บทที่ ๒๕ ศึกอหิงสากะนคร ครั้นขุนทหารวิชชุฆานรับพระราชสาสน์มาเก็บไว้ในอกแล้ว ก็ถดถอยออกมา ต่างพากันน้อมตัวถวายบังคมลา ได้รับพระราชกระแสรับสั่งเพิ่มเติมว่า “ลำบากท่านทั้งสองยิ่งนัก ฝากบอกกล่าวแก่ทัศยุราชันย์ด้วยว่าทางเรานั้น พร้อมจะช่วยเหลือเพียงแต่ให้ระยะเวลาอีกสักระยะหนึ่งนะท่าน” องค์ท้าวเธอดำรัส “พ่ะย่ะค่ะ เพค่ะ ขอรับสนองพระบัญชาด้วยเกล้าพระเจ้าข้า”ขุนทหารทั้งสองทูลถวาย เมื่อออกจากห้องพลับพลาก็พากันกำบังกายออกมา เดินทางกลับยังพระนคร นาครินทนาครทันที องค์ท้าวเธอวิหะคะยุราชครั้นเห็นขุนทหารชายหญิงทั้งสองกลับไปแล้วก็ทรงตรัส แก่องค์พระยุพราชทันที “เห็นทีความคิดอ่านการศึกครั้งนี้ของลูก ลึกซึ้งชาญฉลาดยิ่งนัก สมแล้วที่เป็นลูกรัก ของเรา เจ้าทำให้พ่อเปลี่ยนนิสัยได้ เพียงแค่ทหารหญิงชายสองคนนี้ก็ช่างห้าวหาญ องอาจยิ่งนักสามารถผ่านด่านต่างๆของท่านท้าวและเราเข้ามาได้ถึงยังที่นี่ โดยที่มิรู้ระแคะระคายแต่ประการใด นี่ดีนะที่พ่อเองมีประสบการณ์อยู่บ้างให้สงสัยด้วย เห็นผ้าม่านนั้นยามไหวกลับปรากฏเป็นรูปร่างรอยคนขึ้นมาขึ้นมาสองรอยตอนแรกคิด ว่าเป็นรอยผ้าม่านทิ้งชาย มิฉะนั้นหากเป็นคนมาปองร้ายเราทั้งสองเห็นทียากจะระวัง ตัวเองได้ ขุนทหารทั้งสองนี้มิเพียงมีฤทธิ์แค่นี้เท่านั้น คงประกอบด้วยวิทยาอาคมแก่กล้า ที่ร้ายกาจอีกมากนะลูก พ่อเองคิดว่าคงจะไม่มีเพียงแค่นี้หรอกอาจจะมีมากกว่านี้มากด้วย องค์ท้าวนิลกาฬคงเห็นจะถึงซึ่งกาลอวสานในการศึกครั้งนี้เป็นแน่แท้เสียแล้วกระมัง ด้วยเหตุที่ทหารของนาครินทนาครนั้น มิคงจะมีทหารชายที่เก่งกล้าประกอบด้วยวิทยาอาคม กลับสร้างกองทหารหญิงที่เก่งกล้าสามารถมากมายไว้รอรับในการศึกนี้โดยเฉพาะเป็นแน่เทียว และท่านท้าวเธอแม้จะเก่งกล้าสามารถไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใดๆก็ตามแต่กลับพ่ายแพ้ให้แก่ เพศสตรีและทรงมีความหวั่นเกรงยิ่งนักซึ่งพรขององค์พระศิวะมหาเทพแห่งขุนเขาไกรลาส ที่พระองค์ได้ทรงประทานพรไว้ย่อมไม่อาจจะปกป้องคุ้มครองตนได้นะลูกรัก” องค์ท้าวเธอทรงพระดำรัสพลางทรงพระสรวลเบาๆ ที่พระองค์ไม่วู่วามเปลี่ยนความคิดนี้ได้ “หากเป็นดั่งฉะนี้แล้วเห็นทีความคิดอ่านก็คงจะมิผิดพลาดแต่ประการใด เพราะลูกเองนั้น ก็ให้สนเท่ห์ยิ่งนัก เมื่อคราวที่ร่วมประชุมกันที่เมืองนิลกาฬแล้ว ลูกได้แลเห็นองค์พระยุพราช แห่งสิงหะนครและทันทะกะนครทรงพระปรีชาสามารถมากกล่าวอ่อนน้อมถ่อมตนแต่ประกายตา ซิกลับเหี้ยมหาญดุดันปานประหนึ่งราชสีห์มิผิด และหันไปสบพระเนตรกันเสมอๆ ลูกก็ให้รู้สึก ฉงนในยิ่ง หรือว่าพระองค์ทั้งสองคงอ่านการเหล่านี้ออกสิ้น พยายามอ่อนน้อมต่อทางเราเป็นพิเศษ ซึ่งแตกต่างกับเมืองอหิงสากะนครและนิลกาฬนครที่การเจรจากับสายตาไม่ตรงกันพระเจ้าข้า” องค์ยุพราชวานนรินทร์ทูลถวายสิ่งที่ผิดปกติวิสัยให้พระราชบิดาทรงรับทราบ “นั่นซิพ่อเองก็สงสัยเหมือนกับลูกนั่นแหละเพียงเห็นยังเป็นเด็กเล็กนักใยจะมีความคิดอ่าน ที่ลึกซึ้งได้” พระองค์กล่าวเสริมขึ้น หากเป็นการที่เราคิดอ่านถูกต้องแล้วไซร้เห็นที่เรื่องนี้คง จะพ้นซึ่งปัญหาไปได้นะ แล้วทั้งสองพระองค์ก็ร่วมทรงปรึกษาเพื่อจัดกำลังพลใหม่ให้ประสาน สอดคล้องกับทางเมืองนาครินทนาครต่อไป ครั้นเพลาแห่งสองราตรีผ่านไปยังหามิผู้ใดสามารถจะเข้าตีผ่านเข้าไปยังกำแพงเมืองนั้นได้ สร้างความรุ่มร้อนพระวนกระวายในพระราชหฤทัยองค์ท้าวนิลกาฬอย่างยิ่ง ทรงได้วางแผนเพื่อ นัดหมายให้เข้าตีเมืองอีกครั้ง เพราะกาลเวลาใกล้จะพ้นคืนแห่งวันเพ็ญศิวะราตรีนี้ไปแล้ว ซึ่ง อำนาจศักดิ์สิทธิ์ในการปกป้องจะกลับคืนมา ย่อมทำให้สร้างความลำบากมากไปกว่านี้ โดยแจ้งไปยังพันธมิตรทั้งหลายว่า ส่วนทางด้านทิศตะวันออกและใต้นั้นจะทรงนำทัพ เข้าจัดการตีเอง เพียงให้ทางเมืองที่เหลือเข้าตีเมืองอีกครั้ง และทางเมืองสิงหะนคร และทันทะกะนคร ที่แปรเปลี่ยนไปในครั้งนี้พระองค์จะทรงแบ่งกำลังพลยกเข้าไปตี กระหนาบเองเพื่อให้แตกสลายไปเพื่อจะได้ไม่ให้เป็นพิษภัยต่อไปได้ เมื่อท่านท้าวเธอ ทรงปรารมภ์แล้วก็จัดแบ่งกำลังเข้าสู่ด้านทิศดังกล่าวแยกย้ายกันเข้าตีเมืองอย่างดุดัน กำลังส่วนหนึ่งก็ยกเข้าไปยังยอดเขาที่พักไพร่พลของท่านยุพราชสิงหะฤทธาและยุพราช โกเมศกุมารที่พักอาศัยอยู่โอบล้อมรุกกระหน่ำโจมตีหวังให้แตกพ่ายยับเยินทั้งสองทัพ ส่วนทางด้านอหิงสากะนครก็ระดมพลเข้าตีทางทิศที่ได้รับมอบหมายทุ่มกำลังเข้าต่อสู้ อย่างสุดความสามารถ ทรงสั่งให้สุรินทร์อสูรและทหารทั้งหลายหาทางเข้าเมืองให้ได้ การศึกรบติดพัน จนพระองค์หญิงปทุมวดีต้องนำกำลังพลออกจากกำแพงเมืองเข้าต่อสู้ กับสุรินทร์อสูรทันที พระองค์ทรงพาหนะ คชสีห์และนำเหล่าทหารหญิงชายที่ทรงฝึกไว้ เข้าต่อสู้กับทหารของสุรินทร์อสูรทั้งสองฝ่ายเข้าสู้รบกันติดพันชุลมุนวุ่นวายกระจายไปทั่ว ฝ่ายทางด้านทหารของเจ้าหญิงถึงแม้ว่าจะมีกำลังพลน้อยกว่าแต่ทว่าเต็มไปด้วยความฮึกเหิม ยิ่งนักและประกอบด้วยวิทยาคมอาศัยฤทธิ์เวทย์มนต์แยกร่างออกจากกันเข้าต่อสู้ทัดเทียมกัน ทหารทั้งสองฝ่ายต่างมีฤทธิ์เดชเดชาประกายอาวุธต่างกระจายเต็มไปทั่วสนามรบส่งเสียงคำราม เสียงดังลั่นสะเทือนหวั่นไหวเสียงดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ บนฟากฟ้าก็เต็มไปด้วยอาวุธวิเศษ เข้าหักล้างซึ่งกันและกันทั้งดาบ กระบอง คทา ลูกตุ้ม น้ำเต้าเป็นต้นต่างก็แสดงซึ่งอิทธิฤทธิ์ เฉพาะทางของกันและกัน บ้างก็สลายหายไป บ้างก็หันมาทำลายทหารบนภาคพื้นดิน บ้างก็ ลงมาต่อสู้ป้องกันเหล่าทหารของตนเองเอาไว้ ทำให้เลือดนองกระจายไปทั่วทั้งศพมากมาย ทางด้านองค์หญิงปทุมวดีก็เข้ารบกับสุรินทร์อสูรต่างใช้อาวุธวิเศษเข้าต่อสู้กันเป็นพันวัน ทางฝ่ายสุรินทร์อสูรเข้าต่อตีองค์หญิงด้วยกระบองห้าเหลี่ยมปะทะกับขลุ่ยแก้ววิเศษที่แปรสภาพ เป็นดาบกายสิทธิ์ ทางด้านพระยาคชสีห์ก็เข้าขบกัดเหล่าทหารที่เข้ามารุมล้อมจนตกตายไป ร่างกายแหลกละเอียดหาชิ้นดีมิได้ บางครั้งก็พ่นน้ำออกจากงวงช้างเป็นน้ำกรดไฟเข้าใส่ทหาร สุรินทร์อสูรโกรธแค้นอย่างยิ่งตาแดงทั้งสองข้างดั่งเพลิงที่ไม่สามารถทำร้ายแก่องค์หญิงได้ พลางล้วงหยิบบ่วงบาศขว้างเข้าใส่พระยาคชสีห์และเหล่าทหารองค์หญิงทันทีพลันบ่วงบาศ ก็แยกตัวออกเป็นหลายๆบ่วงซึ่งลุกเป็นไฟพุ่งเข้าใส่ทหารและพระยาคชสีห์ พระยาคชสีห์ ก็อ้าปากพ่นไฟกรดเข้าทลายบ่วงบาศทันที ด้วยอำนาจของพระยาคชสีห์มีมากกว่าก็ทำลายบ่วง ของสุรินทร์อสูรมอดไหม้ไปมิอาจเข้ามาใกล้ ครั้นองค์หญิงปทุมวดีเห็นดังนี้ ทรงถอดกำไลแก้ว จากข้อพระหัตถ์ ร่ายพระเวทย์ทรงเหวี่ยงเข้าต้านทานบ่วงบาศ กำไลแก้วก็กลับกลายเป็นสายฟ้า เข้าทำลายบ่วงบาศของท่านสุรินทร์อสูรจนมอดไหม้เป็นจุลในพริบตา สุรินทร์อสูรเห็นดั่งนั้น ก็เพิ่มความโกรธพลางถอดกำไลข้อแขนทั้งสองข้างออกเหวี่ยงเข้าสู่ยังกำไลแก้วขององค์หญิง กลายเป็นไฟพะเนียงต่อสู้กันบนกลางอากาศ ฤทธิ์ของไฟกรดก็สาดเข้าใส่หมู่ทหารทั้งสองฝ่าย เมื่ออาวุธวิเศษทั้งสองกำลังต่อสู้กัน พระองค์ก็ทรงขับพาหนะ คชสีห์เข้าหาสุรินทร์อสูรฟาดฟัน ด้วยดาบขลุ่ยแก้ว ยามแหงนหน้ามองดูอาวุธนั้นเข้าปะทะอาวุธอสูร เสียงดังสะท้านสะเทือนไป ทั่วพื้นดิน การต่อสู้ดำเนินไปยังมิมีผู้ใดแพ้ชนะกัน ด้านประตูเมืองก็เปิดออกองค์ท่านทัศยุราชันย์ เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวก็ทรงยกกำลังพลออกมาช่วยเหลือเจ้าหญิงปทุมวดีทันทีทรงเสด็จบนอาชาสีขาว ปลอดเพรียวกำยำขับพุ่งเข้าสู่สุรินทร์อสูร พระองค์กวัดแกว่งพระแสงดาบฟาดพันเหล่าทหารอสูร จนแตกกระจายเป็นช่องทาง ครั้นทรงเสด็จดำเนินมาถึงก็ตรัสให้เจ้าหญิงทรงถอยห่างออกมา เมื่อได้โอกาสพระองค์ก็ทรงนำจักรเพชรขว้างเข้าใส่สุรินทร์อสูรด้วยอำนาจของมหาศาสตราอาวุธ สุรินทร์อสูรมิอาจต้านทานได้ จะรีบหลบหนีไปทันทีแต่ไม่พ้นจักรเพชรที่หมุนเข้าตัดศีรษะ แขนขา อวัยวะส่วนต่างๆของสุรินทร์อสูรขาดสิ้นตกตายไป ท่านท้าวสุพพัตสุระมองเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว ที่แม่ทัพใหญ่พระองค์เสียทีต่อจักรเพชรขององค์ทัศยุราชันย์ ก็ทรงพระพิโรธโกรธาเป็นยิ่งนักจึง ขับทหารเข้ามารายล้อมองค์ทัศยุราชันย์และองค์หญิงปทุมวดีพร้อมเหล่าทหารหญิงทันทีด้วยทรงมี ไพร่พลมากว่า แต่ก็หาทำให้ทั้งสองพระองค์หวั่นเกรงแต่ประการใดไม่ทรงเข้าต่อสู้กับองค์สุพพัตสุระ ส่วนเหล่าทหารขององค์หญิงบ้างก็หายตัวไปทำร้ายทหารอสูรที่ต่างตกตะลึงมิเห็นร่างทหารหญิงนี้ บ้างก็แยกร่างกายเป็นหลายๆร่างบ้างก็แปลงกายต่างๆนานาเข้าต่อสู้เข่นฆ่าทหารอสูรที่ตกตลึงงวยงง ด้วยคาดคิดมิถึงว่าจะพบกับทหารหญิงด้วยสิ่งแปลกๆเช่นนี้ องค์ท่านท้าวอหิงสากะก็ทรงล้วงหยิบ แว่นแก้วพลางส่องมาทางเจ้าชายและองค์หญิงทันทีปรากฏเป็นเพลิงไฟประลัยกัลป์เข้าใส่ยังพระองค์ ทั้งสองแต่ด้วยฤทธิ์ของน้ำอำมฤตและผลไม้วิเศษหาได้รับอันตรายใดไม่ องค์ชายก็มิได้หวาดหวั่นพรึง แก่พระองค์ทรงหยิบตรีเพชรออกชี้ไปยังแว่นแก้วทันทีด้วยฤทธิ์อำนาจของมหาศาสตราอาวุธเป็น ประกายสายฟ้าแปลบปลาบเข้าต่อต้านและทำลายจนแว่นแก้วนั้นก็แตกละเอียดกระจัดกระจายไป องค์ท้าวสุพพัตสุระเห็นดังนั้นก็ทรงล้วงหยิบเอาประคำพลอยแก้วลักษณะสีดำมะเมื่อมออกสาธยายมนต์ แล้วทรงขว้างใส่ประกายตรีเพชรทันทีเกิดแสงสว่างลุกเป็นไฟเข้าหักล้างอาวุธของตรีเพชรแต่เบื้องอากาศ ปรากฏจักรเพชรได้กระจายแยกตัวออกจากจากกันแล้วออกพุ่งเข้าหาใส่ยังร่างท้าวสุพพัตสุระทันทีทุกแห่ง แม้ร่างกายของท่านท้าวสุพพัตสุระจะสามารถคงทนต่ออาวุธนานาประการยามเข้าต่อสู้กับผู้ใดก็ตามที แต่ก็ไม่อาจจะต่อต้านอิทธิฤทธิ์เดช จักรเพชรของมหาเทพองค์พระนารายได้ ร่างพลันถูกตัดแยกเป็น ชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปทันที แต่ร่างกายท่านท้าวก็หาถึงซึ่งกาลตักษัยไม่ กลับเข้ารวมตัวกันอีกครั้งทะยาน เข้าหาองค์ทัศยุราชันย์ พร้อมส่งพระสรวลหัวร่อพระสุระเสียงดังลั่นเยาะเย้ยหมายเข่นฆ่าพิฆาต ทัศยุราชันย์เห็นดังนี้จึงทรงปลดคันธนูจากพระอังสาน้าวคันศรพร้อมลูกธนูยิงออกไป เสียงลูกศร แหวกอากาศดังกึกก้องปานกัมปนาทแผ่นดินหวั่นไหวท้องฟ้าแปรเปลี่ยนสีทันทีลูกธนูก็พุ่งเข้าเสียบ พระอุระท่านท้าวแห่งอหิงสากะ จนมิดลูกธนูด้วยอำนาจลูกศรพรหมเมศร์ของท่านท้าวมหาพรหม แห่งสรวงสวรรค์ ท่านท้าวสุพพัตสุระก็ถึงกาลตักษัยทันทีมิอาจกลับคืนสู่สภาพดังเดิมได้ พลันร่างล้ม ทรุดกายลงพื้นดินเกิดประกายไฟเข้าลุกเผาผลาญร่างขององค์ท้าวสุพพัตสุระมอดไหม้สูญหายไป บรรดาเหล่าอสูรทั้งหลายและทหารเอกครั้นเห็นดั่งนี้ก็พากันแตกกระจายต่างก็พากันหลบหนีไปสิ้น รีบพากันหนีไม่เป็นขบวนทัพหนีกลับไปยังเมืองอหิงสากะนครทันทีต่างพากันทิ้งอาวุธสิ่งของต่างๆ ไว้มากมายเต็มสนามรบไปทั่ว องค์ทัศยุราชันย์และเจ้าหญิงปทุมวดีครั้นเห็นดังนั้นพระองค์ทั้งสอง ก็สั่งทหารมิให้ติดตามเหล่าทหารอหิงสากะเพียงเข้าจัดการกวาดล้างทำความสะอาดบริเวณแล้วยกพล เข้าเมือง เพื่อเข้าไปช่วยศึกทางด้านทิศเหนือตะวันออกและทางด้านทิศใต้ต่อไป ทางฝ่ายปักษินนครหลังจากที่ได้มีข้อตกลงกับทางนาครินทนาครแล้วเมื่อเข้าตีเมืองนาครินทนาคร ก็แสร้งทำเป็นฮึกเหิมอกอาจส่งสำเนียงโห่ร้องดังกึกก้องไปทั่วบริเวณเร่งให้เมืองสินธุนครเข้าโจมตีทันที ทางฝ่ายสินธุนครมิรู้ในกลอุบายก็ส่งทหารเข้าบุกยังประตูเมืองจนได้รับเสียหายแตกพ่ายทั้งแนวหน้า เสียไพร่พลล้มตายมากมายต้องพากันร่นถอย แต่ก็ยังถูกทางทหารปักษินนครยั่วเย้าก็มีความโกรธ เมื่อตั้งหลักได้แล้วก็พากันหันหลังกลับเข้าต่อสู้ใหม่ทางทหารปักษินนครก็มิได้เข้าทำการช่วยเหลือ ทางทหารของนาครินทนาครก็ไม่ได้พุ่งอาวุธใส่ยังทหารของปักษินนครคงเข้ากวาดล้างทหารของ สินธุนครเพียงอย่างเดียว เจ้าหญิงดาริกาที่ทรงคุมกำลังพลยกออกมาก็เข้าห้ำหั่นจนทหารเมืองสินธุ นครแตกพ่ายยับเยินอีกครั้งหนึ่งโดยต้องเสียไพร่พลเกือบหมดกองทัพเหลือรอดกลับไปเพียงน้อยนิด แล้วเจ้าหญิงดาริกาก็ทรงเผชิญหน้ากับองค์ยุพราชวานนรินทร์ด้วยพระพักตร์แย้มยิ้ม องค์ยุพราช วานนรินทร์ก็ทรงน้อมพระองค์ถวายบังคมพระองค์หญิงทันที เจ้าหญิงดาริกาทรงส่งยิ้มตอบเอ่ย พระโอษฐ์ตรัสแก่ยุพราชวานนรินทร์แจ้งให้ถึงทางท่านท้าวสุพพัตสุระพระองค์ได้เสียชีวิตไปแล้ว พร้อมกับทหารของพระองค์แตกพ่ายยับเยิบหนีกลับไปหมดแล้ว องค์พระยุพราชครั้นพอทรงทราบ สาเหตุถึงเมืองอหิงสากะนครก็ทรงทูลลาพระองค์หญิงและฝากทูลลาองค์ทัศยุราชันย์ไว้หากเสร็จศึก วันใดจะเสด็จมาเยี่ยมทั้งสองพระองค์ องค์หญิงดาริกาก็ทรงตรัสขอบพระทัยและฝากอวยพร แก่องค์ท่านท้าววิหะคะยุราชว่าทรงขอขอบพระทัยยิ่งนัก ต่อไปนี้ทั้งสองเมืองก็จะมีสัมพันธ์ไมตรีที่ดี ต่อกันหากเสร็จศึกครั้งนี้ก็จะหาทางไปยังเมืองปักษินนครเพราะเยี่ยมคาราวะท่านท้ายวิหะคะยุราช
ภาพประกอบล่างเป็นของคุณ เฌอมาลย์ ขอรับ.....แก้วประเสริฐ.
5 ธันวาคม 2549 19:33 น. - comment id 94102
ยาวเลยนะครับลุง อิจฉาพระเอกนะ
6 ธันวาคม 2549 10:48 น. - comment id 94110
.....คุณชายชรา..... เว้นแบบนี้น่าอ่านดีค่ะ....ปทุมวดี... ขอโหดกว่านี้หน่อย
6 ธันวาคม 2549 12:08 น. - comment id 94117
คุณ อัสสุ จะอิจฉาไปใยเล่า ตัวเราเองก็หาใช่ย่อยเสีย เมื่อไหร่ล่ะ อาจจะดีกว่าหล่อกว่าเน๊อะ อิอิ แก้วประเสริฐ.
6 ธันวาคม 2549 12:10 น. - comment id 94119
คุณ ยายแม่มดน้อย ขนาดนี้คนก็ชักจะเบื่อเรื่องนี้แล้วล่ะ ผมแต่ง ไว้จบแล้วล่ะจะโหดก็ตอนท้ายๆใกล้จะจบ เพราะ ผมเองก็ไม่ได้โหดร้ายเรื่องเลยไม่โหดไปเน๊อะอิอิ แก้วประเสริฐ.
6 ธันวาคม 2549 14:42 น. - comment id 94128
เฌอก็ชอบแบบโหดๆค่ะ ขอโหดสุดๆดีไหมคะ
6 ธันวาคม 2549 15:20 น. - comment id 94130
คุณ เฌอมาลย์ ชอบหรือครับ ผมเองแต่งเสร็จไปตั้งนานแล้ว เพียงคอยทะยอยส่งเท่านั้นเองครับ ขี้เกียจมานั่ง แก้ไขใหม่ครับ แก้วประเสริฐ.