ฟาด..ฟืด..แฮ่กแฮ่ก นี่ไม่ใช่เสียงโฆษณาลูกอมเย็นซ่าชุ่มคอยี่ห้อดัง หรือโฆษณาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสเผ็ดจี๊ดจ๊าดแซ่บลิ้นแต่อย่างใด หากแต่คือเสียงลมปากดัง แฮ่ก แฮ่ก.. ผสานลมจมูกดัง ฟืดฟาด.. ฟืดฟาด.. ที่แข่งกันหายใจให้ทันชีพจรที่เต้นระรัว ด้วยร่างกายออกแรงจนเริ่มล้า ลิ้นห้อย ตาลอย น้ำตาริน ขาสั่นพั่บพั่บพั่บ ฟันกัดกันกึกกึกกึก ส่วนลมหายใจก็ยังดัง แฮ่ก..ฟาด..ฟืด..แฮ่กแฮ่ก ที่ผมบรรยายมานั้นไม่ใช่ว่าผมเสียสติ หรือติดเชื้อพิษสุนัขบ้าแต่อย่างใด จริงๆผมแค่เหนื่อย แต่แม้จะเหนื่อย จิตใจผมก็ยังไม่หน่าย หัวใจยังสั่งสองเท้าตะกุยทางขึ้นไป จึงจะว่าผมเหนื่อยหน่ายนั้นมิได้ เพราะผมยังไม่ได้ถอดใจที่จะเดินต่อไปอย่างหลายๆคนที่เริ่มจะทอดตัวแผ่กายตามกองหิน สุมทุมไม้ หรือพุ่มหญ้า ตามแต่ว่าจะถอดใจใกล้กับอะไร สายตาพวกเขาโรยริน ลมหายใจพวกเขารัวระโรย บางคนในนั้นผมรู้จักเป็นอย่างดี แต่อีกหลายคนผมก็ไม่รู้จัก คงไม่แปลกอะไรที่เด็กอายุสิบเจ็ดสิบแปดจากต่างที่ต่างถิ่น ต่างพ่อต่างแม่ และต่างจิตต่างใจ ที่มารวมกันในค่ายฝึก รด.(รักษาดินแดง) นามเขาชนไก่ จะไม่รู้จักกัน ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่รู้จักเด็กโรงเรียนอื่นเท่าไรนัก แม้ว่าเราจะมาอยู่ร่วมกองพันเดียวกันได้ หนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืนแล้วก็ตาม สายตาละห้อยจากเบื้องล่างรายทางที่ทอดมายังผม ราวกับจะบอกว่า “ฝากที่เหลือด้วยนะ ข้ารู้ว่าทางอีกยาวไกล แต่แกต้องทำได้.. อ้อ! บอกเพื่อนๆด้วยว่าข้าได้ยอมแพ้อย่างองอาจเพียงใด” ยอมแพ้มันมีองอาจด้วยเหรอ(วะ).. ผมคิดในใจ ทุกครั้งที่สบกับสายตาพวกนี้ เหมือนบ่าของผมจะแบกรับภาระและความคาดหวังมากขึ้นๆ จนหลายครั้งก็คิดท้อใจอยากจะล้มตัวลงนอน ส่งภาระและความคาดหวังทั้งหมดขึ้นบ่าชาวบ้านแบบสายตาพวกนั้นบ้าง แต่ทิฐิในใจก็คอยปฏิเสธความคิดเห็นแก่ตัวนั้นอยู่ตลอดเวลา ทิฐิในใจยังส่งเสียงให้ผมได้ฮึดสู้ ดัง บรึ๋ย บรึ๋ย บรึ๋ย.. เอี้ย! “เอ้า! เสียงดังหน่อย” ครูฝึกตะโกนสั่ง นศท.(นักศึกษาวิชาทหาร) ที่นอนหมอบคลุกฝุ่นหน้าดำกลางแดดเปรี้ยง “บรึ๋ย บรึ๋ย บรึ๋ย เอี้ย!” พวกผมขานรับคำสั่งพร้อมเพรียง หลังจากโดนสั่งยึดพื้น(วิดพื้น)เสียหลายสิบยก จนไม่มีใครกล้าแผดเสียงแตกกลุ่มออกมาอีก หรือไม่ก็อาจจะหมดแรงออกเสียงไปแล้ว แม้จะ“อยาก”แหวดเสียงเอ่กโค่กวนบาทาครูฝึก และสหบาทาเพื่อนทั้งกองพันก็ตาม อันคำว่า “บรึ๋ย”นี่ เป็นเสียงแสดงอารมณ์ว่า ไม่ไหว ไม่ดี ไม่ได้เรื่อง ซึ่งครูฝึกได้นำมาตั้งชื่อเป็นสิริมงคลแก่กองพันของเรา เพื่อจะบอกกลายๆว่าพวกผมเป็นอย่างไรในสายตาของพวกครูฝึก ส่วนคำว่า “เอี้ย”นี่ เป็นคำสบถที่แผลงเสียงมา ผมคงไม่ต้องบอกว่ามันเอาเสียง “ห. หีบ”ออก ทุกคนก็คงเข้าใจ แต่ถ้ายังไม่เข้าใจผมก็จะเฉลยว่าคำนี้เป็นคำที่เอาเสียง “ห. หีบ” ออกไปนั่นเอง “วันนี้ ขึ้นเขา” คำสั่งเรียบง่าย ต่างจากทางเดินขึ้นเขาที่ว่ามากมายมหาศาล “ข้างบนสวยมาก เชื่อผม” จบคำสั่ง เหมือนจะช่วยสร้างแรงจูงใจ แต่.. แต่ไม่มีส่วนใดบ่งบอกเลยว่าทางขึ้นเขาเป็นหินกรวดเล็กใหญ่มากมายเกลื่อนก่ายไล่ระดับทั้งคมทั้งลื่นทั้งชัน ตลอดทางไม่มีร่มไม้ใบหญ้าใดให้หวังพักพิง และคำว่าวันนี้ไม่ได้บ่งบอกเลยว่าเป็นเวลาเที่ยงแดดเปรี้ยงกลางกระหม่อม คำว่า“สวยมาก เชื่อผม”เลยยิ่งไม่น่าเชื่อเข้าไปใหญ่ และถึงจะจริงตามที่ว่า มันก็คงไม่ใช่เหตุปัจจัยสำคัญแล้ว เพราะสิ่งที่พยุงขาที่เปียกโชกด้วยเหงื่อกาฬจากทั้งร่างกายที่ไหลหลั่งลงมาเป็นทางอยู่ในขณะนี้ เป็นเพียงจิตใจที่พร่ำบอกตัวเองว่า “กูทำได้ กูทำได้ บรึ๋ย เอี้ย!” ไม่ใช่ทัศนียภาพงดงามใดๆที่ครูฝึกพยายามเอามาสร้างแรงจูงใจ ซึ่งก็ได้พิสูจน์แล้วว่าไม่สำเร็จแต่อย่างใดกับหลายๆคน ที่ขณะนี้เริ่มส่งสายตาฝากฝังชาวบ้านกันแล้ว ผมปีนมา ป่ายมา ดั้นมา ด้นมา ลงเขาลูกนี้ ข้ามเขาลูกนั้น หลายครั้งเหนื่อยแทบปิดตา หลายคราหวิดจะถอดใจ เดินบ้าง หยุดบ้าง สะดุดบ้าง แต่ไม่ถอยบ้าง เพราะทุกก้าวที่ส่งไปข้างหน้าเท่ากับว่าจุดหมายร่นระยะลงอีกก้าวแล้ว จากเที่ยงล่วงมาบ่ายแก่ๆ ผมยันตัวนอนแผ่หลาหมดแรง ส่งสายตาให้เพื่อน ไม่ใช่สายตาฝากฝังอย่างใครๆ หากเป็นแต่คำกู่ร้อง ดังก้อง “พวกเราทำได้แล้ว พวกเราทำได้แล้ว”ต่างหาก มองทิวทัศน์เบื้องหน้าที่ครูฝึกว่าสวยนักหนา ผมได้แต่อึ้งน้ำตาไหล และครางออกมาเบาๆ “เอี้ย..บรึ๋ย”
18 พฤศจิกายน 2549 09:17 น. - comment id 93743
ครูฝึกพยายามให้กำลังใจ .. โดยบอกว่า จุดหมายปลายทางที่จะพบ น่าภิรมย์เพียงใด .. แม้มันจะไม่จริงก็ตาม .. เก่งนะที่เอาชนะใจตัวเอง .. ก้าวต่อไปข้างหน้าแม้เหนื่อยแทบขาดใจ แม้จะไม่อยากชนะแล้วก็ตาม .. ที่เก่งกว่านั้นก็คือ .. แม้รู้ว่าจุดหมายปลายทางข้างหน้า .. จะ เอี้ย..บรึ๋ย แต่ก็ยังพยายามไปให้ถึงจนได้แม้ไม่อยากไป .. บอกได้คำเดียวว่า .. เอี้ย..บรึ๋ย เอ๊ยยยย .. เจ๋งๆ ..