ผมฝันว่าตัวเองกลายเป็นนก!! ในความฝันผมโบยบินอย่างอิสระ ผ่านออกไปทางหน้าต่างห้องนอนลอยลิ่วสู่ท้องฟ้ากว้างใหญ่ แรงโบกของปีกกับสายลมช่วยยกตัวผมให้ลอยสูงขึ้น สูงขึ้น ผ่านชั้นเมฆชั้นแล้วชั้นเล่า จนมองลงมาเห็นสิ่งต่างๆ บนพื้นมีขนาดเล็กแค่เท่าหัวไม้ขีด ผมรู้สึกหัวใจกำลังพองโตจนคับแน่นหน้าอก มันเป็นความตื่นเต้นที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าในที่สุดผมก็บินได้ บินด้วยกำลังปีกทั้งสองข้างของตัวเอง ผมเป็นนก! ผมอยากตะโกนบอกมนุษย์ทุกๆ คน รวมทั้งนกทุกๆ ตัว ว่าผมเป็นนกและผมบินได้ พันธนาการต่างๆ ที่เคยผูกรัดมัดแน่นตอนที่ผมเป็นแค่คนเดินดินถูกทำลายลงด้วยแรงกระพือของปีก ตอนนี้ผมกำลังมุ่งหน้าสู่อิสรภาพอันยิ่งใหญ่ที่ท้องฟ้าหยิบยื่นให้ ผมบินฉวัดเฉวียน ผาดโผนหกคะเมนตีลังกาตามที่ใจนึกอยากจะทำ และตั้งใจจะบินร่อนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดเรี่ยวแรง ซึ่งมันคงอีกนานหรืออาจจะไม่เกิดขึ้นเลยเพราะผมไม่มีความรู้สึกว่าตัวเองเหน็ดเหนื่อยเลยแม้แต่นิดเดียว ตรงกันข้ามยิ่งขยับปีกกลับยิ่งรู้สึกว่าพละกำลังมันยิ่งเพิ่มขึ้น หัวใจอันฮึกเหิมชวนผมบินไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ ผมอาจจะบินรอบโลกสักรอบหรือหลายๆ รอบ เที่ยวดูให้ทั่วทุกซอกทุกมุม ทุกบ้านเมือง ทุกภูเขา และทุกๆ มหาสมุทร ผมจะไปทุกที่ ที่คนเดินเท้าทั่วไปทำไม่ได้ บนนี้ นอกจากความกว้างใหญ่ไพศาลอันไร้ขอบเขตแล้ว ผมยังได้เห็นโลกในมุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มันเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่ได้เห็นผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลแทบไม่แตกต่างจากท้องฟ้า ผมมองเห็นแผ่นดินที่ปราศจากพรมแดน เห็นบ้านที่ปราศจากรั้วกั้น ทุกคนยืนอยู่บนผืนแผ่นดินเดียวกันไม่มีความเป็นประเทศหรือเชื้อชาติมาเป็นเส้นแบ่ง เป็นเพียงมนุษย์หัวไม้ขีดที่มีความเท่าเทียมเสมอภาคกัน น่าอิจฉาพวกนก ที่มองเห็นโลกอันปราศจากเส้นแบ่งมาก่อนเรานานนับร้อยนับพันปีด้วยอิสรภาพที่พลังจากปีก มีให้ แต่เอ๊ะ! ตอนนี้ผมก็เป็นนกอยู่นี่นา วันหนึ่งที่มีโอกาสกลับลงไปผมจะเล่าสิ่งที่ได้เห็นนี้ให้กับทุกๆ คนที่ผมรู้จัก หรือแม้แต่กับคนอื่นๆ ที่เคยเป็นเพียงคนแปลกหน้า ผมจะบอกเล่าแก่พวกเขาถึงโลกใหม่ที่ผมได้เห็น ดินแดนแห่งอิสรเสรีอันกว้างใหญ่ไพศาลที่พวกเขาไม่เคยรู้จัก นอกเสียจากว่าพวกมนุษย์เดินดินเหล่านั้นจะได้รับโอกาสอย่างผม ใช่! พวกเขาต้องกลายเป็นนกเสียก่อน จึงจะสามารถสลัดความโง่เขลาออกไปจากก้นบึ้งแห่งความคิดอันมืดบอดได้ และนอกจากพลังแห่งปีกแล้วผมมองไม่เห็นอะไรอื่นที่จะปลดเปลื้องพันธนาการที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อผูกมัดตัวเองเอาไว้ได้ พวกเขาสร้างทุกอย่างขึ้นมาจากความว่างเปล่า ไม่ว่าจะเป็นเส้นแบ่งแห่งเชื้อชาติ ความไม่เท่ากันของสีผิว ความผิดแผกของภาษาพูด และแม้แต่ความเชื่อในพระเจ้า บ่อยครั้งที่พวกเขายกพวกเข้าโรมรันห้ำหั่นกันเพียงเหตุผลจากความแตกต่างของพระนามแห่งพระเจ้าที่ตนนับถือ ซึ่งพระนามเหล่านั้นก็ล้วนเกิดขึ้นจากการอุปโลกน์ของพวกเขาเองแทบทั้งสิ้น สุดท้ายมนุษย์คงไม่พ้นจมปรักอยู่ใต้ภูเขาเลากาแห่งอคติอันโง่เขลา นกสิ คือ ตัวแทนของความมีอิสรภาพแห่งจิตวิญญาณที่แท้จริง พวกมันมีปีกที่จะพาบินไปได้ทุกหนทุกแห่งในโลก ไม่มีเส้นแบ่งหรือเส้นสมมุติใดมาปิดกั้นกำหนดขอบเขตการเดินทางแสวงหาของพวกมัน ไม่มีภาระการงานหรือหน้าที่สมมุติอื่นใดที่พวกมันต้องสวมบทบาทนอกจากความเป็นนก มันฉลาดพอที่จะไม่กักขังตนเองไว้กับความหอมหวานเย้ายวนของสิ่งยั่วยุต่างๆ ซึ่งถ้านกมัวหลงงมงายอยู่กับสิ่งสมมุติเหล่านั้น ปีกก็คงจะเป็นได้แค่ส่วนเกินที่ไร้ค่า ผมลิงโลดกับพลังแห่งปีกจนไม่รู้ว่าบินมาไกลแค่ไหนแล้ว ภาพที่เห็นเบื้องล่างเป็นดินแดนอันแปลกตา มันถูกปกคลุมด้วยฝุ่นละอองสีแดง ใช่ล่ะ! มันคือผงทรายที่กำลังปลิวกระจัดกระจายด้วยแรงลม นี่คงเป็นอาณาเขตที่มนุษย์เรียกขานกันว่าทะเลทราย มันดูกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาและอาจจะกลบกลืนสรรพชีวิตไว้ใต้เม็ดทรายร่วนละเอียดเหล่านี้จนนับไม่ถ้วน แต่แน่ละ! ถึงอย่างไรมันก็ยังไม่อาจเทียบเท่ากับความยิ่งใหญ่ของท้องฟ้าได้หรอก เมื่อบินผ่านพ้นเขตทะเลทราย ภูมิประเทศเบื้องล่างเปลี่ยนเป็นภูเขาหินสูงชันซับซ้อน ปลายยอดภูเขาปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน ผมอดประหลาดใจไม่ได้กับการบรรจบกันของความเย็นกับความร้อน เสมือนว่าทั้งสองส่วนลุข้อตกลงในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติวิธี ต่างฝ่ายต่างสงวนพลังอันยิ่งใหญ่ของตนไว้ไม่ล่วงเกินซึ่งกันและกัน ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าวันหนึ่ง ทั้งคู่เกิดโรมรันห้ำหั่นกัน เศษธุลีอย่างมนุษย์จะไปหลบเร้นที่ใดได้พ้น บนยอดเขาสูงแห่งหนึ่ง ผมมองเห็นสิ่งก่อสร้างรูปทรงแปลกตาดูคล้ายวัดแต่ไม่ใช่วัดแบบที่ผมเคยเห็น ความอยากรู้ชวนผมบินร่อนลงไปยังสถานที่นั้น สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือความเงียบสงบ ไม่ใช่เงียบจากการไร้สรรพเสียงรบกวน แต่เป็นความเงียบสงบที่ก่อเกิดขึ้นมาจากภายใน ผมร่อนลงเกาะบนกิ่งไม้เล็กๆ กิ่งหนึ่ง บริเวณรอบต้นไม้เป็นลานหินโล่งรูปวงกลมซึ่งชายชราในอาภรณ์แปลกตากำลังกวาดใบไม้แห้งมารวมกันตรงกลางลาน สวัสดีครับ ท่านเป็นเจ้าของที่นี่หรือ? ผมกล่าวคำทักทาย ชายชราผู้นั้นหยุดกวาดหันมามองผมพลางประนมมือขึ้นประชิดหน้าอกและค้อมศีรษะลงเล็กน้อย เปล่าเลย เราเป็นเพียงผู้อยู่อาศัยเท่านั้น ท่านพูดพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ แล้วใครเป็นเจ้าของล่ะ? ผมไม่วายสงสัย ไม่มีใครเป็นเจ้าของหรอก ใบไม้ก็เป็นของใบไม้ ก้อนหินก็เป็นของก้อนหิน แล้วท่านมาทำอะไรที่นี่? ผมเปลี่ยนคำถาม เรามาเพื่อรักษาศรัทธา และชี้ทางให้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ท่านตอบด้วยกิริยาสงบ งั้นท่านก็เป็นผู้วิเศษ? เปล่า...เราเป็นแค่คนธรรมดา แล้วทำไมถึงคิดว่าทุกคนต้องการท่าน? พวกเขาต้องการความเชื่อมั่นในศรัทธาของตัวเอง ผมนิ่งคิดตามคำตอบของชายชรา แต่ชั่วครู่คำถามใหม่ก็เกิดขึ้น ท่านรู้หรือเปล่า ว่าศรัทธาได้แยกมนุษย์ออกจากกัน ก่อให้เกิดความแตกต่างและความขัดแย้งจนนำไปสู่สงคราม มนุษย์เข่นฆ่ากันมาหลายยุคหลายสมัย เพียงเพราะศรัทธาที่ไม่ลงรอย ท่านกำลังดูแคลนพลังแห่งศรัทธาและมองข้ามความมืดบอดด้านอื่นๆ ของมนุษย์ น้ำเสียงของชายชรายังคงราบเรียบ ภายใต้ใบหน้านิ่งสงบ ศรัทธาที่แท้จริงนั้นไม่เคยสอนให้มนุษย์แปลกแยกหรือแตกต่างกันในความเป็นมนุษย์ ความแตกต่างนั้นล้วนเกิดขึ้นจากการตีความที่บิดเบี้ยวผิดเพี้ยนไปจากแก่นแท้ และเมื่อผสมเข้ากับความมืดบอดในจิตใจมนุษย์ที่มักยึดติดกับรูปลักษณ์ภายนอก ตีความสิ่งต่างๆ ตามแรงปรารถนาของตน สุดท้ายจึงนำไปสู่การเข่นฆ่าเพื่อกำจัดผู้ที่มีความเห็นแตกต่างจากตน ท่านเป็นผู้ขจัดความมือบอดในจิตใจมนุษย์หรือ? เราเป็นเพียงผู้ชี้ทาง ส่วนจะเกิดผลหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับตัวเขาเองว่าจะนำไปใช้อย่างไร สมมุติเรามอบมีดให้ไปเล่มหนึ่ง เขาอาจจะนำมันไปแผ้วถางเพื่อสร้างพื้นที่เพาะปลูกหล่อเลี้ยงชีวิต หรืออาจจะนำมันไปใช้เป็นอาวุธเพื่อเข่นฆ่าทำลายชีวิต นั่นขึ้นกับว่าจิตใจเขาถูกห่อหุ้มด้วยสิ่งใด ผ้าฝ้ายขาวบริสุทธิ์หรือตาข่ายดำทะมึนที่อบอวลด้วยกลิ่นคาวเลือด เราห้ามการเข่นฆ่าไม่ได้หรอก ตราบใดที่มนุษย์ยังหยิบเอาความแตกต่างมาอ้างเป็นความขัดแย้ง แทนที่จะเปิดใจเรียนรู้กันและกัน หมายความว่า สงครามจะไม่มีวันยุติตราบใดที่ยังมีพรมแดนแห่งความแตกต่างขีดคั่นระหว่างพวกเขา ผมเริ่มสิ้นหวัง พรมแดนที่อันตรายที่สุดอยู่ในนี้ ชายชราวางฝ่ามือลงบนหน้าอกตัวเอง ถ้าทลายกำแพงทิฐิในนี้ลงได้ มนุษย์ก็จะมองเห็นความเป็นมนุษย์ในตัวผู้อื่นไม่แตกต่างจากความเป็นมนุษย์ของตัวเอง สันติสุขอันแท้จริงก็จะบังเกิด สงครามจะกลายเป็นแค่บทเรียนแห่งความโง่เขลาในอดีต ผมนิ่งเงียบ นักบวชชราก้มหน้ากวาดใบไม้แห้งต่อด้วยอาการสงบ ชั่วอึดใจถัดมาผมก็ตัดสินใจกล่าวลา ท่านจะไปที่ใด? ยังไม่รู้ ผมตอบ ตั้งใจว่าจะบินต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดความสนใจในการบิน ก่อนกระพือปีกบินออกมาจากสถานที่อันสงบเงียบนั้น ผมได้รับคำอำนวยพรจากท่าน ซึ่งเป็นเพียงถ้อยคำง่ายๆ แต่ฟังดูคล้ายสาส์นแห่งสันติสุขที่ต้องการเผยแผ่ไปยังมนุษย์ทุกผู้ ผมบินสูงขึ้นสู่ผืนฟ้ากว้างใหญ่อีกครั้ง มุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตก การกระพือปีกของผมยังเปี่ยมไปด้วยพลัง เพียงแค่ขยับนิดหน่อยก็เกิดแรงส่งอันมหาศาลส่งตัวผมพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่สุดจะคาดเดา คงไม่มีนกตัวไหนทำได้อย่างผมแน่ๆ ท้องฟ้ายังคงเจิดจ้าด้วยแสงแห่งดวงอาทิตย์ตอนที่ผมร่อนลงในซอกหลืบระหว่างหุบเขา กองหินเรียงรายรอบปากหลุมดินคือสิ่งสะดุดตาที่ทำให้ผมอยากลงไปดูใกล้ๆ ในหลุมดินนั้นมีมนุษย์ที่ยังคงมีชีวิต! พวกเขาเป็นเด็กหนุ่ม ผิวคล้ำ ดวงตากลมโต สีหน้าไม่บ่งบอกว่ากำลังทุกข์หรือสุข แต่ทุกคนมีปืนและสวมกอดมันเสมือนเป็นอาภรณ์ประดับชิ้นหนึ่ง พวกเธอเป็นผู้ร้ายหรือ? ผมเอ่ยปากถามเมื่อร่อนลงเกาะบนกองหินใกล้ๆ พวกเขา เปล่า พวกเขาตอบ ถ้าอย่างนั้น เหตุใดพวกเธอจึงต้องพกปืน ความสงสัยเต้นเป็นประกายในดวงตาของผม เรากำลังต่อสู้ หนึ่งในนั้นตอบน้ำเสียงราบเรียบ กับใคร? ฝ่ายตรงข้าม ฝ่ายตรงข้าม? ใช่! พวกเธอขัดแย้งกันด้วยเรื่องอะไร? ผมสงสัยในเหตุแห่งสงคราม หลายอย่าง แววตาคนพูดแข็งกร้าวขึ้นชั่วขณะ ไม่มีทางอื่นที่จะหาข้อยุติของความขัดแย้งได้หรือ? ไม่มีหรอก ในดินแดนแห่งนี้ภาษาเดียวที่เราพูดกันเข้าใจก็คือสงคราม การสู้รบจะยุติก็ต่อเมื่อลมหายใจของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสิ้นสุดลงเท่านั้น เด็กหนุ่มคนหนึ่งเป็นผู้ตอบ แต่ความจริงอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความขัดแย้งจะยังคงดำเนินอยู่ต่อไปเหนือร่างไร้ชีวิต เหนือหลุมศพนับพันนับหมื่น เพราะมันหยั่งรากลึกอยู่ในสายเลือดของพวกเรา หยั่งลึกลงในทุกธุลีดิน คนรุ่นหนึ่งอาจจะตายจากไปพร้อมกับความขัดแย้งอย่างหนึ่ง แต่ข้อขัดแย้งใหม่ก็จะเกิดขึ้นมาพร้อมกับคนใหม่ สงครามจะถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น อย่างไม่มีวันจบสิ้น เธอเคยยิงใครหรือเปล่า? ผมหันไปถามเด็กหนุ่มที่ท่าทางอ่อนเยาว์กว่าเพื่อน เขาพยักหน้า แววตาปราศจากความวิตก ตอนเป็นเด็กวัยเดียวกันนี้ผมก็เคยถือปืนของเล่นรูปร่างคล้ายกับปืนในมือเขา เธอมีเหตุผลอะไรที่ต้องสู้? ครอบครัวผมตายเพราะกับระเบิดของพวกนั้น ผมจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจับปืนขึ้นมาต่อสู้เพื่อแก้แค้น พวกเราทุกคนล้วนมีอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน คือความสูญเสียที่คนอื่นหยิบยื่นให้ จะแน่ใจได้อย่างไรว่าคนที่เธอยิงนั้นเป็นคนที่วางกับระเบิดครอบครัวเธอ ไม่รู้หรอก รู้แต่ว่าถ้าเราไม่ยิง เราก็ถูกยิง เขาให้เหตุผลอย่างง่ายๆ ผมนิ่งเงียบ ก่อนจะมีคำถามใหม่ เธอไม่กลัวหรือ? กลัวอะไร? ความตายและการสู้รบที่ไม่วันจบสิ้น ไม่กลัวหรอก ตราบที่เรามีปืน มีอาวุธที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าฝ่ายนั้น ฝ่ายนั้น มีเด็กอายุขนาดเธอไหม? มีทุกขนาดแหละ ทั้งเด็กกว่าและแก่กว่า ผมยังเคยยิงคนที่แก่คราวพ่อมาแล้ว ตาเฒ่านั่นคว้ามีดไล่ฟันพวกเรากะฆ่าให้ตาย คนตัวโตกว่าชิงตอบ โชคดีที่เรายังเหลือกระสุนมากพอที่จะหยุดเขา การยิงคนเป็นเรื่องสนุกสำหรับเธอหรือ? ผมถามต่อไปอย่างขุ่นเคือง เปล่า คนตัวเล็กส่ายหัว ไม่สนุกเลย ผมว่าเขาหมายความตามนั้นจริงๆ เพราะภายใต้ดวงตาแข็งกร้าวนั้น มีร่องรอยแห่งความเศร้าสร้อยแฝงเร้นอยู่ ผมไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าเด็กน้อยมีตะกอนอะไรติดค้างในเบื้องลึกของความรู้สึก รู้แต่ว่ามันกำลังกัดกินเขาจากภายใน โดยที่ ไม่อาจหลบหนีหรือสลัดมันทิ้งได้ ฉันคงต้องไปแล้ว ผมเอ่ยขึ้นเมื่อรู้สึกหมดความสนใจต่อชะตากรรมของพวกเขา หวังว่าพวกเธอคงโชคดี ผมกล่าวลาอย่างไม่รู้จะใช้คำพูดไหน ก่อนจะสยายปีกบินออกมาจากซากกองหินรอบปากหลุมดินแห่งนั้น นานและไกลเท่าใดไม่รู้พลังแห่งปีกได้นำพาผมมาสู่ดินแดนอีกแห่งหนึ่ง มันเป็นมหานครขนาดใหญ่ ผมไม่เคยเห็นเมืองที่ไหนใหญ่โตเท่านี้มาก่อน ตึกรามบ้านช่องล้วนงดงามแปลกตา หรือว่าผมบินมาไกลจนถึงดินแดนที่ผู้คนเรียกกันว่าสรวงสวรรค์แล้ว ไม่ใช่หรอก นั่น! มนุษย์หัวไม้ขีดไฟเดินกันขวักไขว่ บางคนหัวสีทอง บางคนหัวแดงเพลิงราวหัวไม้ขีดกำลังติดไฟ ผมโฉบลดระดับลงไปใกล้ยิ่งขึ้นจนเริ่มสัมผัสได้ถึงความอลหม่านวุ่นวายของผู้คนและมหานครแห่งนี้ ผมบินลอดเข้าทางช่องลมของอาคารสูงแห่งหนึ่ง มันปิดกั้นตัวเองจากคนภายนอกอย่างมิดชิด ดูเหมือนที่นี่จะเป็นโรงงานอะไรสักอย่าง มีเครื่องจักรขนาดใหญ่หลายเครื่องตั้งเรียงรายเต็มไปหมด คนงานร่างกายกำยำกำลังตั้งหน้าตั้งตาทำงานกันอย่างขะมักเขม้น ดูเหมือนไม่มีใครมีเวลาใส่ใจกับการมาเยือนของผม ผมบินผ่านคนงานกลุ่มนั้นไปยังชายคนหนึ่งซึ่งดูท่าทางน่าจะเป็นคนคุมงาน เขาแต่งตัวด้วยยูนิฟอร์มสะอาดสะอ้าน ยืนกอดอกอยู่บนรองเท้าหนังมันวับราวกระจกเงา ผมร่อนลงเกาะที่ราวเหล็กข้างๆ เขา สวัสดี ผมคงไม่ได้มาขัดจังหวะนะ ผมเอ่ยทักทาย เขาหันมายิ้มพร้อมคำตอบสั้นๆ อ๋อ ไม่หรอก คุณคุมที่นี่หรือ? จะว่าใช่ก็ใช่...ความจริงผมเป็นคนออกแบบ เขายักไหล่ ออกแบบอะไร? ผมอยากรู้ นึกว่าคุณรู้แล้วซะอีก เขามองผมเหมือนรอให้พูด แต่พอเห็นผมทำหน้างงเลยพูดต่อ ผมเป็นนักออกแบบอาวุธ เป็นงานที่น่าสนใจดีนี่! ท้าทายเลยทีเดียวล่ะ คิดดูสิสิ่งประดิษฐ์ของเรากลายเป็นส่วนหนึ่งของการป้องกันประเทศ ผมมีส่วนช่วยกองทัพในการรักษาความมั่นคงของชาติ เขาเล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ความจริงผมน่าจะได้เหรียญกล้าหาญบ้างนะ คุณออกแบบปืนด้วยใช่ไหม? แน่นอน! รุ่นล่าสุดนี่ผมตั้งชื่อมันตามชื่อลูกสาวผมด้วยนะ เขาหัวเราะร่วน เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ผมภูมิใจมากที่สุดก็ว่าได้ เพราะผมสามารถทำลายข้อจำกัดเก่าๆ ด้วยการเพิ่มสมรรถนะในการยิงให้มันเป็นอาวุธที่ใช้งานง่ายแต่มีความแม่นยำสูง ขนาดลูกสาวผมยังยิงได้สบายๆ ประเทศคุณมีสงครามด้วยหรือ? ผมสงสัย ไม่มีหรอก แต่กองทัพก็ต้องเตรียมพร้อมไว้เสมอ เราไม่รู้หรอกว่าสงครามจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่เราพร้อมรับมือเสมอถ้าหากมันเกิดขึ้น แววตาเขาแข็งกร้าวขึ้นเล็กน้อย พวกคุณเป็นพวกกระหายสงคราม? หึหึ...ไม่รู้สิ สำหรับผมมันเป็นโอกาสพิสูจน์ผลงาน เขาลูบเคราเบาๆ งานของผมจะมีค่าก็ต่อเมื่อมีสงคราม ไม่ว่าจะเป็นสงครามของใครก็ตาม หมายความว่าคุณขายอาวุธให้คนอื่นด้วย? แน่นอน! ทุกที่ย่อมมีคนต้องการอาวุธ เราไม่ใจแคบเก็บไว้ใช้คนเดียวหรอก รู้หรือเปล่า? ว่าปืนของคุณทำให้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก น้ำเสียงผมจริงจัง เฮ้! คุณต้องแยกแยะให้ออก ระหว่างคนประดิษฐ์ปืนกับคนลั่นไก ผมไม่ได้เที่ยวควงปืนของผมไปยิงใครต่อใคร และถึงไม่มีปืนของผม พวกนั้นก็หาวิธีฆ่ากันได้อยู่แล้ว เราแค่เพิ่มทางเลือกให้-ก็เท่านั้น เขาแบะมืออย่างไม่ยี่หระ บ่อยครั้งที่ปืนของผมช่วยตัดสินผลแพ้ชนะของสงคราม แล้วรู้ไหมเกิดอะไรหลังจากนั้น? อิสรภาพ การปลดแอกเอกราชในบางประเทศ ปืนช่วยย่นระยะเวลาในขณะที่การเจรจามักจะก่อความยืดเยื้อเสมอ ถ้าวันหนึ่งอาวุธของคุณย้อนกลับมาทำร้ายครอบครัวคุณเองล่ะ? ไม่มีทางหรอก ใครๆ ก็รู้ว่าประเทศของเรามีกองทัพที่เข้มแข็งขนาดไหน น้ำเสียงเขามั่นใจอย่างนั้นจริงๆ และเราก็มีอารยธรรมที่เจริญก้าวหน้าเกินกว่าจะใช้อาวุธตัดสินปัญหา ผมก็หวังเช่นนั้น ขอให้คุณโชคดีไปตลอดก็แล้วกัน ผมทำท่าจะขยับปีกบิน เขารีบยกมือท้วงเหมือนยังต้องการพูดต่อ เดี๋ยวก่อน...เผื่อจะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นบ้าง เพื่อนสนิทของผมคนหนึ่งเป็นหัวหน้าทีมนักวิจัยในบริษัทยายักษ์ใหญ่ ซึ่งผมเองก็มีหุ้นอยู่ในนั้นด้วย ผมหยุดฟังด้วยความสนใจในสิ่งที่เขาจะพูดต่อไป ยาของเราถูกส่งออกไปช่วยชีวิตคนป่วยในทุกภาคพื้นทั่วโลก แล้วเราก็ไม่ได้ค้าขายเพียงหวังผลกำไรอย่างเดียวเท่านั้นหรอก ในประเทศด้อยพัฒนาเราแจกยาให้ประชาชนผู้ขาดแคลนฟรีๆ โดยไม่คิดมูลค่า พวกนั้นน่ะอย่าว่าแต่เงินจะซื้อยาเลย อาหารจะประทังชีวิตยังต้องงอมือรอความช่วยเหลือจากนานาชาติอยู่เลย จะว่าเราช่วยต่อชีวิตให้พวกเขาก็ไม่ผิด ก่อนจะขายปืนให้ฝ่ายตรงข้ามเอามายิงพวกเขาทิ้งน่ะหรือ? ผมเหน็บเสียงขุ่น นั่นเป็นความขัดแย้งของพวกเขา เป็นความเกลียดชังที่เราไม่ได้เป็นคนก่อ ความจริงพวกนั้นมีสิทธิที่จะเลือกใช้วิธีอื่นในการตัดสินปัญหา แต่พวกเขาก็วิ่งเข้าหาทางลัดและเลือกหยิบเอาวิธีการที่ง่ายที่สุด ผมไม่แน่ใจว่าจะดีใจหรือเปล่า ที่ได้รู้ว่าคุณเป็นเจ้าของบริษัทยา ผมพูดไปตามที่รู้สึก แต่ก็นั่นแหละมันก็คงไม่ยุติธรรมที่จะโยนความผิดทั้งหมดให้เขา ในเมื่อ...คนพวกนั้นยังคงวิ่งเข้าหาทางลัดและเลือกหยิบเอาวิธีการที่ง่ายที่สุด อย่างที่เขาปรามาศไว้ ผมคงต้องไปแล้ว ยังมีอีกหลายที่ที่ผมอยากเห็น หวังว่าคุณคงขายยาได้มากกว่าปืนนะ ผมพูดก่อนขยับปีกกระพือออกบิน นั่นก็ขึ้นกับว่ามีคนอยากอยู่มากกว่าคนอยากตาย เสียงเขาตอบไล่หลังมาไม่ห่าง นั่นสินะ ผมบินออกจากมหานครแห่งนั้น มุ่งหน้าลงทางใต้ บินข้ามมหาสมุทร จนไปถึงผืนแผ่นดินกว้างใหญ่อันอุดมด้วยเทือกเขาและป่ารกทึบ เมื่อล่วงพ้นเขตป่าผมมองเห็นที่ลาบเตียนโล่ง ที่ซึ่งความอุดมสมบูรณ์ไม่สามารถเดินทางมาถึง แผ่นดินแห้งแตกระแหง ต้นไม้ยืนต้นแห้งเฉารอคอยวินาทีแห่งความตายที่กำลังคืบคลานใกล้เข้ามาทุกขณะ แหล่งน้ำแห้งขอดจนเกือบจะกลายเป็นปรักโคลนขุ่นขลัก ไม่ไกลจากแหล่งน้ำมีเพิงผ้าใบเก่ามอซอตั้งท้าลมท้าแดดอยู่อย่างโดดเดี่ยว ผมผ่อนแรงกระพือปีก ค่อยๆ ร่อนลงยังพื้นดินด้านหน้าเพิงแห่งนั้น ข้างในเพิงมีเตียงไม้เรียงรายหลายเตียง และทุกเตียงมีคนป่วยนอนซมคล้ายรอคอยการตัดสินของชะตากรรมอันมืดหม่น คนที่ไม่เจ็บป่วยก็เฝ้าปรนนิบัติญาติมิตรของตนอยู่ไม่ห่างเตียง แววตาของพวกเขานั้นฉาบด้วยความเศร้าสร้อย สิ้นหวัง ผมขยับเข้าไปใกล้เตียงของชายชราผิวเข้มหนวดเคราปรกรุงรัง ซึ่งนอนนิ่งด้วยลมหายใจอันแผ่วบาง เขาเหลือบมองผมด้วยดวงตาแร้นแค้น เธอมาทันได้ดูความตายของฉันพอดี พ่อหนุ่ม เสียงเขาลอดผ่านลำคอออกมาอย่างยากลำบาก ผมไม่ได้มาดูความตายของคุณหรือของใครหรอก ผมแค่เดินทางผ่านมาเท่านั้น ผมตอบ แต่ถึงยังไง เธอก็จะได้เห็นความตายของฉันอยู่ดี คุณรู้ได้ยังไง ว่ากำลังจะตาย? ผมขยับเข้าใกล้เขายิ่งขึ้น รู้สิ อีกไม่กี่อึดใจฉันจะต้องตายแน่ๆ ทุกคนที่นอนซมอยู่ที่นี่ก็จะต้องตายเหมือนอย่างฉัน ไม่มีใครรอดหรอก ไม่มีใครมาช่วยเรา พวกเขาทิ้งเราแล้ว ใครทิ้งพวกคุณ? ผมอยากรู้ขึ้นมาทันที หมอ หมอ?! ใช่...หมอ พวกนั้นเป็นหมอ พวกเขาเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากดินแดนที่อยู่ไกลแสนไกล เพื่อเอายามารักษาให้เราฟรีๆ ตามความเห็นของฉันถ้าพวกเขาไม่ใช่หมอพวกเขาก็คงเป็นพระเจ้า เขาสำลักและไอออกมา 2-3 ที ยาของพวกเขาราวกับน้ำทิพย์จากพระผู้เป็นเจ้า มันทำให้อาการป่วยของพวกเราดีขึ้นทันตาเห็น ฉันเกือบจะลุกจากเตียงได้อยู่แล้วเชียว แต่แล้วอยู่ๆ พวกเขาก็บอกเราว่ายาหมด ถ้าจะรักษาต่อต้องใช้เงินจำนวนมาก มากเท่าใดฉัน ไม่รู้หรอก รู้แต่ว่าตัวฉันไม่มีเงินเลย พวกเราทุกคนไม่มีใครมีเงินกันหรอก เราไม่มีงานให้ทำมานานแล้ว ตั้งแต่ประเทศของเราเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นทุกอย่างก็เปลี่ยนไป แล้วทำไมพวกเขายอมให้ยาฟรีในตอนแรกล่ะ? ผมเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากล เรื่องนั้นฉันไม่รู้หรอก เห็นพวกเขาพูดกันว่ามันเป็นยาตัวใหม่ และเราเป็นคนป่วยกลุ่มแรกที่ได้ลองใช้ยาพวกนี้ พวกเขาจุดประกายความหวังให้เรา ก่อนจะทอดทิ้งเราไว้ใต้ม่านมืดแห่งความสิ้นหวัง ดูคนพวกนี้สิ ชายชราเบี่ยงหน้าไปยังคนป่วยอื่นๆ ที่วางร่างกายเหี่ยวแห้งราวซากศพอยู่บนเตียงไม้เก่าๆ พวกเขาล้วนอยู่บนชะตากรรมเดียวกันกับฉัน ต้องการยา และรอคอยความตาย โดยแอบตั้งความหวังไว้ลึกๆ เบื้องหลังแววตาจวนเจียนสิ้นหวัง ว่าอย่างแรกจะเดินทางมาถึงก่อน ผมไพร่นึกถึงยาของพ่อค้าอาวุธ และอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบระหว่างยากับปืนของเขา อย่างไหนฆ่าคนให้ล้มตายมากกว่ากัน ทำไมพวกคุณไม่คิดช่วยตัวเองบ้างเล่า นอกจากการนอนรอคอยความตายอยู่เฉยๆ อย่างนี้ เราทำอะไรไม่ได้หรอก พ่อหนุ่ม ก่อนมาถึงนี่ท่านคงเห็นสภาพความกันดารของดินแดนแห่งนี้แล้ว เราได้สูญเสียจิตวิญญาณเดิมที่เคยอยู่กับเรามาเนิ่นนานตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษไปอย่างสิ้นเชิง ป่าของเราถูกตัดทำลาย พืชพรรณอันมีค่าถูกลำเลียงไปยังดินแดนของคนผู้มั่งคั่งวันแล้ววันเล่า จนสุดท้ายเราไม่เหลือแม้แต่สมุนไพรสักต้น น้ำเสียงเขาบ่งชัดถึงความเจ็บปวด เมื่อทรัพยากรเหลือจำกัดสงครามก็เกิดขึ้น ผู้คนแตกออกเป็นฝักฝ่ายแข่งขันกันสั่งสมอาวุธ และเริ่มลงมือเข่นฆ่ากันเอง ความจริงสงครามที่ฉันกล่าวถึงนี้เกิดอยู่ยังอีกฟากหนึ่งของประเทศเรา แต่ผลของมันลุกลามไปยังทั่วทุกหัวระแหง ความตาย ความอดอยาก ความแร้นแค้นกันดารคือคนแปลกหน้าที่เดินเข้ามาขับไล่เราออกจากบ้านอันอบอุ่นแสนสุข ของเราเอง ผู้ที่มีกำลังเข้มแข็งกว่ายึดครองเอาทุกอย่างเป็นของตนเอง ในขณะที่ผู้อ่อนแอถูกจับมัดแน่นไว้กับความสิ้นหวัง เอาล่ะ ได้เวลาที่ฉันต้องพักผ่อนแล้ว ดีใจที่ได้พูดกับเธอนะ ขออวยพรให้เธอโชคดี พูดจบชายชราก็ปิดเปลือกตาลง หน้าอกของเขายังกระเพื่อมตามจังหวะหายใจอันแผ่วเบา ลาก่อน ผมกล่าวคำลาแก่เขา แล้วบินจากมาอย่างเงียบเชียบ ชายชรา รวมทั้งคนป่วยพวกนั้นอาจจะสิ้นใจก่อนที่ผมจะทันบินพ้นจากดินแดนของพวกเขา หรืออาจจะอยู่ต่อบนลมหายใจรวยริน กระทั่งหมอของพวกเขานำยาตัวใหม่มาป้อนให้ แต่ถึงอย่างไรมันคงไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของพวกเขาได้ ชะตากรรมที่ถูกกระทำโดยเงื้อมมือของคนแปลกหน้าที่พวกเขาไม่มีวันได้รู้จัก ผมนึกถึงคำอวยพรของนักบวชผู้ตั้งมั่นในความสงบสุขบนยอดเขาสูง และอยากมอบมันให้แก่ชายชราผู้สิ้นหวัง แต่ใจหนึ่งผมคิดว่า ชายชราได้ล่วงรู้และเข้าใจในสัจธรรมแห่งชีวิตด้วยตัวของเขาเองแล้ว คงไม่มีคำอวยพรใดๆ มีค่ากับเขาอีกต่อไป ซึ่งผมอาจจะคิดผิดก็ได้ ดวงอาทิตย์เริ่มอ่อนแสงลง คงใกล้เวลาอัสดงเต็มที ผมบินอยู่เหนือแผ่นดินกว้างใหญ่ที่ดูเหมือนไร้ขอบเขต เสียงปืนดังแว่วมาจากทิศใดทิศหนึ่งซึ่งไกลออกไป แม้จะแผ่วเบามันก็สร้างความสับสนให้กับผมจนไม่รู้ว่าจะบินต่อไปทางไหน ผมนึกไม่ออกว่ายังมีอะไรอื่นอีกที่ผมยังอยากรู้อยากเห็น ยังมีดินแดนใดที่ผมอยากไปถัดจากนี้ ผมรู้แค่ว่าความสนุกในการบินของผมมลายหายไปหมดแล้ว ความภูมิใจในพละกำลังแห่งปีกไม่มีตกค้างหลงเหลืออยู่อีกเลย โลกอันไร้พรมแดนแบ่งกั้นนั้นเป็นเพียงมายาคติที่ผมอุปโลกย์ขึ้นมา เป็นโลกที่ไม่มีอยู่ในความเป็นจริง ปีกของผมหมดเรี่ยวแรงพร้อมๆ กับหัวใจอันห่อเหี่ยว สิ้นหวัง และสิ่งที่ผมอยากทำมากที่สุดก็คือ ตื่นจากความฝันนี้เสียที!
13 ธันวาคม 2549 12:04 น. - comment id 94272
ทุกสิ่งเกิดขึ้นมาจากใจ และก็สิ้นสุดลงด้วยใจเช่นกัน เขียนดีนะ ชอบๆ
13 ธันวาคม 2549 13:17 น. - comment id 94273
แค่คิดอยากจะตื่นจากฝัน นั่นก็ถือว่าตื่นแล้วครับ ชอบงานชิ้นนี้จัง
15 ธันวาคม 2549 12:04 น. - comment id 94311
บางทีการเป็น แมลงปอ หรือ ผีเสื้อที่ถึงจะมีปีกอ่อน เปราะบาง ก็มีความสุขกว่า นกอินทรี หรือ เหยี่ยว ที่เป็นสัตว์นักล่า ที่ดูเหมือนแข็งแกร่งแต่แท้จริงไม่ได้เชยชมความงามของธรรมชาติอย่าง แมลงปอหรือ ผีเสื้อเลย(ยกเว้นแมลงวันไว้อย่างหนึ่งนะ...เหอๆ...)
20 ธันวาคม 2549 23:09 น. - comment id 94388
(ยกเว้นแมลงวันหัวเขียวครับ) ขอบคุณทุกๆ ท่านจากใจจริงครับ
23 พฤษภาคม 2550 18:09 น. - comment id 96298
อ่านงานเขียนของคุณ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ 2 (เพิ่งเข้ามาค่ะ) รู้สึกถึงการเล่าที่มีความรู้สึกสะกิดไปข้างในของใจค่ะ มันหม่นหมอง คงเหมือนฝันของคุณมั้งค่ะ โชคดีที่คุณบินลงมาทางใต้ ทำให้คนใต้อย่างฉันได้รู้ว่า เออมีคนที่สามารถสื่อ ออกมาได้อย่างที่ใจคิดค่ะ ขอบคุณค่ะที่เขียนเรื่องดี ดี ให้อ่าน