** ทัศยุราชันย์(ศึกอหิงสากะนคร) **

แก้วประเสริฐ


                                              บทที่  ๒๕
                                         ศึกอหิงสากะนคร
       ครั้นขุนทหารวิชชุฆานรับพระราชสาสน์มาเก็บไว้ในอกแล้ว ก็ถดถอยออกมา
ต่างพากันน้อมตัวถวายบังคมลา  ได้รับพระราชกระแสรับสั่งเพิ่มเติมว่า
    “ลำบากท่านทั้งสองยิ่งนัก  ฝากบอกกล่าวแก่ทัศยุราชันย์ด้วยว่าทางเรานั้น
พร้อมจะช่วยเหลือเพียงแต่ให้ระยะเวลาอีกสักระยะหนึ่งนะท่าน” องค์ท้าวเธอดำรัส
     “พ่ะย่ะค่ะ เพค่ะ  ขอรับสนองพระบัญชาด้วยเกล้าพระเจ้าข้า”ขุนทหารทั้งสองทูลถวาย
       เมื่อออกจากห้องพลับพลาก็พากันกำบังกายออกมา เดินทางกลับยังพระนคร
นาครินทนาครทันที
      องค์ท้าวเธอวิหะคะยุราชครั้นเห็นขุนทหารชายหญิงทั้งสองกลับไปแล้วก็ทรงตรัส
แก่องค์พระยุพราชทันที
     “เห็นทีความคิดอ่านการศึกครั้งนี้ของลูก ลึกซึ้งชาญฉลาดยิ่งนัก สมแล้วที่เป็นลูกรัก
ของเรา เจ้าทำให้พ่อเปลี่ยนนิสัยได้ เพียงแค่ทหารหญิงชายสองคนนี้ก็ช่างห้าวหาญ
องอาจยิ่งนักสามารถผ่านด่านต่างๆของท่านท้าวและเราเข้ามาได้ถึงยังที่นี่ 
โดยที่มิรู้ระแคะระคายแต่ประการใด นี่ดีนะที่พ่อเองมีประสบการณ์อยู่บ้างให้สงสัยด้วย
เห็นผ้าม่านนั้นยามไหวกลับปรากฏเป็นรูปร่างรอยคนขึ้นมาขึ้นมาสองรอยตอนแรกคิด 
ว่าเป็นรอยผ้าม่านทิ้งชาย   มิฉะนั้นหากเป็นคนมาปองร้ายเราทั้งสองเห็นทียากจะระวัง
ตัวเองได้   ขุนทหารทั้งสองนี้มิเพียงมีฤทธิ์แค่นี้เท่านั้น คงประกอบด้วยวิทยาอาคมแก่กล้า
ที่ร้ายกาจอีกมากนะลูก   พ่อเองคิดว่าคงจะไม่มีเพียงแค่นี้หรอกอาจจะมีมากกว่านี้มากด้วย 
องค์ท้าวนิลกาฬคงเห็นจะถึงซึ่งกาลอวสานในการศึกครั้งนี้เป็นแน่แท้เสียแล้วกระมัง
ด้วยเหตุที่ทหารของนาครินทนาครนั้น มิคงจะมีทหารชายที่เก่งกล้าประกอบด้วยวิทยาอาคม
กลับสร้างกองทหารหญิงที่เก่งกล้าสามารถมากมายไว้รอรับในการศึกนี้โดยเฉพาะเป็นแน่เทียว
  และท่านท้าวเธอแม้จะเก่งกล้าสามารถไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใดๆก็ตามแต่กลับพ่ายแพ้ให้แก่
เพศสตรีและทรงมีความหวั่นเกรงยิ่งนักซึ่งพรขององค์พระศิวะมหาเทพแห่งขุนเขาไกรลาส
ที่พระองค์ได้ทรงประทานพรไว้ย่อมไม่อาจจะปกป้องคุ้มครองตนได้นะลูกรัก”
      องค์ท้าวเธอทรงพระดำรัสพลางทรงพระสรวลเบาๆ ที่พระองค์ไม่วู่วามเปลี่ยนความคิดนี้ได้
    “หากเป็นดั่งฉะนี้แล้วเห็นทีความคิดอ่านก็คงจะมิผิดพลาดแต่ประการใด เพราะลูกเองนั้น
ก็ให้สนเท่ห์ยิ่งนัก   เมื่อคราวที่ร่วมประชุมกันที่เมืองนิลกาฬแล้ว ลูกได้แลเห็นองค์พระยุพราช
แห่งสิงหะนครและทันทะกะนครทรงพระปรีชาสามารถมากกล่าวอ่อนน้อมถ่อมตนแต่ประกายตา
ซิกลับเหี้ยมหาญดุดันปานประหนึ่งราชสีห์มิผิด  และหันไปสบพระเนตรกันเสมอๆ  ลูกก็ให้รู้สึก
ฉงนในยิ่ง  หรือว่าพระองค์ทั้งสองคงอ่านการเหล่านี้ออกสิ้น พยายามอ่อนน้อมต่อทางเราเป็นพิเศษ
ซึ่งแตกต่างกับเมืองอหิงสากะนครและนิลกาฬนครที่การเจรจากับสายตาไม่ตรงกันพระเจ้าข้า”
  องค์ยุพราชวานนรินทร์ทูลถวายสิ่งที่ผิดปกติวิสัยให้พระราชบิดาทรงรับทราบ
       “นั่นซิพ่อเองก็สงสัยเหมือนกับลูกนั่นแหละเพียงเห็นยังเป็นเด็กเล็กนักใยจะมีความคิดอ่าน
ที่ลึกซึ้งได้”  พระองค์กล่าวเสริมขึ้น   หากเป็นการที่เราคิดอ่านถูกต้องแล้วไซร้เห็นที่เรื่องนี้คง
 จะพ้นซึ่งปัญหาไปได้นะ   แล้วทั้งสองพระองค์ก็ร่วมทรงปรึกษาเพื่อจัดกำลังพลใหม่ให้ประสาน
สอดคล้องกับทางเมืองนาครินทนาครต่อไป
       ครั้นเพลาแห่งสองราตรีผ่านไปยังหามิผู้ใดสามารถจะเข้าตีผ่านเข้าไปยังกำแพงเมืองนั้นได้
สร้างความรุ่มร้อนพระวนกระวายในพระราชหฤทัยองค์ท้าวนิลกาฬอย่างยิ่ง  ทรงได้วางแผนเพื่อ 
นัดหมายให้เข้าตีเมืองอีกครั้ง    เพราะกาลเวลาใกล้จะพ้นคืนแห่งวันเพ็ญศิวะราตรีนี้ไปแล้ว ซึ่ง
อำนาจศักดิ์สิทธิ์ในการปกป้องจะกลับคืนมา  ย่อมทำให้สร้างความลำบากมากไปกว่านี้  
    โดยแจ้งไปยังพันธมิตรทั้งหลายว่า  ส่วนทางด้านทิศตะวันออกและใต้นั้นจะทรงนำทัพ
เข้าจัดการตีเอง   เพียงให้ทางเมืองที่เหลือเข้าตีเมืองอีกครั้ง และทางเมืองสิงหะนคร
และทันทะกะนคร ที่แปรเปลี่ยนไปในครั้งนี้พระองค์จะทรงแบ่งกำลังพลยกเข้าไปตี
กระหนาบเองเพื่อให้แตกสลายไปเพื่อจะได้ไม่ให้เป็นพิษภัยต่อไปได้ เมื่อท่านท้าวเธอ
ทรงปรารมภ์แล้วก็จัดแบ่งกำลังเข้าสู่ด้านทิศดังกล่าวแยกย้ายกันเข้าตีเมืองอย่างดุดัน
 กำลังส่วนหนึ่งก็ยกเข้าไปยังยอดเขาที่พักไพร่พลของท่านยุพราชสิงหะฤทธาและยุพราช
โกเมศกุมารที่พักอาศัยอยู่โอบล้อมรุกกระหน่ำโจมตีหวังให้แตกพ่ายยับเยินทั้งสองทัพ
         ส่วนทางด้านอหิงสากะนครก็ระดมพลเข้าตีทางทิศที่ได้รับมอบหมายทุ่มกำลังเข้าต่อสู้
อย่างสุดความสามารถ ทรงสั่งให้สุรินทร์อสูรและทหารทั้งหลายหาทางเข้าเมืองให้ได้  
 การศึกรบติดพัน  จนพระองค์หญิงปทุมวดีต้องนำกำลังพลออกจากกำแพงเมืองเข้าต่อสู้
กับสุรินทร์อสูรทันที   พระองค์ทรงพาหนะ คชสีห์และนำเหล่าทหารหญิงชายที่ทรงฝึกไว้
เข้าต่อสู้กับทหารของสุรินทร์อสูรทั้งสองฝ่ายเข้าสู้รบกันติดพันชุลมุนวุ่นวายกระจายไปทั่ว
 ฝ่ายทางด้านทหารของเจ้าหญิงถึงแม้ว่าจะมีกำลังพลน้อยกว่าแต่ทว่าเต็มไปด้วยความฮึกเหิม
ยิ่งนักและประกอบด้วยวิทยาคมอาศัยฤทธิ์เวทย์มนต์แยกร่างออกจากกันเข้าต่อสู้ทัดเทียมกัน
ทหารทั้งสองฝ่ายต่างมีฤทธิ์เดชเดชาประกายอาวุธต่างกระจายเต็มไปทั่วสนามรบส่งเสียงคำราม
เสียงดังลั่นสะเทือนหวั่นไหวเสียงดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ  บนฟากฟ้าก็เต็มไปด้วยอาวุธวิเศษ
เข้าหักล้างซึ่งกันและกันทั้งดาบ กระบอง คทา ลูกตุ้ม น้ำเต้าเป็นต้นต่างก็แสดงซึ่งอิทธิฤทธิ์
เฉพาะทางของกันและกัน บ้างก็สลายหายไป  บ้างก็หันมาทำลายทหารบนภาคพื้นดิน บ้างก็
ลงมาต่อสู้ป้องกันเหล่าทหารของตนเองเอาไว้ ทำให้เลือดนองกระจายไปทั่วทั้งศพมากมาย
      ทางด้านองค์หญิงปทุมวดีก็เข้ารบกับสุรินทร์อสูรต่างใช้อาวุธวิเศษเข้าต่อสู้กันเป็นพันวัน
 ทางฝ่ายสุรินทร์อสูรเข้าต่อตีองค์หญิงด้วยกระบองห้าเหลี่ยมปะทะกับขลุ่ยแก้ววิเศษที่แปรสภาพ
เป็นดาบกายสิทธิ์  ทางด้านพระยาคชสีห์ก็เข้าขบกัดเหล่าทหารที่เข้ามารุมล้อมจนตกตายไป
ร่างกายแหลกละเอียดหาชิ้นดีมิได้  บางครั้งก็พ่นน้ำออกจากงวงช้างเป็นน้ำกรดไฟเข้าใส่ทหาร  
 สุรินทร์อสูรโกรธแค้นอย่างยิ่งตาแดงทั้งสองข้างดั่งเพลิงที่ไม่สามารถทำร้ายแก่องค์หญิงได้
พลางล้วงหยิบบ่วงบาศขว้างเข้าใส่พระยาคชสีห์และเหล่าทหารองค์หญิงทันทีพลันบ่วงบาศ
ก็แยกตัวออกเป็นหลายๆบ่วงซึ่งลุกเป็นไฟพุ่งเข้าใส่ทหารและพระยาคชสีห์   พระยาคชสีห์
ก็อ้าปากพ่นไฟกรดเข้าทลายบ่วงบาศทันที  ด้วยอำนาจของพระยาคชสีห์มีมากกว่าก็ทำลายบ่วง 
ของสุรินทร์อสูรมอดไหม้ไปมิอาจเข้ามาใกล้    ครั้นองค์หญิงปทุมวดีเห็นดังนี้  ทรงถอดกำไลแก้ว
จากข้อพระหัตถ์ ร่ายพระเวทย์ทรงเหวี่ยงเข้าต้านทานบ่วงบาศ กำไลแก้วก็กลับกลายเป็นสายฟ้า
เข้าทำลายบ่วงบาศของท่านสุรินทร์อสูรจนมอดไหม้เป็นจุลในพริบตา  สุรินทร์อสูรเห็นดั่งนั้น
ก็เพิ่มความโกรธพลางถอดกำไลข้อแขนทั้งสองข้างออกเหวี่ยงเข้าสู่ยังกำไลแก้วขององค์หญิง
กลายเป็นไฟพะเนียงต่อสู้กันบนกลางอากาศ ฤทธิ์ของไฟกรดก็สาดเข้าใส่หมู่ทหารทั้งสองฝ่าย
 เมื่ออาวุธวิเศษทั้งสองกำลังต่อสู้กัน  พระองค์ก็ทรงขับพาหนะ คชสีห์เข้าหาสุรินทร์อสูรฟาดฟัน
ด้วยดาบขลุ่ยแก้ว ยามแหงนหน้ามองดูอาวุธนั้นเข้าปะทะอาวุธอสูร เสียงดังสะท้านสะเทือนไป
ทั่วพื้นดิน  การต่อสู้ดำเนินไปยังมิมีผู้ใดแพ้ชนะกัน     ด้านประตูเมืองก็เปิดออกองค์ท่านทัศยุราชันย์
เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวก็ทรงยกกำลังพลออกมาช่วยเหลือเจ้าหญิงปทุมวดีทันทีทรงเสด็จบนอาชาสีขาว
ปลอดเพรียวกำยำขับพุ่งเข้าสู่สุรินทร์อสูร พระองค์กวัดแกว่งพระแสงดาบฟาดพันเหล่าทหารอสูร
จนแตกกระจายเป็นช่องทาง  ครั้นทรงเสด็จดำเนินมาถึงก็ตรัสให้เจ้าหญิงทรงถอยห่างออกมา 
เมื่อได้โอกาสพระองค์ก็ทรงนำจักรเพชรขว้างเข้าใส่สุรินทร์อสูรด้วยอำนาจของมหาศาสตราอาวุธ 
 สุรินทร์อสูรมิอาจต้านทานได้  จะรีบหลบหนีไปทันทีแต่ไม่พ้นจักรเพชรที่หมุนเข้าตัดศีรษะ แขนขา
อวัยวะส่วนต่างๆของสุรินทร์อสูรขาดสิ้นตกตายไป  ท่านท้าวสุพพัตสุระมองเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว
ที่แม่ทัพใหญ่พระองค์เสียทีต่อจักรเพชรขององค์ทัศยุราชันย์ ก็ทรงพระพิโรธโกรธาเป็นยิ่งนักจึง 
ขับทหารเข้ามารายล้อมองค์ทัศยุราชันย์และองค์หญิงปทุมวดีพร้อมเหล่าทหารหญิงทันทีด้วยทรงมี
ไพร่พลมากว่า  แต่ก็หาทำให้ทั้งสองพระองค์หวั่นเกรงแต่ประการใดไม่ทรงเข้าต่อสู้กับองค์สุพพัตสุระ
 ส่วนเหล่าทหารขององค์หญิงบ้างก็หายตัวไปทำร้ายทหารอสูรที่ต่างตกตะลึงมิเห็นร่างทหารหญิงนี้
บ้างก็แยกร่างกายเป็นหลายๆร่างบ้างก็แปลงกายต่างๆนานาเข้าต่อสู้เข่นฆ่าทหารอสูรที่ตกตลึงงวยงง
ด้วยคาดคิดมิถึงว่าจะพบกับทหารหญิงด้วยสิ่งแปลกๆเช่นนี้    องค์ท่านท้าวอหิงสากะก็ทรงล้วงหยิบ
แว่นแก้วพลางส่องมาทางเจ้าชายและองค์หญิงทันทีปรากฏเป็นเพลิงไฟประลัยกัลป์เข้าใส่ยังพระองค์
ทั้งสองแต่ด้วยฤทธิ์ของน้ำอำมฤตและผลไม้วิเศษหาได้รับอันตรายใดไม่  องค์ชายก็มิได้หวาดหวั่นพรึง
แก่พระองค์ทรงหยิบตรีเพชรออกชี้ไปยังแว่นแก้วทันทีด้วยฤทธิ์อำนาจของมหาศาสตราอาวุธเป็น
ประกายสายฟ้าแปลบปลาบเข้าต่อต้านและทำลายจนแว่นแก้วนั้นก็แตกละเอียดกระจัดกระจายไป
 องค์ท้าวสุพพัตสุระเห็นดังนั้นก็ทรงล้วงหยิบเอาประคำพลอยแก้วลักษณะสีดำมะเมื่อมออกสาธยายมนต์
แล้วทรงขว้างใส่ประกายตรีเพชรทันทีเกิดแสงสว่างลุกเป็นไฟเข้าหักล้างอาวุธของตรีเพชรแต่เบื้องอากาศ
ปรากฏจักรเพชรได้กระจายแยกตัวออกจากจากกันแล้วออกพุ่งเข้าหาใส่ยังร่างท้าวสุพพัตสุระทันทีทุกแห่ง 
แม้ร่างกายของท่านท้าวสุพพัตสุระจะสามารถคงทนต่ออาวุธนานาประการยามเข้าต่อสู้กับผู้ใดก็ตามที  
 แต่ก็ไม่อาจจะต่อต้านอิทธิฤทธิ์เดช จักรเพชรของมหาเทพองค์พระนารายได้ ร่างพลันถูกตัดแยกเป็น
ชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปทันที แต่ร่างกายท่านท้าวก็หาถึงซึ่งกาลตักษัยไม่ กลับเข้ารวมตัวกันอีกครั้งทะยาน
เข้าหาองค์ทัศยุราชันย์ พร้อมส่งพระสรวลหัวร่อพระสุระเสียงดังลั่นเยาะเย้ยหมายเข่นฆ่าพิฆาต    
      ทัศยุราชันย์เห็นดังนี้จึงทรงปลดคันธนูจากพระอังสาน้าวคันศรพร้อมลูกธนูยิงออกไป  เสียงลูกศร
แหวกอากาศดังกึกก้องปานกัมปนาทแผ่นดินหวั่นไหวท้องฟ้าแปรเปลี่ยนสีทันทีลูกธนูก็พุ่งเข้าเสียบ
พระอุระท่านท้าวแห่งอหิงสากะ  จนมิดลูกธนูด้วยอำนาจลูกศรพรหมเมศร์ของท่านท้าวมหาพรหม
แห่งสรวงสวรรค์  ท่านท้าวสุพพัตสุระก็ถึงกาลตักษัยทันทีมิอาจกลับคืนสู่สภาพดังเดิมได้ พลันร่างล้ม
ทรุดกายลงพื้นดินเกิดประกายไฟเข้าลุกเผาผลาญร่างขององค์ท้าวสุพพัตสุระมอดไหม้สูญหายไป
 บรรดาเหล่าอสูรทั้งหลายและทหารเอกครั้นเห็นดั่งนี้ก็พากันแตกกระจายต่างก็พากันหลบหนีไปสิ้น
รีบพากันหนีไม่เป็นขบวนทัพหนีกลับไปยังเมืองอหิงสากะนครทันทีต่างพากันทิ้งอาวุธสิ่งของต่างๆ
ไว้มากมายเต็มสนามรบไปทั่ว     องค์ทัศยุราชันย์และเจ้าหญิงปทุมวดีครั้นเห็นดังนั้นพระองค์ทั้งสอง
ก็สั่งทหารมิให้ติดตามเหล่าทหารอหิงสากะเพียงเข้าจัดการกวาดล้างทำความสะอาดบริเวณแล้วยกพล
เข้าเมือง เพื่อเข้าไปช่วยศึกทางด้านทิศเหนือตะวันออกและทางด้านทิศใต้ต่อไป
          ทางฝ่ายปักษินนครหลังจากที่ได้มีข้อตกลงกับทางนาครินทนาครแล้วเมื่อเข้าตีเมืองนาครินทนาคร
ก็แสร้งทำเป็นฮึกเหิมอกอาจส่งสำเนียงโห่ร้องดังกึกก้องไปทั่วบริเวณเร่งให้เมืองสินธุนครเข้าโจมตีทันที
ทางฝ่ายสินธุนครมิรู้ในกลอุบายก็ส่งทหารเข้าบุกยังประตูเมืองจนได้รับเสียหายแตกพ่ายทั้งแนวหน้า
เสียไพร่พลล้มตายมากมายต้องพากันร่นถอย   แต่ก็ยังถูกทางทหารปักษินนครยั่วเย้าก็มีความโกรธ
เมื่อตั้งหลักได้แล้วก็พากันหันหลังกลับเข้าต่อสู้ใหม่ทางทหารปักษินนครก็มิได้เข้าทำการช่วยเหลือ 
ทางทหารของนาครินทนาครก็ไม่ได้พุ่งอาวุธใส่ยังทหารของปักษินนครคงเข้ากวาดล้างทหารของ
สินธุนครเพียงอย่างเดียว  เจ้าหญิงดาริกาที่ทรงคุมกำลังพลยกออกมาก็เข้าห้ำหั่นจนทหารเมืองสินธุ
นครแตกพ่ายยับเยินอีกครั้งหนึ่งโดยต้องเสียไพร่พลเกือบหมดกองทัพเหลือรอดกลับไปเพียงน้อยนิด 
 แล้วเจ้าหญิงดาริกาก็ทรงเผชิญหน้ากับองค์ยุพราชวานนรินทร์ด้วยพระพักตร์แย้มยิ้ม องค์ยุพราช
วานนรินทร์ก็ทรงน้อมพระองค์ถวายบังคมพระองค์หญิงทันที    เจ้าหญิงดาริกาทรงส่งยิ้มตอบเอ่ย
พระโอษฐ์ตรัสแก่ยุพราชวานนรินทร์แจ้งให้ถึงทางท่านท้าวสุพพัตสุระพระองค์ได้เสียชีวิตไปแล้ว
พร้อมกับทหารของพระองค์แตกพ่ายยับเยิบหนีกลับไปหมดแล้ว  องค์พระยุพราชครั้นพอทรงทราบ
สาเหตุถึงเมืองอหิงสากะนครก็ทรงทูลลาพระองค์หญิงและฝากทูลลาองค์ทัศยุราชันย์ไว้หากเสร็จศึก
วันใดจะเสด็จมาเยี่ยมทั้งสองพระองค์   องค์หญิงดาริกาก็ทรงตรัสขอบพระทัยและฝากอวยพร
แก่องค์ท่านท้าววิหะคะยุราชว่าทรงขอขอบพระทัยยิ่งนัก   ต่อไปนี้ทั้งสองเมืองก็จะมีสัมพันธ์ไมตรีที่ดี
ต่อกันหากเสร็จศึกครั้งนี้ก็จะหาทางไปยังเมืองปักษินนครเพราะเยี่ยมคาราวะท่านท้ายวิหะคะยุราช
				
ภาพประกอบล่างเป็นของคุณ เฌอมาลย์ ขอรับ.....แก้วประเสริฐ.				
comments powered by Disqus
  • อัสสุ

    5 ธันวาคม 2549 19:33 น. - comment id 94102

    ยาวเลยนะครับลุง
    
    อิจฉาพระเอกนะ42.gif
  • ยายแม่มดน้อยครับผม

    6 ธันวาคม 2549 10:48 น. - comment id 94110

    .....คุณชายชรา36.gif.....
    
    เว้นแบบนี้น่าอ่านดีค่ะ....ปทุมวดี...
    
    ขอโหดกว่านี้หน่อย50.gif
  • แก้วประเสริฐ

    6 ธันวาคม 2549 12:08 น. - comment id 94117

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ  อัสสุ
    
            จะอิจฉาไปใยเล่า  ตัวเราเองก็หาใช่ย่อยเสีย
    เมื่อไหร่ล่ะ อาจจะดีกว่าหล่อกว่าเน๊อะ อิอิ
    
                     16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif
  • แก้วประเสริฐ

    6 ธันวาคม 2549 12:10 น. - comment id 94119

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ  ยายแม่มดน้อย
    
             ขนาดนี้คนก็ชักจะเบื่อเรื่องนี้แล้วล่ะ  ผมแต่ง
    ไว้จบแล้วล่ะจะโหดก็ตอนท้ายๆใกล้จะจบ  เพราะ
    ผมเองก็ไม่ได้โหดร้ายเรื่องเลยไม่โหดไปเน๊อะอิอิ
    
                       16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif
  • เฌอมาลย์

    6 ธันวาคม 2549 14:42 น. - comment id 94128

    17.gif17.gif
    
    เฌอก็ชอบแบบโหดๆค่ะ ขอโหดสุดๆดีไหมคะ 73.gif11.gif
  • แก้วประเสริฐ

    6 ธันวาคม 2549 15:20 น. - comment id 94130

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ  เฌอมาลย์
    
            ชอบหรือครับ ผมเองแต่งเสร็จไปตั้งนานแล้ว
    เพียงคอยทะยอยส่งเท่านั้นเองครับ ขี้เกียจมานั่ง
    แก้ไขใหม่ครับ
    
                          16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน