บทที่ ๒๖ ศึกมหาเทพศาสตราอาวุธ เป็นทางการอีกครั้งหนึ่งด้วย องค์พระยุพราชก็ทรงน้อมพระวรกายถวายความเคารพแล้ว นำเหล่าทหารกลับสู่ยังฐานทัพแจ้งรายละเอียดให้เสด็จพ่อทราบทุกประการ ท่านท้าวเธอก็ทรง พระสรวลบอกให้ทุกๆคนเตรียมตัวเดินทางกลับเมืองปักษินนคร เมื่อพร้อมเสร็จทุกๆสิ่งทุกอย่าง องค์ท้าวเธอพร้อมพระยุพราชก็นำเหล่าทหารทั้งหมดออกเดินทางกลับสู่ยังปักษินนครทันที ทางฝ่ายท่านท้าวนิลกาฬเมื่อรับแจ้งว่าทหารว่ากองทัพที่ยกไปตีที่อาศัยของยุพราชทั้งสอง ประสบความแตกพ่ายยับเยินก็ทรงพระพิโรธยิ่งนัก ที่เหตุการณ์ที่ทรงวางไว้ได้กลับตาลปัดโดยสิ้นเชิง ครั้นจะถอยทหารกลับก็ให้ละอายใจเป็นยิ่งนัก จึงได้จัดรวบรวมทหารและเมืองต่างๆที่หลงเหลืออยู่ วางกำลังทัพใหม่เพื่อเข้าโจมตีนครนาครินทนาครทันที เมื่อพระองค์ทรงทราบว่าทางกองทัพปักษินนคร ยกกองทัพล่าถอยกลับเมืองแล้วมิได้เข้าช่วยรบพุ่งกันอีกก็ทรงพระพิโรธโกรธายิ่งขึ้น และยิ่งได้รับทราบว่า ทางเมืองอหิงสากะนครก็ถึงกาลพินาศในการศึกครั้งนี้แม้แต่องค์ท้าวสุพพัตสุระก็ถึงกาลตักษัยในสนามรบ ทำให้เสียกำลังพระทัยเป็นยิ่งนัก แต่ด้วยทิฐิมานะที่ไม่ยินยอมผู้ใดก็มิได้ถอยให้แก่การศึกในครั้งนี้ โดยเด็ดขาด พระองค์ทรงสั่งให้ถอยทัพกลับไปที่มั่นก่อน แล้วตรัสเรียก สหัสสะขันธ์แม่ทัพใหญ่ เข้าปรึกษาข้อราชการ วางกำหนดแผนการขึ้นใหม่ ด้วยขาดพันธมิตรที่จะทำการช่วยเหลืออีกต่อไป พระองค์ทรงให้ตราพระราชสาสน์ไปยังเมืองอหิงสากะนครแจ้งข่าวการสิ้นพระชนม์ของท่านท้าว สุพพัตสุระแก่ยุพราชอหิงสากุมารและพระมเหสีอชิรเทวีให้ทรงทราบพร้อมทั้งขอกำลังสนับสนุน และพระองค์ให้แจ้งไปยังเมืองเมื่อทราบว่าองค์พระยุพราชเสด็จกลับมาแล้ว พระองค์จึงมีรับสั่งให้ องค์พระยุพราชนิละกาสูรย์กรีฑาทัพมาช่วยเหลือโดยเร็วพระองค์จะรอทัพยังบนยอดเขาคิฎชคีรี หากได้กองทัพครบเมื่อไหร่ก็จะเข้ายึดเมืองนาครินทนาคร เมื่อสหัสสะขันธ์ทรงรับพระบัญชาแล้ว ก็จัดส่งพระราชสาสน์ให้ม้าเร็วเหาะไปยังเมืองทั้งสองทันที เพื่อแจ้งข่าวแก่ท่านพระยุพราชทั้งสองเมือง ครั้นกาลเวลาผ่านไปสองวันบรรดาทัพของอหิงสากะนครซึ่งนำโดยพระยุพราชอหิงสากุมาร และยุพราชนิละกาสูรย์ยกทัพมาถึงพระองค์ก็ทรงวางแผนศึกครั้งนี้ โดยให้สหัสสะขันธ์อสุรเป็นทัพหน้า เข้าจู่โจมเป็นรูปสามเหลี่ยมพุ่งเข้าประตูเมืองนาครินทนาคร ส่วนทางยุพราชอหิงสากุมารเป็นทัพปีกขวา และทางด้านยุพราชนิละกาสูรย์เป็นทัพปีกซ้าย พระองค์เองเป็นทัพหลวงตรงกลางพุ่งทะลวงเข้าโจมตี กำแพงเมืองทางด้านทิศเหนือทันทีในลักษณะรูปปลายธนู ครั้นได้เวลาเช้าตรู่ในวันรุ่งขึ้นก็ยาตราทัพทันที ส่วนทางด้านยุพราชสิงหะฤทธา พระยุพราชโกเมศกุมารซึ่งนำโดยเจ้าหญิงเฌอมาลย์ก็นำทัพทั้งหมด เข้าสู่ยังเมืองนาครินทนาครโดยมีท่านมหาราชครูเป็นผู้เปิดทางเข้า ให้แก่ทัพทั้งสาม ครั้นเขาพัก เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่านมหาราชครูก็ทรงวางแผนการรบครั้งนี้ พลางแจ้งแก่องค์ทัศยุราชันย์ และเหล่ายุพราชเจ้าหญิงทั้งหลายว่า “มหาราช เราได้ตรวจดูดวงดาวของทางฝ่ายท่านท้าวนิลกาฬแล้วดาวประจำองค์นิลกาฬนี้ ช่างมัวหมองเสียยิ่งนัก เห็นทีว่าการศึกครั้งนี้จะสิ้นสุดลงเป็นแน่แท้พระเจ้าข้า” “ถึงแม้ว่าจะมีดาวเสริมพระราศีแต่ก็เปล่งประกายผ่องใสมิได้เข้าเสริมแก่ดวงชะตาของท้าวนิลกาฬ แต่ประการใดไม่ เพียงแค่เปล่งประกายอยู่ห่างๆเท่านั้นเองพระเจ้าข้า” ท่านมหาราชครูถวายรายงานเสริมต่อ “แล้วเราจะวางทัพในการต่อสู้ครั้งนี้อย่างไรล่ะท่านพ่อปู่ราชครู” องค์ราชันย์ทรงดำรัส พลางหันไปทางองค์พระยุพราชทั้งสองเพื่อร่วมทรงปรึกษาในการรบครั้งนี้ “ท่านพระยุพราชมีความเห็นประการใดบ้าง ขอได้โปรดแจ้งให้แก่ข้าพเจ้าด้วย” “อนึ่งได้รับแจ้งจากเจ้าหญิงปทุมวดีว่าทางทหารสอดแนมที่ส่งออกไปนั้นกลับมารายงานว่า ท่านองค์ท้าวเธอระดมกำลังครั้งนี้อย่างสุดกำลังมาทั้งเมืองโดยท้าวเธอเองจะเป็นทัพกลางสหัสสะขันธ์เป็นทัพหน้า ส่วนองค์ยุพราชในพระองค์จะเป็นแม่ทัพทางปีกซ้าย ส่วนท่านยุพราชอหิงสากุมารจะเป็น แม่ทัพคุมปีกขวาจะเข้าโจมตีเราในราตรีกาลพรุ่งนี้นะ” องค์ทัศยุราชันย์ทรงดำรัสขึ้นมา “หากเป็นดังนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็จะขอรับศึกทางปีกขวาพระเจ้าข้า” ยุพราชสิงหะฤทธาทรงตรัส “ข้าพเจ้าก็ขอรับหน้าที่ทำศึกทางด้านปีกซ้ายพระเจ้าข้า” ยุพราชโกเมศกุมารทรงตรัสขึ้นบ้าง “เมื่อท่านยุพราชทั้งสองเห็นชอบด้วยประการนี้ ข้าพเจ้ายินดียิ่งและจะขอทำศึกกับทัพหน้าเอง ส่วนเจ้าหญิงทั้งสี่คงมีหน้าที่จัดการกับทัพหลวงของท่านท้าวเธอและเหล่าทหารของท่านท้าวเธอ ซึ่งเป็นทัพกลางด้วยท่านท้าวเธอนั้นมิมีใครที่จะเข้าทำร้ายได้ นอกจากอิสตรีเท่านั้นจึงเหมาะแก่การนี้ ส่วนข้าพเจ้านั้นจะนำทัพเข้าสนับสนุนทางด้านพระองค์หญิงทั้งสี่ เพื่อมิให้เกิดการผิดพลาดขึ้นได้ การเข้าทำร้ายแก่องค์ท่านท้าวนิลกาฬขอให้เป็นหน้าที่ขององค์หญิงทั้งสี่และเหล่าทหารหญิงทั้งหมด ท่านพ่อปู่ราชครูและองค์ยุพราช เจ้าหญิงจะเห็นเป็นประการใดเล่า” องค์ทัศยุราชันย์ทรงดำรัสพลางหันมาถาม “เหมาะด้วยประการทั้งปวงแล้ว พระเจ้าข้า” ท่านมหาราชครูเสริมขึ้น “ พระหม่อมก็เห็นชอบทุกประการด้วยพระเจ้าข้า เพค่ะ” เจ้าชายและเจ้าหญิงทรงตรัสพร้อมเพรียงกัน “หากมิมีผู้ใดเห็นไปมากกว่านี้อีก เป็นอันว่าแผนการนี้พวกเราตกลงจะทำตาม ข้าพเจ้าขอเชิญทุกๆท่าน จงตระเตรียมวางกำลังพลเพื่อจะเข้าสู้รบในวันพรุ่งนี้จะได้มิมีการติดขัดแต่ประการใดหรือว่าเรามา หาความผ่อนคลายอารมณ์กันสักประเดี๋ยวหนึ่งก็จะเป็นการดี ทำให้สมองเราปลอดโปร่งคิดอะไร จะได้แจ่มใสดีขึ้นกว่าการหมกมุ่นเกินไป” ทรงตรัสแล้วพระองค์ก็เข้าไปจูงพระหัตถ์เจ้าชายทั้งสองเดินเคียงคู่กันออกไปยังสวนอุทยาน ภายในพระตำหนัก ทำให้เจ้าชายต่างเมืองทรงปลาบปลื้มพระหฤทัยแก่องค์พระยุพราชทั้งสองยิ่งนัก ซึ่งทรงมิได้ถือพระองค์แต่ประการใด ครั้นเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นต่างก็ทรงนำทัพของตนออกจากประตูเมืองเข้าสู่สมรภูมิทันที ต่างพระองค์ทรง แยกย้ายกันไปตั้งรับศึกตามที่ได้วางแผนกันไว้แต่แรกแล้วต่างแยกออกเข้ารับศึกทันที ฝ่ายสหัสสะขันธ์ซึ่งนำทัพหน้าด้วยไพร่พลมหาศาลกรีฑาทัพมาถึงกำแพงเมือง ฝ่ายเมืองนาครินทนาคร ก็จัดทหารออกมายังนอกกำแพงเพื่อรับศึกในครั้งนี้แล้วด้วยเหมือนกัน เมื่อทั้งสองทัพเผชิญหน้าต่อกันต่าง รีบสั่งแก่ทหารตนรีบเข้าโจมตีทันที องค์ทัศยุราชันย์ที่ทรงประทับบนจักรเพชรที่หมุนลอยละล่อง นำเข้าสู่ทางทัพหน้าเมืองกาฬคีรีนครทันทีท่ามกลางรายล้อมของเหล่าขุนทหารทั้งปวง พระองค์ก็ทรงสั่งให้เหล่าทหารของพระองค์เข้าต่อต้านรับศึกการโจมตีของเหล่าบรรดาทัพของ แม่ทัพหน้าสหัสสะขันธ์ ซึ่งต่างดาหน้าพากันโห่ร้องชักอาวุธต่างๆพุ่งทะยานเข้ามาหารบพุ่งกับทหาร ของพระองค์ที่กระจายเป็นแถวหน้ากระดาน องค์ทัศยุราชันย์ พระหัตถ์ขวาทรงคันศร พระหัตถ์ซ้ายทรงดาบวิเศษ กวัดแกว่งพระแสงดาบเข้าฟาดฟันเหล่าทหารอสูร ส่วนพระคันศร ก็ใช้ตีเหล่าทหารจนแตกพ่ายกระเจิงไปตามกัน จนลุล่วงเข้าไปยังเบื้องหน้าของแม่ทัพสหัสสะขันธ์ ทั้งสองก็เข้าโรมรันพันตูกัน ทางฝ่ายด้านสหัสสะขันธ์ก็ใช้กระบองเพชรเข้ารับรุกต่อสู้กับดาบวิเศษ จนเกิดประกายไฟแปลบปลาบไปทั่วบริเวณสนามรบที่ต่างรบพุ่งกันอย่างชุลมุนและห้าวหาญ ท่านแม่ทัพสหัสสะขันธ์ พลันถอยกายหลบไปด้านข้างล้วงหยิบเอาตุ๊กตาที่ปั้นเป็นรูปมังกรเจ็ดหัว สามตัว พร้อมร่ายพระเวทย์มนต์โยนรูปปั้นนั้นทั้งสามตัวไปยังเบื้องอากาศทันที พลันรูปปั้นก็ได้ กลับกลายเป็นมังกรยักษ์พากันพ่นไฟและรุกไล่ทหารของนาครินทนาครจนแตกเป็นช่อง ส่วนกระบองเพชรก็กลับกลายเป็นกระบองจำนวนมากเข้ารุกไล่ทหารนาครินทนาครอยู่ตลอดเวลา ต่างพากันล้มรุกคลุกคลานไปทั่วบริเวณบ้างก็ใช้อาวุธวิเศษของตนเข้าต่อต้านกันเสียงดังสนั่นไปทั่ว บนฟากฟ้าก็เนื่องแน่นไปด้วยทหารต่างเข้าสับยุทธ์ทั้งทางอากาศและทางพื้นดิน เหล่าทหารนอน กระจายไปทั่วเต็มไปด้วยศพทหารและเลือดที่รินหลั่งไหลนอง ต่างก็ส่งเสียงร้องโหยหวนระงมไปสิ้น องค์ทัศยุราชันย์พระองค์ก็ทรงหยิบบ่วงนาคบาศขว้างเข้าใส่ยังมังกรยักษ์พร้อมทั้งตรีเพชร บ่วงนาคราชก็แยกกันเข้ามัดร่างมังกรยักษ์ที่กำลังโลดแล่นอยู่มิให้ทำการแต่ใดได้ ตรีเพชรก็ส่งประกาย วูบวาบเป็นวิชชุสายฟ้าเข้าทำลายร่างของมังกรยักษ์ทั้งสามตัวจนถึงแก่แตกสลาย กลายเป็นจุลไปเสียสิ้น ทั้งบ่วงนาคราชก็กลายเป็นพญานาคพร้อมด้วยตรีเพชร พุ่งเข้าหากระบองเพชรทั้งหลายที่กำลังไล่ตี เหล่าทหารนาครินทนาครอยู่พร้อมกัน ช่วยเข้าต่อสู้กันเป็นพัลวัน กระบองเพชรมิอาจต้าน มหาศาสตราอาวุธท่านจอมมหาเทพทั้งหลายได้ก็ถึงแก่กาลอวสานทันที พญานาคราชก็กลับกลายเป็น บ่วงวงไฟขนาดใหญ่เข้ารัดตัวสหัสสะขันธ์อสูร ส่วนตรีเพชรก็เข้าตัดศีรษะแม่ทันใหญ่ แห่งเมืองกาฬคีรีนครหลุดออกจากคอตกยังพื้นดิน ร่างล้มหงายถึงแก่สิ้นชีวิตทันที เหล่าทหารเอก ขององค์ทัศยุราชันย์อันได้แก่อัสนี วายุ พินทุและพิรุณซึ่งนำโดยแม่ทัพวีระพิชัย และวิษณุเดชะ จัดแยกแบ่งกำลังเป็นซ้ายขวานำทหารเข้าต่อสู้กับทหารเอกของสหัสสะขันธ์ด้วยอาวุธวิเศษต่างๆนาๆ เหล่าอาวุธทั้งหลายก็บินกระจายเต็มไปทั่วทั้งสนามรบบนดินและบนฟากฟ้า ทหารอสูรต่างถอยร่นไป จนถึงหน้าของทัพหลวงท่านท้าวนิลกาฬที่ทรงพระราชรถเทียมด้วยอาชาล่ำพีทั้งเก้าตัวจนอลหม่าน ไปทั่วบริเวณทัพทั้งซ้ายและขวาพระองค์ ทางด้านปีกซ้ายซึ่งองค์พระยุพราชนิละกาสูรย์นำทัพ ก็เข้าปะทะกับองค์พระยุพราชโกเมศกุมารทรงกรีฑาทัพเข้าต่อสู้ประจัญบานกันจนชุลมุนวุ่นวายไปทั่ว ต่างส่งเสียงร้องระงมแว่วมิขาดสาย ทางด้านปีกขวาทัพของยุพราชอหิงสากุมารก็เข้าปะทะกับ องค์พระยุพราชสิงหะฤทธาทันทีซึ่งไพร่พลของทั้งสองทัพที่เข้าต่อสู้กับยุพราชนิละกาสูรย์ ยุพราชอหิงสากุมาร การต่อสู้มิแต่เพียงพระยานาคราชกับมนุษย์กึ่งราชสีห์ก็หาไม่ ยังประกอบ ไปด้วยไพร่พลทหารทโมนไพรและเหล่าอสรพิษทั้งหลายพากันเข้าทุบตีขบกัดกับเหล่าทหาร เมืองอหิงสากะนครและกาฬคีรีนครจนต้องหลบหลีกสัตว์ร้ายเหล่านี้เป็นพัลวัน ทโมนไพรบ้าง จับร่างของทหารอสูรฉีกแยกร่างเป็นสองข้าง นำเอาศพทหารมาต่อสีกับฝ่ายอสูรแทนอาวุธที่สูญหาย บ้างก็ใช้อาวุธคล้ายกระบองสีดำหวดฟาดบรรดาเหล่าทหารอสูรดึงตัวมาขบกัดฉีกร่างขาดกระจาย ส่วนเหล่าอสรพิษของหาได้น้อยหน้าแต่ประการใด อสรพิษแต่และตัวรูปร่างใหญ่โตเท่าต้นตาลเข้า รัดร่างทหารอสูรจนขาดใจตาย ด้านส่วนหางก็ฟาดบรรดาทหารกระเด็นไปหากหลบมิได้ก็ถูกหางนั้น ฟาดจนตกตายไป ส่วนท่อนหัวก็เข้าขบกัดและพ่นฟองพิษใส่เข้าใบหน้าทหารอสูรจนดำลุกไหม้ไป ส่วนด้านบนอากาศก็เจอกับพวกปักษีร่างยักษ์เที่ยวโฉบเฉี่ยวขยุ้มด้วยกรงเล็บอันแหลมคม ทางด้าน บนดินก็เจอเหล่าต่อแตนซึ่งมีขนาดใหญ่โตเข้าไล่ต่อยใบหน้าและร่างกายไม่อันเป็นการสู้รบทันที การต่อสู้ของเหล่าสัตว์ร้ายทั้งหลายเหล่านี้สร้างความปั่นป่วนให้เกิดกับกองทัพอสูรเป็นล้นพ้น ครั้นทัพหน้าของเมืองกาฬคีรีนครแตกพ่ายร่นถอยไปนั้น ทางองค์ทัศยุราชันย์และพระมเหสี เจ้าหญิงดาริกา เจ้าหญิงมณีกานต์ เจ้าหญิงปทุมวดีและเจ้าหญิงเฌอมาลย์แห่งนครนิละวานร ที่ต่างทรงพระราชพาหนะประกอบด้วยเหล่าสัตว์ที่ทรงพะลานุภาพยิ่ง อาทิเช่นพระยาราชสีห์ พระยาคชสีห์ วายุภักดีปักษีและพระยาหงส์ทองทรงนำเหล่าทหารหญิงล้วนในนครนาครินทนาคร และเมืองรัตนานคร เข้ารบพุ่งกับเหล่าทหารของเมืองกาฬคีรีอย่างดุเดือดมิได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันไล่รุก เข้าไปจนล่วงเข้าสู่หน้าพระราชรถของท่านท้าวนิลกาฬที่พระองค์ทรงประทับบนพระราชรถเทียมอาชา ศึกเก้าตัว ที่รายล้อมไปด้วยเหล่าขุนทหารเอกรูปร่างกำยำทั้งหลายต่างพากันแยกย้ายกระจายกำลังเข้า ต่อสู้กับเจ้าหญิงทั้งสี่และทหารหญิงทันทีอย่างสุดความสามารถ ปกป้องท่านท้ายนิลกาฬอย่างสุดชีวิต ส่วนบนแพงเมืองท่านมหาราชครูสิริปัญญา ก็อ่านพระเวทย์มนต์ต่างๆมุกแก้วประจำเมือง ก็ยิ่งแผ่พะลานุภาพโชติช่วงชัชวาลกระจายแผ่เข้าปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณรายรอบภายในกำแพง และกระจายออกไปสู่สนามรบทันทีบัดดลนั้นพลันปรากฏเสียงคำรามกึกก้องและเสียงหวีดหวิวแผ่ไป ทั่วปรากฏเป็นฝูงพยัคฆาลายพาดกลอนที่ปกปักรักษาขุนเขาและเหล่าต่อแตนฝูงใหญ่สีทองอร่ามทั้งตัว ต่างพากันมาจากยอดเขาต่างๆที่รายล้อมรอบบริเวณอาณาเขตนาครินทนาครพุ่งตรงเข้าไปยังเหล่าทหาร อสูรที่กำลังรบพุ่งกันนั้น พากันเข้าตบ ขบกัดไล่ต่อยพัลวันด้วยพิษสงอันร้ายกายเข้าร่วมตัวก็พวกต่อแตน สีดำคาดเหลืองที่ช่วยเข้าต่อสู้รบกันอยู่ก่อนแล้วยิ่งเพิ่มพาลานุภาพของเหล่าตัวต่อแตนขึ้นเป็นทวีคูณ ส่วนเสือลายพาดกลอนก็มีรูปร่างใหญ่โตกว่าเสือทั่วๆไป แยกย้ายกันเข้าตบกัดเข้าใส่บรรดาทหารอสูร อย่างมิเกรงกลัว ที่เสียชีวิตไปก็มีมาก ส่วนที่ยังไม่เสียชีวิตก็ไม่กลัวแม้แต่อาวุธวิเศษที่เข้ารุมล้อมแต่อย่างไร ต่างก็ช่วยประสานงานกับบรรดาทโมนไพรยักษ์เหล่าอสรพิษตัวต่อแตนอย่างสมานสามัคคียิ่ง
ภาพประกอบล่างเป็นของคุณ เฌอมาลย์ ขอรับ....แก้วประเสริฐ.
6 ธันวาคม 2549 14:26 น. - comment id 94124
ที่1 เย้ๆๆ
6 ธันวาคม 2549 14:32 น. - comment id 94125
ทโทนไพรมาแล้วเจ้าคร่า
6 ธันวาคม 2549 15:28 น. - comment id 94131
คุณ เฌอมาลย์ ดีใจด้วยจ้า อิอิ แก้วประเสริฐ.
6 ธันวาคม 2549 15:30 น. - comment id 94132
คุณ เฌอมาลย์ เจ้าหญิงเฌอมาลย์เทพธิดานะขอรับหาใช่ ทโมนไพร ด้วยไม่เคยแปลงเป็นทโมนไพรสักที หรือว่าจะแปลงละครับ อิอิ แก้วประเสริฐ
6 ธันวาคม 2549 16:28 น. - comment id 94135
คุณชาย ..ช่างจินตนาการ.... เอาศพมาแทนอาวุธ....อืม รึว่าเป็น กุมารทองคะ......
6 ธันวาคม 2549 19:43 น. - comment id 94136
คุณ ยายแม่มดน้อย จินตนาการก็แบบนี้แหละครับ กุมารทองนั่น ขุนแผนเน๊อะ แก้วประเสริฐ.