ข้าพเจ้ากำลังป่วยหนัก! หลังจากเจ็บกระเสาะกระแสะมาหลายครั้งก่อนหน้า มาระยะหลังนี้ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามันทวีหนักหน่วงเกินกว่าจะทนนิ่งเฉย ความหดหู่แปลกประหลาดกระโจนเข้าใส่ข้าพเจ้า มันเริ่มกัดแทะจากส่วนสัมผัสตื้นเขิน ก่อนจะกร่อนกินเข้าไปยังส่วนที่ลึกล้ำกว่า ทุกค่ำคืนข้าพเจ้าต้องทนเจ็บปวดจมลึกอยู่กับฝันร้ายเดิมๆ วนเวียน ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในภาพฝันข้าพเจ้ากำลังเผชิญหน้ากับชายชราคนหนึ่ง เราพูดคุยกันเนิ่นนานในเนื้อหาที่ข้าพเจ้าค่อนข้างคุ้นชิน บางหนคล้ายเราถกเถียงในเรื่องที่เห็นต่าง บางครั้งคล้ายเราเออออในความเห็นพ้อง แต่ท้ายที่สุดแล้วมันจะจบลงด้วยภาพความตายของเขาเสมอ ชายชรานอนแน่นิ่งไม่ไหวติงบนเตียงนอนเก่าๆ ริ้วรอยยับย่นรอบดวงตาที่ดูเหมือนเปียกชื้น ทำให้ข้าพเจ้าต้องก้มหน้าลงมองอย่างเพ่งพินิจ และเมื่อมองเห็นใบหน้านั้นชัดเจน ข้าพเจ้าก็จับได้ว่าชายชราผู้นั้น คือตาที่เสียไปเมื่อหลายปีก่อน เมื่อลืมตาโพลงขึ้นกลางดึก ข้าพเจ้าจะร้องไห้สะอึกสะอื้นบนความโศรกเศร้าอันไม่รู้สาเหตุ! ความตายของตาเกี่ยวข้องอะไรกับข้าพเจ้า? ความจริงแทบจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยด้วยซ้ำ เป็นเวลานานหลายปีทีเดียวที่ข้าพเจ้าเดินทางออกจากบ้าน เพื่อดำเนินบนวิถีชีวิตใหม่ เริ่มต้นจากเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย จนกลายเป็นพนักงานบริษัทเอกชน 2-3แห่ง ชีวิตใหม่นี้นำพาข้าพเจ้าออกมาจากชีวิตของคนอื่นๆ ในครอบครัว มโนภาพเกี่ยวกับตาจึงหยุดนิ่งอยู่แค่ภาพของชายแก่เงียบขรึมผู้จมหน้าอยู่กับผืนดินเพาะปลูกทุกเมื่อเชื่อวัน ซึ่งเป็นวิถีที่ถูกบ่มเพาะมาแต่บรรพบุรุษ ชีวิตของท่านดูเหมือนจะผูกติดอยู่เท่านั้น โดยหารู้ไม่ว่ามันคือวิถีที่ข้าพเจ้าปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะหันหลังเดินหนีออกมา ข้าพเจ้าไม่เคยอยากเป็นชาวนา แม้พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย หรือบรรพบุรุษก่อนหน้านั้นทุกคนล้วนเกิดและตายในสถานภาพชาวนา และแม้จะมีเลือดชาวนาสูบฉีดอยู่ภายในตัวอย่างเต็มเปี่ยม แต่ข้าพเจ้าไม่เคยมีความคิดจะสืบทอดวิถีชีวิตอันซ้ำซากแร้นแค้นนี้ บนความคิดดังกล่าว ข้าพเจ้าจึงมุ่งมั่นและดึงดันให้ได้เรียนต่อแทนการยอมจำนนกับสภาพขาดแคลนของครอบครัว แต่ความดึงดันนั้นก็นำมาซึ่งภาระอันหนักอึ้ง พ่อกับแม่จำใจตกอยู่ในสถานะที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลยในชีวิต นั่นคือ ลูกหนี้ เพื่อให้ได้เงินมาเป็นค่าลงทะเบียน ค่าหอพัก ค่าใช้จ่ายรายวันอีกจิปาถะของข้าพเจ้า ซึ่งนั่นก็เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น ต่อเมื่อสถานการณ์ตีบตันยิ่งขึ้น พ่อกับแม่ตัดสินใจจะแบ่งขายที่นาสักแปลงหนึ่ง โดยคิดสะระตะแล้วว่า เงินที่ได้เพียงพอจะส่งเสียให้ข้าพเจ้าเรียนไปจนจบชั้นปริญญาตรี แต่กว่าจะตกลงกันได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย เป็นตาที่ค้านเสียงคัดเสียงแข็ง หัวเด็ดตีนขาดก็จะไม่ยอมให้ขาย นาแปลงนี้หว่านไถปลูกข้าวเลี้ยงพวกเรามาหลายชั่วอายุคน จะมาย่อยยับด้วยน้ำมือคนรุ่นนี้ ให้กูตายเสียก่อนเถอะ พวกมึงจะทำอะไรก็ค่อยทำ แต่คำคัดค้านของตาก็เป็นได้แค่คันดินเล็กๆ ไม่อาจทานกระแสน้ำหลากเชี่ยว หรือในใจลึกๆ แล้วท่านเองคงอยากจะให้ลูกหลานเรียนจบชั้นปริญญาไว้เป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลสักคนอยู่เหมือนกัน สุดท้ายจึงจำยอมให้พ่อกับแม่แบ่งขายที่นาแปลงนั้นไป คนซื้อเป็นผู้ค่อนข้างมีอันจะกินในหมู่บ้านเดียวกัน ชั่วไม่นานนักเขาก็เปลี่ยนที่นาเตียนโล่งเป็นโรงเรือนเลี้ยงหมู ล้อมรั้วคอนกรีตเอาไว้แน่นหนา มันได้กลายเป็นที่ดินของคนอื่นอย่างเต็มตัว ไม่ใช่ที่ที่เราจะผ่านเข้าออกได้เหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป ถึงอย่างไรเราก็ยังมีที่นาแปลงใหญ่ส่วนที่เหลือให้ได้ไถหว่านปลูกข้าวกิน ถ้าฝนไม่แล้งยังไงก็พอกินไม่มีอด ตาดูเงียบไปถนัด ท่านใช้เวลาอยู่กับผืนดินที่เหลือนานกว่าก่อน บางทีมืดค่ำจนเดือนหงายตรงหัวจึงแบกจอบเดินกลับเข้าบ้าน ข้าพเจ้าได้ยินเสียงถอนหายใจบ่อยครั้งยามท่านนั่งมวนตองสูบยาที่นอกชานบ้าน ดวงตากร่อนกร้านคู่นั้นมองออกไปในความมืดของค่ำคืนอย่างเลื่อนลอย ไม่มีใครรู้ว่าท่านกำลังคิดอะไรในใจ และไม่รู้จนกระทั่งท่านจากไปอย่างสงบในเช้าวันหนึ่ง แม่ร้องไห้จนตาแดงก่ำ พ่อได้แต่นิ่งเงียบ คนที่น่าสงสารที่สุดเห็นจะไม่พ้นยาย ข้าพเจ้าเห็นท่านนั่งนิ่งมองร่างไร้ลมหายใจของตาเสมือนกำลังตัดพ้อ ปีรุ่งขึ้นหลังการจากไปของตาข้าพเจ้าก็เรียนจบ วันรับปริญญาแม่ถือรูปถ่ายของตาไปด้วย อุปทานบางอย่างทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่ารูปใบนั้นกำลังยิ้มอย่างภาคภูมิ นี่ไง! ปริญญาบัตร ผมทำสำเร็จแล้ว! ข้าพเจ้าลิงโลดในใจ ข้าพเจ้ากำลังป่วยหนัก! คืนนี้ก็เช่นกันข้าพเจ้าฝันว่ากำลังเผชิญหน้ากับชายชราในชุดเสื้อม่อฮ่อมเก่าซีด กางเกงผ้าสีดำด้านมีรอยขาดวิ่นรอยปะชุนอยู่ทั่ว มือข้างหนึ่งดูเหมือนจะถือตะกร้าไม้ไผ่สานที่มีข้าวของอยู่เต็มในนั้น ใบหน้าของเขาดูเลือนลางเหมือนเช่นทุกครั้ง กลับมาแล้วหรือ? เขาเอ่ยถามข้าพเจ้าด้วยน้ำเสียงกังวาน ใช่! กลับมาแล้ว ผมมีนี่มาด้วย ข้าพเจ้าชูกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นอวดต่อหน้าเขา เพิ่งสังเกตว่าตัวเองสวมชุดครุยยาวปรกเข่าอยู่ด้วย ปริญญา ผมได้มันมาแล้ว ชายชราอมยิ้ม ข้าพเจ้ารู้สึกอย่างนั้น แม้จะมองเห็นไม่ถนัดนัก รู้แล้วล่ะ...เก็บไว้ก่อนเถอะ ตอนนี้ต้องไปทำเรื่องสำคัญกันก่อน เขาหันหลังเดินผละไปแทบจะทันที ตามมาสิ เขาหยุดเดิน หันกลับมาเรียกเมื่อเห็นข้าพเจ้าได้แต่ยืนนิ่ง ไปไหน--อะไรคือเรื่องสำคัญ? นั่นไงเล่า ชายชราชี้มือไปทางด้านหนึ่ง ม่านหมอกค่อยๆ แหวกตัวออกจนมองเห็นสะเดาแก่ต้นใหญ่บนเนินดินเตี้ยๆ กลางผืนนา ตรงโคนต้นสะเดามีศาลเพียงตาเล็กๆ เก่าคร่ำจนสังกะสีที่ใช้มุงหลังคาถูกขี้สนิมกัดกินผุกร่อนเป็นรูๆ เร็วสิ รีบตามมา ปีนี้ยังไม่ได้ไหว้ท่านเลย ฝนจวนจะมาอยู่รอมร่ออยู่แล้ว ชายชราว่าพลางเดินนำไปยังเนินดินนั้น เดี๋ยวก่อน! ไหว้ใคร--ไหว้ทำไม? ชายชราถึงชะงัก หันกลับมามองหน้าข้าพเจ้าด้วยแววตาขุ่นเคือง ถามได้ ก็ไหว้ผีไร่ผีนาน่ะสิ ทำกันมาทุกปีจำไม่ได้รึไง! ไป! รีบไปกัน สายแล้ว! เขาคว้าข้อมือข้าพเจ้าฉุดให้เดินตาม จะรอให้มีใครเจ็บไข้ได้ป่วย หรือรอให้ข้าวนาปลาน้อยก่อนรึไง! ชายชราคุกเข่าลงตรงตีนเนินดินด้านหน้าศาลเพียงตา วางตะกร้าไว้ข้างตัว แล้วก้มกราบลงกับพื้นดินสีดำ จากนั้นจึงจัดแจงเอาข้าวของออกจากตะกร้า เท่าที่เห็นมีกระติ๊บข้าวเหนียวเล็กๆ ดอกไม้ธูปเทียน ยาสูบมวนใบตอง เหล้าขาวครึ่งขวดและไก่ต้มสุกขาวซีดหนึ่งตัว มือสั่นเทาบรรจงจุดธูปเทียนพนมไหว้อีกรอบพลางทำปากขมุบขมิบเหมือนท่องบทสวดอะไรสักอย่าง ท่าทางนั้นดูสงบจนข้าพเจ้ารู้สึกเย็นเยือก เอ้า! นั่งลงสิ ยืนค้ำหัวอยู่ทำไม?! ข้าพเจ้าลังเล เอาสิ! นั่งลงไหว้ด้วยกัน ท่านจะได้คุ้มครองปัดเป่าเจ็บไข้ไม่ให้มาแผ้วพาน ไม่ล่ะ! ข้าพเจ้าพูดออกไปเหมือนพลั้งปาก อะไรกัน? แต่ไหนแต่ไรมาก็ว่านอนสอนง่ายมาตลอดนี่ หรือว่าเดี๋ยวนี้ล่ำเรียนจบมาสูงจนไหว้ท่านไม่ได้อีกแล้ว อย่าลืมสิว่าที่ได้ร่ำได้เรียนนี่ก็เพราะท่านช่วยไม่ใช่หรอกหรือ! เขาลุกขึ้น ก้าวเท้ามายืนตรงหน้าข้าพเจ้า ตอนยังเด็กน่ะ ถ้าท่านไม่ช่วยไว้ป่านนี้ตายไปแล้วรู้ไหม ลืมแล้วหรือบุญคุณของท่านน่ะ? ตอนเด็ก ข้าพเจ้าเคยป่วยหนักอยู่ครั้งหนึ่ง ตัวร้อนเป็นไฟร้องไห้ไม่หยุดหย่อน พ่อกับแม่พาไปหาหมอที่โรงพยาบาลในอำเภอ หมอพวกนั้นบอกว่าเป็นไข้หวัดปกติให้ยามากินแต่อาการไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น ตาเห็นว่าชักไม่เข้าทีรีบอุ้มมาไหว้ผีไร่ผีนาบนบานขอให้ท่านช่วยปัดเป่าเจ็บไข้ถ้าหายจะเอาไก่แม่สาวต้มสุกมาแก้บน เท่านั้นล่ะอาการก็ดีขึ้นราวปาฏิหาริย์ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อกัน เรื่องนี้แม่เล่าให้ข้าพเจ้าฟังบ่อยๆ ท่านว่าถ้าไม่ได้ผีไร่ผีนาช่วยเอาไว้ ป่านนี้ข้าพเจ้าอาจจะป่วยตายไปแล้วก็ได้ ลืมแล้วใช่ไหมบุญคุณของท่านที่เคยช่วยชีวิตเอาไว้น่ะ--หรือว่าโรงเรียนเขาสอนให้ลืมบุญคุณของผีไร่ผีนาไปหมดแล้ว! ไม่ใช่อย่างนั้น แล้วมันยังไง?! น้ำเสียงเขาดุดัน โรงเรียนเขาสอนให้เชื่อในเหตุในผล ข้าพเจ้าตอบ ทุกอย่างที่โรงเรียนสอนน่ะมีตำราอ้างอิง เป็นสิ่งที่เชื่อถือได้ พิสูจน์ได้ รู้หรือเปล่าว่าทุกวันนี้โลกเขาก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว คนรุ่นใหม่เขาเชื่อวิทยาศาสตร์ คิดแบบวิทยาศาสตร์ ไม่มีใครมัวมางมงายกับความเชื่อที่ไร้เหตุไร้ผลหรอก ชายชรานิ่งเงียบ ข้าพเจ้าจึงเหมือนยิ่งได้ใจ ตอนเด็กที่หายป่วยได้นั่นน่ะ ไม่คิดหรือว่าเป็นเพราะยาที่หมอเขาให้มา ไม่ได้เกิดจากปาฏิหาริย์เหนือธรรมชาติอะไรอย่างที่เข้าใจกัน ถ้าไม่ได้ยาหมอตั้งแต่แรกป่านนี้อาจจะตายไปแล้วก็ได้ เรื่องข้าวปลานั่นก็เหมือนกัน เมื่อไหร่จะเลิกเชื่อว่าผีไร่ผีนาเป็นคนคอยช่วยให้ข้าวปลาอุดมสมบูรณ์กันซะที ข้าวจะดีไม่ดีมันขึ้นอยู่กับดินกับปุ๋ย กับฤดูกาล ลองถ้าฝนแล้งดูสิ ผีไร่ผีนาหน้าไหนจะมาช่วยได้ หยุดเถอะ! ชายชรารีบปรามและพูดต่อเสียงสลด อย่าพูดต่อไปอีกเลย ข้าผิดเองแหละที่ยอมให้พ่อแม่เอ็งขายที่นาส่งให้เรียนต่อตั้งแต่แรก ไม่อย่างนั้นเอ็งคงไม่กลายเป็นแบบนี้ ดูเหมือนเขากำลังสะอื้นไห้ ข้าพเจ้าพลอยรู้สึกสลดตาม นึกอยากจะกล่าวคำขอโทษ แต่แล้วทันใดนั้นหมอกควันสีขาวก็ก่อตัวขึ้นหนาทึบจนกลืนร่างชายชราหายไป ชั่วอึดใจถัดมาหมอกควันเหล่านั้นก็เริ่มจางหายปรากฏร่างชายชราคนหนึ่งนอนแน่นิ่งอย่างสงบบนเตียงนอนเก่าคร่ำ ข้าพเจ้าค่อยๆ หยั่งเท้าเดินเข้าไปใกล้ด้วยความอยากรู้ จนเมื่อใกล้มากพอเห็นใบหน้าเจ้าของร่างได้ชัดเจน ข้าพเจ้าถึงกับตัวแข็งทื่อ ร่างที่นอนนิ่งอยู่นั้น คือ ตาที่ตายจากไปหลายปีแล้ว!! ทันใด ข้าพเจ้าสะดุ้งตื่นจากฝัน เหงื่อกาฬซึมเปียกโชกแต่กลับรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั่วทั้งตัว วินาทีนั้นความโศกเศร้าอันไร้สาเหตุแผ่ซ่านชำแรกเข้าไปยังความรู้สึกอย่างรวดเร็ว ข้าพเจ้านอนสะอื้นร่ำไห้กับภาพฝันอันแจ่มชัดราวกับว่ามันได้เกิดขึ้นจริงนั้น ข้าพเจ้ากำลังป่วยหนัก! ไม่เคยมีเช้าไหนเลยที่ข้าพเจ้ารู้สึกว่าตื่นอย่างเต็มตื่น ความอิดโรยแสดงออกมาชัดเจนทางดวงตา แขนขาอ่อนแรงราวแบกอาการเจ็บป่วยมาแรมเดือน สภาพของข้าพเจ้าในทุกเช้าเหมือนกับร่างอันเปล่ากลวงไร้ซึ่งชีวิต เพียงแต่ไม่มีใครจะใส่ใจสังเกตเท่านั้นคนทั่วไปจึงไม่เห็นถึงความผิดปกติที่กำลังดำเนินอยู่อย่างเงียบเชียบ หรือไม่ผู้คนรอบข้างข้าพเจ้าก็อาจจะกำลังตกอยู่ในสภาพอย่างเดียวกันจึงไม่ปรากฏความแตกต่างให้เห็น เช้าของวันอันวุ่นวายนี้ก็เช่นกัน ข้าพเจ้าตะกายลุกขึ้นจากที่นอนด้วยแรงกายอันอิดโรยราวกับไม่ได้หลับมานานนับเดือน ความเหนื่อยหน่ายนั้นพลานุภาพรุนแรงแต่ก็ยังนับว่าอ่อนหัดเมื่อเทียบกับความหิวโหย ปากท้องเร่งเร้าให้ข้าพเจ้าลุกจากเตียงเพื่อออกไปสู่การงาน สิ่งที่ข้าพเจ้าทำเป็นเสมือนเรื่องชวนขันอันขมขื่น มันคือการนั่งจมปรักอยู่หน้ากล่องไฟฟ้าทรงสี่เหลี่ยมที่เรียกว่าคอมพิวเตอร์ตั้งแต่เช้าจรดเย็นหรือถึงดึกดื่นในบ่อยครั้งเพื่อที่สุดท้ายจะได้มาซึ่งเงินที่จะถูกนำไปแลกเปลี่ยนเป็นข้าวกินประทังความหิว แทนที่จะเป็นการลงแรงหว่านไถปลูกข้าวกินตามแบบฉบับเลือดเนื้อชาวนาที่บรรพบุรุษสืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน ข้าพเจ้าเองที่มีความเชื่อว่า อาชีพชาวนาเป็นภาระอันหนักอึ้ง เป็นการงานอันน่าเบื่อหน่าย ต้องทนอาบเหงื่อต่างน้ำ อิดโรยท่ามกลางแสงแดดร้อนระอุและไอดินอันคุกรุ่น เป็นการใช้แรงกายอย่างโง่เขลา ก็มีใครทำนาแล้วร่ำรวยเป็นเศรษฐีบ้างเล่า มีแต่ย่ำอยู่กับที่ไม่ก็ยิ่งยากจนลง อย่างตาของข้าพเจ้านั่นเป็นชาวนานับแต่วันที่เกิดกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิตไม่เคยเห็นว่าจะมีเงินทองหรือร่ำรวยอะไรขึ้นมาได้ บ้านก็ยังเป็นเรือนไม้เก่าๆ จวนเจียนล้มครืนเมื่อฤดูฝนฟ้ามาเยือน ไม่มีเฟอร์นิเจอร์หรือเครื่องอำนวยความสะดวก ยังคงเป็นคนที่ถูกเรียกรวมว่าคนจนอย่างไม่มีท่าทีว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเก่าก่อน ทั้งที่ท่านทุ่มเทหยาดเหงื่อแรงกายลงไปในผืนดินอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจนแทบจะเรียกได้ว่า ลมหายใจของท่านแทรกซึมอยู่ในทุกอณูเนื้อดิน จิตวิญญาณของท่านกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับที่นาผืนนี้ก็ว่าได้ แต่สิ่งตอบแทนที่ท่านได้รับนั้นน้อยนิดยิ่งนักในความรู้สึกของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าพาตัวเองออกจากห้องเช่าคับแคบเดินเท้าเลื่อนลอยไปยังปากซอยเพื่อขึ้นรถเมล์ไปที่ทำงาน มันกินเวลาประมาณ 45 นาที ทั้งที่ระยะทางไม่น่าจะเกิน 5 กิโลเมตร ความติดขัดบนถนนเป็นสิ่งที่ทุกคนคุ้นชินและยอมจำนน ไม่ว่าจะปลีกตัวอยู่ในรถยนต์หรูหราราคาหลายล้าน หรือเบียดเสียดกันบนรถเมล์โดยสารสาธารณะ เวลาอันสูญเปล่าชวนอึดอัดเหล่านี้หลายคนพยายามหาอะไรทำเพื่อกลบเกลื่อนความเร่งรีบ หลายคนปิดกั้นโลกภายนอกด้วยเปลือกตาอันหนักอึ้ง เพื่อจะไม่ต้องรับรู้ถึงความเรื้อรังพังเพของสิ่งต่างๆ รอบตัว นี่คือชีวิตที่ข้าพเจ้าเลือก ชีวิตที่จะไม่ต้องสืบทอดเอาความเป็นชาวนามาแบกรับไว้เป็นภาระบนบ่าทั้งสองข้าง ชีวิตที่ข้าพเจ้ามั่นใจว่าจะเป็นการปลดแอกให้แก่ตัวเองในเบื้องแรกเมื่อครั้งเริ่มทำความรู้จักกับความศิวิไลซ์ ก่อนจะมายืนกระสับกระส่ายอยู่บนทางแยกแห่งความลังเลและสิ้นหวัง การตัดสินใจของข้าพเจ้าเกิดขึ้นอย่างง่ายดายบนความฝักไฝ่ชีวิตสุขสบายรายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ นานา ตามครรลองแห่งกระแสทุนนิยม รูปแบบชีวิตสำเร็จรูปเชื้อชวนผู้คนให้หลงใหลผ่านจอทีวีทุกเมื่อเชื่อวัน โดยไม่มีใครแคลงใจถึงความฟุ้งเฟ้อที่แฝงเร้นอยู่ในนั้น ข้าพเจ้ามีทีวีจอแบนขนาด 29 นิ้ว มีเครื่องเล่น ดีวีดี ตู้เย็น แอร์คอนดิชั่น โทรศัพท์มือถือ สารพัดสิ่งอำนวยความสะดวกที่คนหนุ่มสาวร่วมยุคสมัยใฝ่หา แต่มันล้วนแลกมาด้วยการเป็นหนี้ระบบผ่อนจ่ายรายเดือนที่ต้องแบกรับไปพร้อมกับความบันเทิงอันฉาบฉวย ข้าพเจ้าใช้ชีวิตในแต่ละวันอยู่กับสิ่งเหล่านี้ พูดคุยพบปะกับวัตถุไร้ชีวิตปราศจากจิตวิญญาณ วิทยุบนรถเมล์โดยสารฉุดข้าพเจ้าจากปรักแห่งความคิดด้วยรายงานข่าวเกี่ยวกับจันทรุปราคาที่จะเกิดขึ้นในค่ำวันนี้ เราจะสามารถมองเห็นเงามืดบนดวงจันทร์ได้อย่างชัดเจนเนื่องจากท้องฟ้าจะปลอดโปร่งไม่มีกลุ่มเมฆฝนบดบัง จบรายงานข่าวสั้นผู้จัดรายการเปิดเพลง เดือนเพ็ญ คล้ายจงใจให้เข้ากับสถานการณ์ ข้าพเจ้าหัวเราะเบาๆ บนความรู้สึกอันบอกไม่ถูก เหมือนความขัดแย้งบางอย่างกำลังโหมกระพืออยู่ภายใน ผู้คนบนรถเมล์ไม่มีใครแสดงท่าทีสนใจต่อข่าวที่เพิ่งผ่านหูไป ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าพวกเขาได้ยินมันหรือเปล่า แม้แต่บทเพลงขับขานถึงจิตวิญญาณแห่งท้องทุ่งที่กำลังบรรเลงอยู่นี้ พวกเขาก็อาจไม่ใส่ใจจะสดับรับฟัง ความเหนื่อยหน่ายง่วงเหงาจึงยิ้มร่าขณะอุ้งเท้าของมันกดหัวพวกเขาให้จมลึกลงไปในวังวนแห่งชีวิตประจำวัน ความคิดของข้าพเจ้าหวนกลับสู่อดีตกาลอีกครั้งหนึ่งในร่องลึกรอยเกวียนแห่งปฐมวัย คืนที่ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติเกิดขึ้นท่ามกลางการโอบล้อมของเงื้อมเงาแห่งขุนเขา ข้าพเจ้าถูกปลุกจากที่นอนโดยยายและตาซึ่งใบหน้าเปื้อนอาการตื่นตระหนก อุ้งมืออันสากแข็งฉุดข้าพเจ้าออกมายืนงงงวยบนลานดินหน้าบ้าน เสียงปืนดังขึ้นฟ้า ต่อกันไกลออกไปเป็นทอดๆ เอ้า! ยายยัดท่อนไม้ขนาดเท่าลำอ้อยใส่มือข้าพเจ้า ไปช่วยกันเคาะต้นไม้มันจะได้ออกลูกดกๆ จะได้มีกินกันไม่อด ก่อนที่ข้าพเจ้าจะทันเอ่ยปากถามอะไร ยายก็วิ่งลอดใต้ถุนไปทางสวนหลังบ้าน เสียงเคาะโป้กๆ ดังระงมมาจากรอบทิศทางทั้งใกล้ไกล ข้าพเจ้ารีบวิ่งตามหลังยายไปด้วยนึกสนุก ไล่เคาะไปหมดทุกต้นไม่ว่ามะพร้าว มะกรูด มะนาว น้อยหน่า จนหวิดโดนลูกมะตูมหล่นใส่หัว เคาะต้นอะไรก็จะตะโกนบอกมันด้วยว่า กบกินเดือนอย่าตื่น ตกใจ ขอให้ออกลูกดกๆ กว่าจะวิ่งเคาะกันครบทุกต้นเล่นเอาทุกคนเหนื่อยหอบกันไปเลย เสร็จแล้วยายกับตาพากันมายืนดูดวงจันทร์ที่ลานบ้าน เริ่มคายแล้ว ตาว่า ขณะแหงนหน้ามองค้างอยู่ อือ คงกินอิ่มแล้ว ยายอมยิ้ม เกิดอะไรขึ้น? ข้าพเจ้ารีบถาม นั่นล่ะ กบกินเดือน ยายชี้มือไปที่ดวงจันทร์ซึ่งมีเงามืดทาบทับอยู่เกือบมิดทั้งดวง มันกินอิ่มแล้ว ตอนนี้กำลังค่อยๆ คายออกมา ยายบอกว่า ที่ดวงจันทร์แหว่งไปก็เพราะโดนกบมันกิน กบมันอยู่บนท้องฟ้านั่นตั้งแต่ครั้งที่น้ำท่วมฟ้าเมื่อนานมาแล้ว และที่เราต้องเคาะต้นไม้ก็เพื่อไม่ให้พวกมันตกอกตกใจจนพากันไม่ออกดอกออกผล ข้าพเจ้าได้คำอธิบายเพียงเท่านั้น มันเป็นคำอธิบายซึ่งตกทอดมาจากปากของยายทวดมาอยู่ที่ปากของยาย รอวันถ่ายทอดไปยังปากของคนรุ่นลูกรุ่นหลาน ตากับยายไม่รู้หรอกว่าความเชื่อนี้จะตายไปพร้อมกับอายุขัยของท่าน เพราะลูกหลานได้ถูกโรงเรียนสอนให้เชื่ออีกอย่างหนึ่ง เป็นความเชื่อใหม่ที่เดินทางมาไกลจากโลกฟากตะวันตก เป็นความเชื่อที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตของคนรุ่นหลังให้เป็นไปในแบบที่ท่านไม่อาจจะคิดฝันถึงได้ ข้าพเจ้าเองก็ละทิ้งความเชื่อของตายายเพื่อพันธนาการตัวเองไว้กับตำราของตะวันตก แม้ว่าทั้งสองความเชื่อนี้จะยังคงเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่เคยได้เห็นความจริงด้วยตาตัวเองเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพลงเดือนเพ็ญจบลงพร้อมๆ กับรถเมล์ได้สัญญาณไฟเขียวให้ขยับเคลื่อนที่ไปข้างหน้า บางคนบนรถยกหน้าขึ้นมามองแว่บหนึ่งเพื่อให้แน่ใจว่ารถขยับได้แล้ว ก่อนจะซุกซ่อนตัวเองลงสู่หลืบลับส่วนตัวอีกครั้ง บางคนยังคงแน่นิ่งไม่ไหวติงอาศัยเปลือกตาอันหนักอึ้งเป็นม่านกำบัง ข้าพเจ้าไม่ได้รู้สึกเพียงว่ากำลังมองดูคนผู้เหนื่อยหน่ายแต่กลับรู้สึกลึกลงไปในความเจ็บป่วยของจิตวิญญาณแห่งพวกเขา โดยเฉพาะของข้าพเจ้าเองนั้นหากมีปีกมันคงโบยบินไปสู่ขอบฟ้าอันแสนไกลและไม่ย้อนกลับมาอีกเลย ข้าพเจ้าพาร่างกายอันทรุดโทรมมาถึงที่ทำงานในเวลาที่สายกว่าเวลาเข้างานปกติเล็กน้อย ตะเกียกตะกายเดินขึ้นบันไดตรงไปยังโต๊ะทำงาน มันอ้าแขนต้อนรับด้วยรอยยิ้มแฝงเลศนัยแห่งการเยาะหยัน ราวต้องการจะบอกว่ามันกับข้าพเจ้าไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างกันเลย เราทั้งคู่ต่างก็เป็นเครื่องมือของทุนนิยม เป็นเครื่องมือสร้างรายได้แก่นายทุนผู้บูชาอำนาจแห่งเงินตราและวัตถุ ที่ๆ เราอยู่ก็ไม่ต่างอะไรจากก้นบึ้งของหลุม พรางที่ปกปิดปากหลุมเอาไว้ด้วยค่าตอบแทนอันเย้ายวน ข้าพเจ้าทิ้งตัวนั่งลงที่โต๊ะทำงาน เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ และลงมือเคาะแป้นพิมพ์... รถยนต์โดยสารปรับอากาศขยับหลุดพ้นจากเขตเมืองหลวงทะยานไปบนถนนโล่งกว้างที่ทอดยาวสู่จุดหมายแสนไกลเบื้องหน้า จุดหมายปลายทางอันเป็นเสมือนจุดเริ่มต้นสำหรับข้าพเจ้า มันคือ บ้าน บ้านที่ไม่ได้มีความหมายเพียงเป็นที่อยู่อาศัย แต่หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต เป็นที่พำนักอันแท้จริงของจิตวิญญาณที่ถูกหล่อเลี้ยงมาด้วยวิถีชีวิตและจิตวิญญาณของคนรุ่นปู่ย่าตายาย แม้การกลับบ้านครั้งนี้จะเป็นการกลับไปแบบชั่วคราว แต่ข้าพเจ้าก็ยังหวังอย่างเต็มเปี่ยมว่าวันหนึ่งข้างหน้าจะได้กลับไปใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ที่นั่นอย่างถาวร ข้าพเจ้าปิดเปลือกตาลงสูดหายใจลึกยาว...แทบจะได้กลิ่นดิน กลิ่นหญ้าแทรกซึมเข้ามากับไอเย็นของเครื่องปรับอากาศ
23 พฤศจิกายน 2549 14:46 น. - comment id 93885
ทุกๆคนคงทยอยตามกันไป.... แล้วไปพบกันที่ดินแดนนั้น....... ทุกๆตัวอักษรให้อารมณ์พร้อมความรู้ สึกร่วมกับผู้เขียน....ด้วยใจจริง
23 พฤศจิกายน 2549 15:05 น. - comment id 93886
อืม...อ่านแล้วใจหวิวๆไงไม่รู้นะ...เหมือนอยากจะย้อนเวลา...กลับไปเป็นเด็กเหมือนก่อน...ใครจะรู้ว่าอนาคตเราต้องอยู่ห่างไกลจากบ้านเกิดขนาดนี้...ขนาดเราเที่ยวบอกใครต่อใครว่าจะไม่มีวันเข้ากรุงเทพฯเด็ดขาด...แต่ก็เหมือนโดนใครบางคนจับมาวางแหมะไว้ซะอย่างงั้น...เราก็ได้แต่หวังว่าปลายทางของเราก็คงจะไปสิ้นสุดในที่ๆเราจากมาเหมือนกัน
23 พฤศจิกายน 2549 15:05 น. - comment id 93887
คุณเขียนได้ประทับใจในความคิดและความอ่าน ขอให้คุณ พื้นแผ่นดินไทยและพ่อกับแม่ให้มากๆ ดีใจ
7 ธันวาคม 2549 16:48 น. - comment id 94151
%41 เรื่องนี้ยิ่ง เหลือรับทานเลยนะนี่นะ อ่านดีก่าเรื่องคุนสมบัติอีก นายพัฒนาไปไกลละ พยายามเข้า แมวอาจผ่านมาทางนี้นะ yuiu
8 มกราคม 2550 08:49 น. - comment id 94620
อ่านด้วยความประทับใจ เขียนได้ดีมากค่ะ