บทที่ ๒๗ อวสานจอมอสูร บรรดาทหารเหล่าอสูรต่างๆก็ถึงกับมิมีอันทำการสู้รบมัวพะวงต่อสัตว์เหล่านี้บ้างก็วิ่งหนีจาระหวั่น บ้างก็ต้องสังเวยชีวิตไปกับพิษภัยอันร้ายกาจของเหล็กในของตัวต่อแตนยักษ์อีกพิษต่างๆ ของบรรดาเหล่าอสรพิษและของเหล่าสัตว์ร้ายทั้งหลาย ภายในบริเวณนั้นก็เต็มไปด้วยฝูงสัตว์ทั้งหลาย ที่พากันเข้ารุมช่วยทางด้านทหารของเมืองนาครินทนาครต่อสู้กับเหล่ายักษ์ อสูรเป็นพัลวันมิย่อท้อ บ้างก็ตกตายไป ส่วนที่อยู่ก็พุ่งเข้าหามิได้เกรงกลัวความตายกัน จนถึงกับทำให้เหล่าอสูร ยักษ์ทั้งหลาย พากันแตกตื่นตกใจเสียขบวนทัพ ส่วนบนฟากฟ้าก็เต็มไปด้วยอาวุธวิเศษนานานัปการเข้าต่อสู้กันและกัน ทั้งเหล่าฝูงต่อแตนทั้งลายคาดเหลืองและตัวเหลืองดั่งทองและสัตว์มีปีกต่างๆก็พากันมาช่วยเข้ามา ร่วมรบทั้งทาง ฟากฟ้าและบนดิน บรรดาท้องฟ้าเดี๋ยวก็มืดครึ้มเดี๋ยวก็สว่างบ้างก็ขมุกขมัวมืดฟ้ามัวดิน สลับกันไปทั่ว ระงมไปด้วยเสียงร้องก้องด้วยความเจ็บปวดจากอาวุธและพิษร้ายของสัตว์ร้ายเหล่านี้ ท้าวเธอนิลกาฬเห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ก็ทรงกริ้วพิโรธยิ่งนักตวาดด้วยพระสุระเสียงดังกึกก้อง สองพระเนตรแดงกร่ำกระทืบพระบาทดังสนั่นได้ยินดังไปทั่ว พระหัตถ์ขวากุมกระบองสีดำเหล็ก ไหลละเลื่อมเป็นเงาประกาย พระหัตถ์ซ้ายทรงสะบัดผ้าแพรไหมสีดำไปทางใดก็เกิดไฟประลัยกัลป์ เข้าเผาผลาญทหารทั้งหลายและบรรดาสัตว์ต่างๆล้มตายหล่นเกลื่อนทั่วบริเวณส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง ท้าวทัศยุราชันย์เห็นดังนี้ก็ทรงร่ายพระเวทย์โยนจักรเพชร ตรีเพชร บ่วงบาศนาคราช พระหัตถ์ทั้งสอง ก็ทรงแกว่งไกวดาบและตรีเพชรเข้าฟาดฟันทหารแตกกระจาย รุกเข้าไปจนถึงหน้าพระราชรถขององค์ ท่านท้าวนิลกาฬ ต่างก็เข้ารบพุ่งตีฟาดฟันรบพุ่ง ท่านท้าวเธอก็ทรงหวดด้วยกระบองเหล็กไหล เข้าใส่ดาบทันที เกิดประกายไฟแลบเสียงดังสนั่นกึกก้องปานแผ่นดินจะถล่มทลาย ครั้นได้จังหวะ ท่านท้าวองค์ทัศยุราชันย์ก็ฟันด้วยดาบไปยังพระอุระของท้าวนิลกาฬขาดเป็นสองท่อน แต่พอดาบผ่านพ้น ไปร่างท่านท้าวนิลกาฬก็คืนกลับเข้าประสานสู่สภาพดังเดิม ทรงพระสรวลดังลั่นพลันพระองค์ก็ทรงหวด ท่านท้าวทัศยุราชันย์ด้วยกระบองเหล็กไหลสีดำไปยังร่างของท้าวทัศยุราชันย์บ้างทำให้ร่างท้าวทัศยุราชันย์ ปลิวกระเด็นลอยไปในอากาศทันที เจ้าหญิงทั้งหลายต่างหวีดร้องเสียงดังลั่นด้วยความตกพระหฤทัย กันเซ็งแซ่ไปหมดต่างแหงนมองดูร่างขององค์ทัศยุราชันย์ลอยละลิ่วไปบนท้องฟ้า เจ้าหญิงมณีกานต์ ก็ทรงพระพิโรธยิ่งนักพลางสลัดทิ้งราชพาหนะพระยาราชสีห์รีบทะยานเหาะขึ้นไปรับร่างองค์ทัศยุราชันย์ ที่ทรงสิ้นพระสติสมประดีไปไปทันที ก่อนที่ร่างนั้นจะล่วงหล่นมายังพื้นดินก็ทรงไขว่คว้าไว้ได้รีบเหาะ นำร่างขององค์ทัศยุราชันย์เข้าไปยังในเมืองนาครินทนาครทันที เจ้าหญิงดาริกาทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้นก็ทรงพระพิโรธจนลืมพระองค์พุ่งทะยานด้วยความโกรธ พุ่งเข้าหาท้าวนิลกาฬ พระองค์ทรงฟาดร่างของท้าวนิลกาฬที่กำลังทรงพระสรวลสำราญลั่นด้วยความดี พระราชหฤทัยดังสนั่นไปทั่วโดยมิได้ทันคิดจะปกป้องร่างกายพระองค์ด้วยทรงเชื่อมั่นในฤทธิ์ที่มีอยู่นั้น ก็เลยถูกเจ้าหญิงดาริกาทรงตีเข้าด้วยด้ามตรีศูลที่ได้รับพระราชทานจากพระแม่เจ้าอุมาเทวีแห่งจอมเขา ไกรลาสไว้เป็นศาสตราอาวุธประจำพระองค์ซ้ำยังถูกแทงด้วยงาช้างขององค์พระพิฆเนศวรเจ้าที่ทรวงอุระ ปักคามิอาจจะทรงถอนออกมาได้ติดแน่นพระวรกายเลือดไหลซึมตลอดเวลา หงายหลังพลัดตกจาก พระราชรถด้วยความเผลอของพระองค์ทันที เมื่อพระองค์เห็นผู้ที่ลอบทำร้ายพระองค์นั้นเป็นอิสตรีเช่นนี้ ทำให้พระองค์ทรงหวนรำลึกถึงคำตรัสขององค์พระศิวะมหาเทพแห่งเขาไกรลาสที่ประทานพรให้ไว้ แก่พระองค์ ก็ยิ่งทรงแตกตื่นตกพระทัยเป็นยิ่งนัก รีบทะยานกายหมายคิดจะหลบหนีจากเจ้าหญิงดาริกา แต่ด้วยความแค้นเคืองอย่างที่หาที่สุดมิได้ของเจ้าหญิงดาริกาทรงรีบพุ่งพระคทาตรีศูลเข้ายังเบื้องหลัง ของท้าวนิกาฬทันที คมของตรีศูลก็เข้าเสียบทะลุออกยังเบื้องหน้าพระอุระ พระโลหิตท่านท้าวนิลกาฬ ก็หลั่งสาดชโลมไปทั่วบริเวณพื้นแผ่นดินร่างพระองค์คว่ำพระพักตร์ถูกตรีศูลปักกับพื้นแผ่นดินทันที หากเป็นการก่อนมิใช่อิสตรีแล้วไซร้ร่างนั้นก็จะคงทนต่อศาสตราอาวุธทั้งปวงหากขาดออกจากกัน หรือเป็นบาดแผลใดๆก็จะคืนกลับสู่สภาพดังเดิมทันทีเร็วพลัน แต่บัดนี้ร่างของจอมอสูรหาได้เป็น เช่นเก่าก่อนแต่ใดไม่ ร่างพระองค์จึงค่อยๆดึงพระวรกายทั้งๆที่คมของตรีศูลยังปักคาพระอุระรีบหันกลับ มาทอดพระเนตรเจ้าหญิงดาริกาด้วยพระอาการเหม่อลอย พระเนตรทั้งสองเบิ่งโปนเส้นพระโลหิต บนพระพักตร์เขียวคล้ำแสดงความหวาดวิตกตระหนกยิ่ง คล้ายคิดจะทรงตรัสแต่มิมีเสียงดังออกมา ร่างของพระองค์ค่อยๆทรุดลงกับพื้นสองพระเนตรค้างสิ้นพระทัยลงไปในทันที ส่วนบรรดานายทัพ นายกองทั้งหลายที่ต่างเฝ้าคุ้มครองต่างตื่นตระหนกพากันส่งเสียงร้องระงมไปทั่วบริเวณส่งเสียงดังว่า องค์ท่านท้าวเธอนิลกาฬได้สิ้นพระชนม์ชีพแล้ว เหล่าบรรดาทหารทั้งปวงที่ได้ยินเช่นนั้นหันมามองดูแล้ว ต่างก็รีบหนีไปจากบริเวณสนามรบทันที แต่ก็หาได้หลุดพ้นไปจากการตามไล่ล่าของบรรดาเหล่าฝูง สัตว์ต่างๆที่เที่ยวไล่ตามทำร้ายแทบจะมิเหลือกลับคืนไป ทางด้านองค์พระยุพราชสิงหะฤทธาที่เข้าต่อสู้กับพระยุพราชอหิงสากุมารทั้งสองพระองค์ต่าง เข้าโรมรันมิมีผู้ใดแพ้ชนะแก่กันด้วยมีฝีมือทัดเทียมกัน ด้านองค์พระยุพราชโกเมศกุมารกับพระยุพราช นิละกาสูรย์ก็ต่างต่อสู้ยากจะหาผู้ใดแพ้ชนะได้ บรรดาไพร่พลต่างก็ล้มตายกันไป จนเหลือน้อยเต็มที เมื่อเห็นเป็นเช่นนั้นทางด้านเจ้าหญิงปทุมวดีและเจ้าหญิงเฌอมาลย์ต่างนำทหารเข้ามาช่วยรบกับ พระยุพราชสิงหะฤทธาและพระยุพราชโกเมศกุมารอีกแรงหนึ่งโดยแยกกันเข้าไปช่วย ทางองค์หญิงเฌอมาลย์เข้าไปช่วยรบทางด้านยุพราชสิงหะฤทธา เจ้าหญิงปทุมวดีเข้าไปช่วยทางด้าน พระยุพราชโกเมศกุมาร เมื่อเพิ่มขึ้นเป็นสองต่อหนึ่งต่างก็ประลองฤทธิ์ด้วยอาวุธวิเศษทั้งหลาย ต่างมีฤทธิ์เดชแตกต่างกันเข้าหักล้างซึ่งกันและกัน ยังหาผู้ใดแพ้ชนะกันไม่ จนกระทั่งทางพระยุพราช นิละกาสูรย์กับพระยุพราชอหิงสากุมารก็เสียที ล้มลงก็เลยถูกเจ้าหญิงทั้งสองจับกุมตัวได้ทั้งสองพระองค์ ด้วยกำไลแก้วของเจ้าหญิงปทุมวดีเข้ามัดร่างขององค์พระยุพราชนิละกาสูรย์และยุพราชอหิงสากุมารแน่น มิอาจขยับตัวไปได้อาวุธของพระองค์ทั้งสองก็ล่วงหลุดจากพระหัตถ์ ถูกเจ้าหญิงเฌอมาลย์เข้าเก็บไว้ได้ เมื่อเหล่าทหารทั้งหลายเห็นพระยุพราชทั้งสองถูกจับกุมในการต่อสู้ครั้งนี้และท่านท้าวนิลกาฬสิ้น พระชนม์ไปแล้ว เหล่าทหารทั้งหลายก็ต่างแตกกระเจิงพาหนีกันอลหม่าน บ้างถูกจับกุมตัวได้บ้างหนี หายเข้าป่าทางภูเขาต่อไป บ้างเหาะตะเริดเปิดเปิงหนีหายคนละทิศละทางเพื่อหาทางกลับไป ยังพระนครของตน พากันทิ้งอาวุธยุทโธปกรณ์เกลื่อนกลาดไปทั่วบริเวณรวมทั้งพาหนะตลอดจนเครื่อง ใช้ในการศึกต่างๆนานาเป็นจำนวนมากมาย ครั้นเจ้าหญิงดาริกาครั้นเห็นองค์ท้าวนิลกาฬทรุดสิ้นพระชนม์ไปก็รีบไปตรวจสอบให้แน่พระทัย เมื่อเห็นองค์ท่านท้าวนิลกาฬสิ้นพระชนม์ ก็ทรงเหาะทะยานไปหาองค์หญิงมณีกานต์ทันที ต่างช่วยกันรีบนำองค์ทัศยุราชันย์กลับเข้าสู่ยังนครนาครินทนาครเพื่อรักษาพระอาการ ท่านมหาราชครูรีบเข้ามารับร่างขององค์ท้าวทัศยุราชันย์และรีบนำเอาน้ำอำมฤตศักดิ์สิทธิ์กรอกใส่ ทางพระโอษฐ์ ส่วนเจ้าหญิงทั้งสองก็ทรงนวดพระวรกาย พอเวลาผ่านไปสักครู่ใหญ่องค์ทัศยุราชันย์ ก็ทรงผายพระอัสสาสะและพระปัสสาสะจากช้าๆค่อยเร็วๆขึ้นตามลำดับ แล้วพระองค์ก็ทรงลืมพระเนตร พร้อมกุมพระปรัศว์ครวญครางเบาๆ ทรงพยายามจะลุกขึ้น แต่เจ้าหญิงทั้งสองได้กดพระวรกายไว้ ให้พระองค์ทรงพักพระวรกายนิ่งๆ เมื่อเป็นดั่งฉะนี้แล้ว พระองค์ทรงตรัสว่า “ น้องหญิงพี่โดนกระบองท่านท้าวนิลกาฬฟาดนึกว่าพี่จะสิ้นพระชนม์เสียแล้ว” เจ้าหญิงทั้งสองทูลเกือบพร้อมกันว่า “ยังเพคะขอพระองค์ทรงพักพระวรกายก่อนเถิดแล้วจะทูลให้ฟังในภายหลัง” ครั้นพระองค์ทรงพักผ่อนพระวรกายจนหายดีแล้วจึงทรงลุกขึ้นพลางทรงพระดำรัสถาม “การศึกเป็นอย่างไรบ้างน้องหญิง พี่เองไม่ค่อยสบายใจนัก” “การศึกสิ้นสุดแล้วเพค่ะ ท่านท้าวนิลกาฬทรงสิ้นพระชนม์แล้ว ส่วนองค์พระยุพราชทั้งสอง ก็ถูกจับกุมไว้ด้วยแล้วเพค่ะ” องค์หญิงดาริกาทูล “ถ้าเป็นอย่างนี้ขอเราพบหน่อยได้ไหมน้องหญิง” องค์ทัศยุราชันย์ทรงตรัส “อย่าพึ่งเลยเพค่ะ ขอให้ฝ่าบาททรงดีกว่านี้สักหน่อย” เจ้าหญิงตรัส ครั้นเวลาผ่านเลยไปได้พอยาวนานเห็นว่าพระอาการดีขึ้นมากแล้วจึงทรงตรัสขึ้นว่า “ไม่หรอกน้องหญิงพี่หายดีแล้วเพียงแต่ยังขัดอยู่บ้างนะ” ทรงตัดด้วยความ เป็นห่วงเป็นใยของเจ้าหญิง ทรงพยายามทรงลุกยืนพระวรกายขึ้นสาวพระบาทไปๆมาๆ ให้ทอดพระเนตรแก่เจ้าหญิงทั้งสองดูว่าทรงไม่เป็นอะไรมากแล้ว พระองค์ก็ทรงเดินมาขึ้นนั่งประทับพลางกวาดพระเนตรไปทั่วบริเวณทันที ก็ทอดพระเนตรเห็นเจ้าหญิงดาริกา เจ้าหญิงมณีกานต์ถัดไปเป็นเจ้าหญิงปทุมวดี และเจ้าหญิงเฌอมาลย์ตลอดจนพระยุพราชสิงหะฤทธาและพระยุพราชโกเมศกุมาร ตลอดท่านพ่อปู่ราชครูกำลังทยอยเข้ามาแล้วเข้านั่งเฝ้าล้อมรอบพระองค์อยู่ ทรงเห็น ทุกๆพระองค์ต่างมีสีหน้าซึ่งทรงแสดงเป็นห่วงเป็นใย ก็ทรงพระสรวลเบาๆทรงไต่ถาม ถึงเหตุการณ์ต่างๆในการศึกครั้งนี้ ซึ่งต่างก็รายงานทูลถวาย หลังจากที่พระองค์ถูกกระบองเหล็ก ไหลสีดำตีเข้าข้างพระวรกายลอยกระเด็นไปยังบนฟากฟ้า เจ้าหญิงมณีกานต์ทรงขึ้นไปรับ และเจ้าหญิงดาริกาทรงสังหารองค์ท้าวนิลกาฬจนสิ้นพระชนม์ชีพด้วยคทาตรีศูลและแทงด้วยงาช้าง ของพระแม่เจ้าอุมาเทวีกับองค์พระพิฆเนศวรเจ้าจนถึงกับสิ้นพระชนม์ไปในกลางสนามรบครั้งนี้ ส่วนเจ้าหญิงปทุมวดีและเจ้าหญิงเฌอมาลย์ต่างเข้าช่วยพระยุพราชทั้งสองจนสามารถจับกุมพระยุพราช แห่งอหิงสากะนครและนิลกาฬนครได้ และนำพระองค์มามอบให้มหาราชครูรักษาจนฟื้นพระองค์ ส่วนเหล่าทหารทั้งหลายของเมืองต่างๆต่างก็ได้หลบหนีไปสิ้น ทั้งยังถูกพวกพยัคฆาลายพาดกลอน และฝูงต่อแตนเหล่าอสรพิษต่างๆติดตามเข้ารุมทำร้ายไป หายไปจนหมดสิ้นแล้ว ส่วนทหารหญิงชาย ที่ได้รับการฝึกฝนเป็นอย่างดีนั้นหาได้มีผู้ใดเสียชีวิตแต่ประการใดไม่ นอกจากเหล่าทหารที่ไม่ได้รับ การฝึกฝนเท่านั้น แต่บัดนี้ได้กลับฟื้นคืนชีวิตได้ทั้งหมดแล้วด้วยอำนาจของน้ำอำมฤตศักดิ์สิทธิ์ที่เหล่า ทหารทั้งหลายได้ดื่มกินไว้ก่อน พอสิ้นชีวิตไปก็ไปบังเกิดขึ้นในธารอันศักดิ์สิทธิ์กลับเข้ามาทำการหมด แล้ว บัดนี้นครนาครินทนาครได้กลับคืนเข้าสู่เหตุการณ์ปกติ จะมีก็เหล่าทหารที่ยังคงเข้าไปเก็บกวาด รักษาพื้นที่ให้ได้รับความสะอาดดุจดังเดิมเท่านั้น เมื่อองค์ทัศยุราชันย์รับทราบแล้วก็ขอร้องให้ช่วยไปนำยุพราชทั้งสองที่จับกุมได้มาเฝ้าทันทียังแท่น ที่ประทับรักษาพระองค์ เมื่อมีการทูลทัดทานแต่ก็ไม่สำเร็จเพราะองค์ทัศยุราชันย์ไม่ทรงยินยอมด้วย จึงต้องตามพระราชหฤทัย ใช้ทหารชายหญิงไปที่ยังควบคุมตัวพระยุพราชทั้งสองเพื่อนำเข้าเฝ้า ครั้นนำตัวพระยุพราชนิละกาสูรย์และอหิงสากุมารมาถึง องค์ท้าวทัศยุราชันย์ก็ทรงเข้าไป แก้มัดแก่องค์ยุพราชทั้งสองทันทีด้วยพระองค์เอง พร้อมพระองค์ทรงตรัสเชิญทั้งสองพระองค์ ให้เข้าประทับยังที่สมควร แล้วทรงกล่าวขอโทษต่อองค์ยุพราชทั้งสองถึงเหตุการณ์ที่ไม่สมควรทำ แก่องค์ยุพราชทั้งสอง ท่ามกลางความงุนงงสงสัยแก่ทั้งหลาย ตลอดจนสร้างความมึนงง ต่อองค์ยุพราชทั้งสองเป็นยิ่งนักไม่คิดว่าจะได้รับการต้อนรับที่ดีนี้เกิดขึ้น เพราะพระองค์ทั้งสองก็เป็น นักโทษไปแล้วย่อมจะทำการอย่างอื่นซึ่งไม่ใช่แบบนี้แก่พระองค์ แล้วองค์ทัศยุราชันย์ก็ทรงตรัสว่า “ท่านทั้งสองหาใช่เป็นความผิดแก่ท่านประการใดไม่ สาเหตุที่เป็นไปเช่นนี้ก็ด้วยเพราะความ อยากเต็มไปด้วยตัณหาและความโลภหวังในสิ่งที่ไม่สมควรจะพึงมีซึ่งขัดต่อพระบัญชาสวรรค์เบื้องบน การที่เราอยู่ที่นี่ก็มิได้เคยคิดที่จะเป็นศัตรูแก่เหล่านครใดๆเลย ทางเราเพียงแค่ถือปฏิบัติต่อบัญชาเบื้องบน เท่านั้นเพื่อรักษาน้ำอำมฤตไว้ให้แก่เหล่ามหาเทพทั้งหลายใช้ในเมื่อเกิดความจำเป็นในกาลภาคหน้า ที่พระองค์จะประสงค์นั้น หากมิใช่พระบิดาของท่านยุพราชนิละกาสูรย์มิหลงผิดก็คงจะไม่มี เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น เราเองก็เสียใจอย่างสุดซึ้งที่ต้องจำเป็นเข้าต่อสู้เพื่อปกป้องสิ่งนี้ไว้ ตลอดจนท่านท้าวสุพพัตสุระนั้นมีความเข้าใจผิดต่อกัน หากต่างคนต่างที่จะอยู่อย่างสันติต่อไป ไม่รุกรานซึ่งกันและกันและหวังในสิ่งที่ไม่สมควรจะได้เช่นนี้แล้วก็คงไม่ทำให้เหล่าประชาอาณาเขต พากันเดือดร้อนไปตามๆกัน หวังว่าพระยุพราชทั้งสองเข้าใจ ขอพระองค์คงจะไตร่ตรองถึงเหตุผลต่างๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วย เราเองนั้นมิได้คิดว่าทุกๆคนจะเป็นศัตรูแก่กันทั้งสิ้นเพียงแต่ต้องปฏิบัติอย่างมิมี ทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ จึงขอพระยุพราชทั้งสองพระองค์อย่าได้มีความขุ่นข้องหมองใจแก่เราและเหล่าประชา ชาวนาครินทนาครแต่ประการใดเลย การสูญเสียครั้งนี้เราเองก็รู้สึกเสียใจและต้องขอโทษท่านทั้งสองด้วย
ภาพประกอบเป็นของคุณ เฌอมาลย์ ขอรับท่าน....แก้วประเสริฐ.
7 ธันวาคม 2549 10:33 น. - comment id 94144
ปทุมวดี กับเฌอมาลย์ น่าส่งมา...ภาคใต้นะเจ้าคะ.......รับรองอย่างว่าจะไม่.. โลภะ จะใจเดียว ...แหะ แหะ... หลายรัก ....
7 ธันวาคม 2549 12:35 น. - comment id 94145
ถูกแทงข้างหลัง .. ผู้ชนะ ชนะอย่างไม่สมเกียรติ เลยค่ะ
7 ธันวาคม 2549 16:41 น. - comment id 94149
คุณ ยายแม่มดน้อย เฮอะๆๆเอาอย่างงั้นเชียวหรือ อิอิ แก้วประเสริฐ.
7 ธันวาคม 2549 16:42 น. - comment id 94150
คุณ อัลมิตรา เห่อะๆๆๆช่างเถอะครับ ตายก็แล้วกัน อิอิ แก้วประเสริฐ.
7 ธันวาคม 2549 18:47 น. - comment id 94156
เย้ๆๆๆชนะแย้ววว คริ คริ เฌอ ให้มณีกานต์ กับปทุมวดีไปภาคใต้แทนค่ะ อิอิ เฌอกัวอ่ะ อิอิ
7 ธันวาคม 2549 19:10 น. - comment id 94157
คุณ เฌอมาลย์ ผมว่าไปอยู่กันพร้อมหน้าที่นครนาครินทนาคร ดีกว่านะครับ หรือว่ามาอยู่ที่บ้านผม อุ๊ย...ไปล่ะครับ แก้วประเสริฐ.
12 ธันวาคม 2549 09:26 น. - comment id 94251
เจ้าหญิงมณีกานต์มาแล้วค่ะ รบแต่ในสนามรบและสนามรักค่ะ อิอิ
12 ธันวาคม 2549 09:31 น. - comment id 94253
คุณ เพียงพลิ้ว ไปไหนมาหรือจ๊ะเจ้าหญิงคิดถึงหายไปนาน แก้วประเสริฐ.