โต๊ะกลมตัวเล็กสีน้ำตาลกับเก้าอี้ขนาดพอเหมาะสองตัววางเข้าชุดกันดูสวยเก๋ สายลมเย็นพัดเอื่อยมาไม่ขาดช่วง เส้นผมปลิวพริ้วไปตามแรงลม กาแฟแก้วเล็กวางอยู่ตรงหน้าข้างๆกันมีที่เขี่ยบุหรี่ที่ดูเหมือนด้วยของหวานซะมากกว่า บุหรี่ที่บรรจุอยู่ภายในซองสีแดงนั้นถูกหยิบขึ้นมาอย่างปราณีต สองนิ้วบรรจงสอดบุหรี่ไว้ระหว่างริมฝีปากบางๆ นั้น เปลวไฟเล็กๆ จากไฟแช็คราคาถูกทั่วๆ ไปจ่อที่ปลายสุดของบุหรี่กลายเป็นเถ้าสีแดงตามด้วยควันที่ไม่ประสงค์ดีกับสุขภาพเท่าไรนักถูกพ่นออกมาเป็นทางยาว นั่นเป็นช่วงเวลาที่ผมรู้สึกผ่อนคลายอย่างที่สุด หลังจากตรากตรำทำงานมาแล้วตลอดเช้า...... นั่นไงเป้าหมายที่ทำให้ผมมานั่งที่โต๊ะตัวนี้ทุกวัน มองจากระยะไกลถึงแม้จะมีกระจกใสบานใหญ่ที่มีเงาสะท้อนจากนอกตัวตึกทำให้มองเห็นได้ไม่ชัดนัก แต่ผมก็รู้ได้ด้วยใจว่าเป็นเขาแน่ๆ ผิดเหรอที่ผมจะมองผู้ชายด้วยกัน ในเมื่อเขาน่ามองออกจะตาย "มานั่งตรงนี้สิ" ในใจของผมร่ำร้องเสียงดังหากแต่เสียงนั้นคงดังก้องอยู่ภายในใจของผมเท่านั้น และเป็นเช่นทุกวัน เขาเดินใกล้เข้ามาด้วยมาดที่ดูนุ่มลึก บรรจงนั่งลงบนเก้าอี้สูงหน้าเค้าเตอร์ซึ่งเป็นมุมที่ผมและเขานั่งตรงข้ามกันพอดี ใบหน้าที่ขาวใสและยิ่งโดดเด่นขึ้นเมื่อตัดกับผมรองทรงสีดำขลับ จมูกเป็นสันโด่งราวกับว่าพระเจ้าบรรจงปั้นให้เขาอย่างสุดฝีมือมันช่างรับกับริมฝีปากบางได้รูปของเขา ผมนั่งมองเขาอยู่อย่างนี้ทุกวัน จนวันนี้ที่เราได้สบตากัน ความเย็นยะเยือกเข้าสิงสู่ในตัวผมทันที ผมหลบสายตาเขาไม่ทันด้วยซ้ำ ใช่เขาต้องรู้ตัวอยู่ก่อนว่าผมแอบมองเขาอยู่ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก ผมเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของเขามาแสนนานเหลือเกิน ถ้าจะให้นับกันจริงๆ ก็ตั้งแต่วันแรกที่ผมเข้ามาทำงานที่นี่ซึ่งนั่นก็ล่วงเลยมาถึงสี่ปีแล้ว แปลกที่ผมไม่เคยต้องการอะไรมากไปกว่าได้รู้จักเขามากขึ้นกว่านี้ หรืออย่างน้อยเวลาเดินผ่านก็ขอให้ได้ยิ้ม หรือพูดจาทักทายกันบ้างเท่านั้น อาจเพียงเพราะว่าความผิดปกติภายในจิตใจของผม ทำให้ผมไม่กล้าที่จะเปิดเผยว่าผมประทับใจในความเป็นเขาอย่างที่สุด ทั้งๆที่คนอื่นในตึกนี้ผมกล้าพูดว่าผมสามารถทักทายและล้อเล่นได้หมด ยกเว้นเขาคนนี้เพียงคนเดียวเท่านั้น ผมไม่สามารถทำตามที่ใจปรารถนาได้เลยแม้สักครั้ง "นั่งด้วยคนนะครับ" เสียงนั่นทำให้ผมชาไปทั้งตัว "ยินดีครับ" ผมพูดออกไปได้เพียงเท่านั้นจริงๆ และไม่รู้ว่าหน้าตาของตัวเองเป็นอย่างไร รู้สึกได้อย่างเดียวว่ามันร้อนผ่าวไปทั้งหน้า "ชอบทานกาแฟเหมือนกันเลยนะครับ" เขาถามขึ้นมาอีก "ครับ วันละ...." "สามแก้ว" เขาตอบขึ้นมาทั้งๆที่ผมยังพูดไม่จบ อะไรกันเขาเฝ้าติดตามพฤติกรรมของผมอยู่เหมือนกันหรือนี่ "ไม่ค่อยพูดเลยนะครับ ผมเห็นตอนคุณอยู่กับเพื่อนๆ น้องๆ คุยไม่หยุดเลย" "โธ่ ใครจะไปกล้า คนที่คลั่งแทบบ้ามาขอนั่งด้วยแถมยังชวนคุยเป็นวรรคเป็นเวร" ผมคิดในใจ ที่ทำได้ก็แค่ส่งยิ้มให้แล้วก็ยกกาแฟขึ้นมาจิบ "บุหรี่มั๊ยครับ" ทำยังไงล่ะทีนี้เขายังไม่ไปไหนแถมยื่นบุหรี่ที่อยู่ในซองสีน้ำเงินนั่นให้อีก "ขอบคุณครับ" ผมตอบแล้วหยิบบุหรี่จากซองนั้น และนี่เป็นอีกครั้งที่ได้สบตาเขาต่างกันตรงที่มันใกล้มากๆ เขายิ้มแก้มป่อง เห็นแล้วอยากกระโจนไปกัดซะจริงๆ ถ้าทำอย่างนั้นได้คงจะดี "น้ำเปล่าค่ะ" เสียงเด็กสาวที่ร้านกาแฟเดินถือแก้วน้ำใสกิ๊กมาวางให้ผมตามปกติ และเสียงนั่นก็ทำให้ผมเงยหน้าขึ้น และเขายังคงนั่งอยู่ที่เคาท์เตอร์ ตรงที่เดิม ผมมีความสุขกับการจิบกาแฟและนั่งนึกเรื่องแบบนี้ไปพร้อมๆ กับมองหน้าเขาไปด้วย อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมมีกำลังใจที่จะกลับขึ้นไปทำงานอย่างนี้ทุกวันt>
16 ธันวาคม 2549 17:50 น. - comment id 94330
สบายดีครับคุณผู้หญิงไร้เหงา ขอบคุณที่แวะมาอ่านนะครับ
17 ธันวาคม 2549 10:03 น. - comment id 94332
..เขียนได้ดีค่ะ..เป็นอีกแง่มุมหนึ่งในโลกปัจจุบัน...การให้ความรู้สึกที่ดีต่อกัน.ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการค่ะ...
16 ธันวาคม 2549 02:13 น. - comment id 94335
สงสัยกาแฟแก้วนั้นคงไม่ต้องใส่น้ำตาลแล้วมั้งค่ะ อิอิ (เป็นไงบ้างค่ะ สบายดีไหม)
18 ธันวาคม 2549 10:44 น. - comment id 94354
ขอบคุณที่เห็นด้วยและเข้าใจนะครับ คุณราชิกา