน  ป่าไผ่เริ่มลดจำนวนลง     กลายเป็นต้นไม้ชนิดอื่นขึ้นแซมระหว่างต้นไผ่ตลอดสองข้างทาง ในที่สุดก็ออกจากป่าไผ่และมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าสนสัญลักษณ์ของเขตเจ็นแรนในเวลาตีหนึ่งสิบห้านาที  เริ่มต้นวันใหม่ได้หนึ่งชั่วโมงกว่า ๆ 
มีต้นสนฉัตรสูงใหญ่ขึ้นขวางทางเดิน   เขาต้องเบี่ยงกายเดินตามทางแคบ ๆ ระหว่างต้นสนต้นอื่น ๆ กับลำต้นขนาดเท่าคนสี่คนโอบล้อมได้พอดีออกมาอย่างทุลักทุเล  เขารีบเดินต่อไปโดยไม่ทันสังเกตทาง  จนสะดุดกับของแข็งบางอย่างคล้ายท่อนไม้บนทางเดิน
 โอ๊ย    เสียงร้องดังขึ้นพร้อมกัน  เสียงหนึ่งนั้นเป็นเสียงซาซากุ  อีกเสียงหนึ่งนั้นแหลมเล็กคล้ายเสียงร้องของผู้หญิง
ซาซากุกวาดสายตามองไปรอบ ๆ หาเจ้าของเสียงไม่พบ  เขาหันหน้ากลับมาที่เดิน  เผลอเหลือบมองลงล่าง  เห็นเจ้าของเสียงนอนอยู่แทบเท้าเขาอย่างอ่อนแรง
  ไม่ต้องหันไปหรอก  ข้าเองแหละ  
เจ้าของเสียงเป็นหญิงสาวตัวเล็ก ๆ หูแหลมยาวเหมือนเทพธิดาที่เขาเคยเห็นที่ไหนมาก่อน  หรือว่านางเป็นชาวบ้านจากหมู่บ้านเจ็นแรนใกล้ ๆ นี่เอง
ไม่ทันที่ซาซากุจะถามชื่อของหญิงสาวแปลกหน้า  แม่นางก็พลันบอกลาหนีหายไปดื้อ ๆ
 ท่าทางนางรีบร้อนจังนะ  
เขาเก็บความสงสัยไว้ในใจ  รอไปหาตัวแม่นางคนนั้นในหมู่บ้านเจ็นแรน  เขายืนอยู่ห่างจากจุดนั้นเพียงสองเมตร  แต่เมื่อเดินเข้าไปถึง  หมู่บ้านเจ็นแรนก็อันตรธานหายไป  เหลือเพียงสนามหญ้าอดีตที่ตั้งของกระท่อมอันเป็นจุดศูนย์กลางของหมู่บ้าน  ล้อมรอบไปด้วยต้นสนใบเล็ก ๆ ที่ร่วงหล่นลงมา
ซาซากุไม่สนใจแล้ว  เงินสามพันเหรียญรอเขาอยู่ข้างหน้า    เรื่องเล็กน้อยของแม่นางเทพธิดาในเจ็นแรนแค่นี้  ไม่มีความสำคัญเท่ากับเงินก้อนโตหรอก
เขาเดินไปถึงไหนไม่รู้  หูทั้งสองเกิดได้ยินเสียงขู่คำรามของสัตว์บางอย่าง มันดังจนปลุกเขาจากการวาดฝันใหญ่โต  เขานึกเสียดาย แอบสบถด่าเจ้าบ้านั่นอยู่ในใจ
  ใครมันบังอาจทำลายฝันของข้า  
ระหว่างการวาดฝันอย่างมีความสุข ซาซากุนั้นเผลอหลับตาไปอย่างลืมตัว   เมื่อลืมตาขึ้นโพลง  ตอนนี้ตนเองกำลังยืนอยู่บนสนามหญ้า  เบื้องหน้ามีต้นปาล์มใบใหญ่สีเขียว  เมื่อใบกระทบกับแสงจันทร์ส่องลงมาเป็นมันระยับ  แต่ใบสีเขียวที่ว่ากำลังจะถูกทำลายลงด้วยฝีมือของมังกรสีเขียวตัวร้าย  เจ้าของเสียงขู่คำรามที่เขาได้ยินในตอนแรก
 ตายซะเถอะ ไอ้มังกรงี่เง่า   เขาถือดาบไว้ในมือตลอดเวลา  ค่อย   ๆ  ยกดาบขึ้นสูงเหนือหัวเดินเข้าไปหายเจ้าตัวร้ายอย่างไม่กลัวตาย
มังกรสีเขียวตัวนั้นมันไม่โง่อย่างที่ซาซากุคิด  มันเหลือบมองมาทางเขาเล็กน้อย  ก่อนหันกลับไปหาต้นปาล์ม  อ้าปากพ่นไฟออกมา ทันทีที่เปลวไฟพุ่งออกมาสัมผัสใบ  ไฟลุกไหม้ลามไปทั่วต้น แสงไฟของมันวูบวาบราวกับต้นไม้เพลิง กลิ่นใบไม้ไหม้ไฟลอยเข้าจมูกจนเผลอจามออกมา ชั่วพริบตาเดียวต้นไม้ผู้น่าสงสารที่เหลือแต่กิ่งก้านแห้ง ๆ สีน้ำตาลไหม้  ทิ้งซากใบเหลือแต่ขี้เถ้ากองอยู่ใต้ต้นของมันอย่างหดหู่  
  ต้นปาล์มก็ตายไปแล้ว  แต่ข้าจะไม่ยอมให้มังกรสัตว์ชั้นต่ำมาฆ่าตัวข้าได้หรอกเว้ย  
การต่อสู้ระหว่างคนกับสัตว์ชั้นต่ำในความคิดของซาซากุก็เริ่มขึ้น  และมันก็จบลงอย่างง่ายดายที่มังกรต้องเป็นผ่ายพ่ายแพ้   ทิ้งซาซากุนั่งลงอย่างหมดแรงที่ใต้ต้นปาล์มสีน้ำตาลแก่ตายสนิท

  ใครฆ่าต้นไม้ของข้า  
เสียงคุ้นหูดังขึ้น  ปลุกซาซากุที่เผลอนอนหลับใต้ต้นไปนานเท่าไรไม่รู้  เขาล้วงนาฬิกาพกออกมาจากเสื้อนอก  ขณะนี้เวลาตีสองเศษ  ก่อนเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียง  เขาตาสว่างทันทีเมื่อเห็นว่าเป็นใคร
แม่นางที่เขาเห็นใต้ต้นสนฉัตรไม่นานมานี้เอง..
  อะไรหรือแม่นาง    เขาถามอย่างงุนงง
แม่นางหูแหลมยาวตะเบ็งเสียงใส่
  หรือว่าเจ้าเป็นคนทำร้ายต้นปาล์มสีเขียวของข้า 
ซาซากุสั่นหัว  สีหน้าตื่นตระหนก  อยู่ดี ๆ ก็มีคนโยนความผิดให้เขา
 เปล่านะแม่นาง  ข้าไม่ได้ทำ   
นางได้แต่ส่ายหน้าช้า ๆ 
 จะอะไรก็เถอะ  ยังไงข้าก็ระแวงมนุษย์อยู่ดี  พวกเจ้ามันไม่เคยรักษาธรรมชาติ  หรือแม้กระทั่งเคารพเจ้าแม่ไจล่าเลย  
ซาซากุไม่เคยได้ยินเรื่องของเจ้าแม่ไจล่าผู้นี้มาก่อนเลย
  เจ้าแม่ไจล่า  ข้าไม่เคยรู้มาก่อน   เขายอมรับตรง ๆ ไม่อ้อมค้อม
 เจ้านี่ไม่รู้อะไรเลย  ข้าชื่อโคคุ  มาจากหมู่บ้านเจ็นแรน  พวกเราจะนับถือเจ้าแม่ไจล่า  เป็นเจ้าแห่งธรรมชาติ  เมื่อเจ้าฆ่าต้นไม้ก็เท่ากับฆ่านาง  รู้บ้างไหม  
ซาซากุฟังเหมือนตั้งใจ หากแอบส่ายหน้าอย่างเอือมระอาเต็มทน  เบื่อที่จะต้องฟังการสาธยายในสิ่งที่เขาไม่ได้ก่อขึ้นเลยแม้แต่น้อย
 พอ พอเถอะแม่นางโคคุ    ซาซากุยกมือร้องห้ามไม่ให้พูดต่อไป    ข้ารู้ว่าตัวเองมันเลวบัดซบ แต่ขอให้แม่นางฟังข้าเสียหน่อย  ข้าไม่ได้ฆ่าฆ่าต้นปาล์มของเจ้าแม่ไจล่าเลยนะ  
  ของข้าหรอกเจ้ามนุษย์น้อย  นางสวนขึ้นทันควัน   เจ้าแม่ไจล่าท่านเป็นผู้ดูแลรักษาเฉย ๆ
ซาซากุเล่าเหตุการณ์น่าหดหู่เมื่อครู่ให้แม่นางโคคุฟังโดยตลอด   นางพยักหน้าเนือย ๆ เป็นบางครั้งอย่างยอมรับและเชื่อเขาในที่สุด
  ข้าเชื่อแล้ว  ว่าแต่เจ้าจะไปไหน  
ซาซากุยิ้มน้อย ๆ ด้วยความสบายใจขึ้นมามากกว่าที่ผ่านมา
 เมืองแดรป   เขาตอบสั้น ๆ ไม่อยากให้ใครรู้มากนัก
สีหน้าของแม่นางดูคลายความกังวลลง  ปรากฏรอยยิ้มพราวบนใบหน้าแทน
 เจ้าชื่ออะไรหรือ  
เงียบ.ไม่มีคำตอบจากซาซากุ  
  ไม่เป็นไร  เจ้าไม่อยากเปิดเผยตัวให้ใครรู้ก็ตามใจเจ้า   แม่นางหยั่งลึกลงไปเหมือนรู้ทันในความคิดของเขา  
  เจ้าคงเหนื่อยมากละสิ  ให้ข้าฟื้นพลังให้เจ้าไหมล่ะ  
ซาซากุพยักหน้า   สักพักเขาก็รู้สึกสดชื่น   หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง
 ข้ารู้สึกดีจริง ๆ เมื่อได้คุยกับเจ้า  ข้าคงต้องไปเสียแล้วล่ะ
ซาซากุถือโอกาสนี้บอกลา      เขาไม่มีความรู้สึกกับแม่นางโคคุอย่างนั้น ตรงข้ามเขาได้แต่คิดหาทางบอกลานางมากกว่า
 งั้นข้าขอลาเช่นกัน  
ซาซากุเดินแยกออกมาโดยไม่รอฟังคำอำลาของแม่นางโคคุให้เสียเวลา  หากเสียงแหลมเล็กของนางดังกระทบใบหูทั้งสองข้างอย่างชัดเจน
  ข้าจะไปหาเจ้าอีก  
				
comments powered by Disqus

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน