คุณจะไม่มีวันเดินเดียวดาย
พัฒนา สุดยาใจ
เขาลืมผมไปแล้ว เขาทอดทิ้งผม คำพูดที่ว่า คุณจะไม่มีวันเดินเดียวดาย หรือภาษาอังกฤษว่า ยูวิลล์เนฟเวอร์วอล์คอะโลน กลายเป็นเพียงคำพูดลอย ๆ ที่มาจากลมปากเท่านั้นเพราะเขาผิดสัญญา แต่ผมก็ทำได้เพียงแค่คร่ำครวญอยู่ในบ้านไม้อันคับแคบเพียงลำพังทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนผมกับเขาจะไปเที่ยวกันเป็นประจำแต่มาบัดนี้ทุกอย่างคืออดีต อดีตที่ยากจะกลับคืน เขาไม่เคยแวะเวียนมาหาผมอีกเลย
คำพูดอันสวยหรูนี้มาจากบทเพลงของเจอร์รี่ มาสเดนส์เป็นผู้ขับขานถ้าใครเป็นแฟนบอลลิเวอร์พูลต้องรู้จักคำพูดนี้ สโมสรฟุตบอลเสื้อสีแดงมีตราสัญลักษณ์เป็นหงส์อันมีแฟนบอลทั่วโลกไม่เว้นแม้กระทั่งเมืองไทย ผมกับสุภาเป็นเพื่อนนักเรียนตั้งแต่อยู่ชั้นมัธยม ด้วยความรู้สึกนึกคิด อุดมการณ์ และความชอบคล้าย ๆ กันเราจึงชอบทีมฟุตบอลทีมเดียวกัน
นับเป็นความโชคดีของผม ผมตอบปัญหาชิงรางวัลได้ตั๋วเข้าชมเกมศึกแดงเดือดสองใบ เป็นเรื่องที่แน่นอนว่าผมต้องเผื่อตั๋วอีกใบให้เขา
สายการบินไทยได้มีโอกาสต้อนรับเราสองคนกับคนอีกกลุ่มหนึ่งเหินลัดฟ้าสู่สนามแอนฟิลด์ในเมืองลิเวอร์พูล
เก้าอี้สีแดงระดับวีไอพีได้มีโอกาสต้อนรับเราสองคนท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บแม้ว่าร่างกายของพวกเราจะถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อกันหนาวหลายชั้นแต่มันก็ไม่เพียงพอต่อความอบอุ่นของร่างกาย แต่ทุกอย่างก็ถูกแทนที่ด้วยความตื่นตาตื่นใจของเกมนี้ รอบอัฒจันทร์คลาคล่ำไปด้วยคลื่นพลังสีแดงด้วยเหตุที่ทั้งสองทีมมีสีประจำสโมสรเป็นสีแดงเหมือนกัน เสียงร้องเพลงเชียร์เซ็งแซ่ทั้งสองฝั่ง ต่างฝ่ายต่างร้องเพลงเกทับกันตามประสาเป็นทีมคู่อริกันตลอดกาล
แต่เกมในวันนั้นลิเวอร์พูลพ่ายแพ้ปีศาจแดงหนึ่งประตูต่อสาม แต่เพราะการพ่ายแพ้เกมนี้เองที่ทำให้ผมกับเขาสนิทสนมแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นเพราะเราร่วมเศร้าด้วยกัน และชวนกันไปกระดกน้ำมึนเมาสีน้ำตาลแดงด้วยกัน
ครั้งหลังสุดเขาชวนผมไปเที่ยวดอยผ้าห่มปกที่จังหวัดเชียงใหม่ รถกระบะโตโยต้าไทเกอร์สีตะกั่วมีหลังคาโครงเหล็กสีดำขลับคือรถคู่ชีพของเขาขับพาผมไป เริ่มต้นออกเดินทางในเวลาสองทุ่ม
บนถนนสายพหลโยธินขาเข้ารังสิตนั้นคลาคล่ำไปด้วยวัตถุเคลื่อนที่สี่ล้อและหกล้อเรียงกันเป็นแพ สุภาดูจะหงุดหงิดกับสภาพการจราจรติดขัดทั้ง ๆ ที่ก่อนออกเดินทางก็ทำใจไว้แล้ว เขาทำได้เพียงแค่เอามือก่ายหน้าผากพลางถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายและหงุดหงิดเมื่อรถยนต์ทุกคันจอดชะงัก
การจราจรเริ่มคล่องตัวขึ้นหลังเที่ยงคืนไปแล้ว กลายเป็นเรื่องปกติที่สถานีบริการน้ำมันเต็มไปด้วยฝูงวัตถุขับเคลื่อนสี่ล้อ หกล้อ และสิบล้ออย่างมืดฟ้ามัวดิน
ผมเห็นใจที่เขาต้องทนฝืนขับรถตลอดคืนโดยมิได้หยุดพักเลย ผมพยายามพูดคุยเป็นเพื่อนตลอดทั้งคืนแต่สังขารของผมก็ทนไม่ไหวจึงผล็อยหลับไปไม่รู้ตัวและตื่นนอนอีกครั้งเมื่อรถกระบะอยู่ที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งในตัวเมืองเชียงใหม่
เส้นทางนี้ยังอีกยาวไกลนักหากนับจากจุดเริ่มต้นที่ตัวเมืองนี้ ระยะทางอีกร้อยกว่ากิโลเมตรอาจมิใช่อุปสรรคถ้าคนขับไม่ลอบหลับไปเสียก่อน ผมขอให้เขานอนพักผ่อนแต่เขาดึงดันว่าจะขับต่อไป ผมก็ไม่อาจห้ามเขาได้ จากตัวเมืองก็เป็นแม่ริม แม่แตง เชียงดาว และฝาง
ขณะที่เขาขับอยู่ในตัวอำเภอฝาง ด้วยประสบการณ์ในการขับรถของเขา เขารู้สึกถึงความผิดปกติของรถ เขาจึงประคับประคองรถจอดตรงไหล่ทางและรีบลงจากรถมาดูอาการล้อรถและก็พบว่าล้อหน้าฝั่งผมเกิดรั่วโดยไม่มีสาเหตุ ยางล้อรถแบนแต๋อย่างเห็นได้ชัด แต่เจ้าของรถยังคงวางมาดนิ่ง
ผมเป็นลูกมือช่วยหยิบอุปกรณ์เมื่อเขาต้องการ ด้วยความชำนาญเขาเปลี่ยนยางล้อได้อย่างรวดเร็วมันแสดงให้เห็นถึงความพร้อมต่อการเผชิญหน้ากับอุปสรรคต่าง ๆ ผมรู้แต่เพียงว่าเราต่างคนจะไม่ทอดทิ้งกัน
จากปากทางเข้าเขตถึงปลายทางมีระยะทางกว่าห้าสิบกิโลเมตร ถนนที่อุดมไปด้วยโขดหินและดินลูกรังสีแดง บางจุดก็เป็นหลุมเป็นหล่มอีกทั้งเส้นทางก็คดเคี้ยวไปตามแนวสันเขาและยังต้องขับรถไต่ระดับขึ้นไปชวนให้หวาดเสียวยิ่งนัก แต่สำหรับนักขับรถที่ช่ำชองดังเช่นสุภานั้นถือเป็นเรื่องง่าย เขาไม่รู้สึกปริวิตกอันใดเลย สมาธิในการขับรถของเขายังยอดเยี่ยมอยู่เสมอ เพราะคนขับคือสุภาจึงทำให้ผมอุ่นใจได้
รถของเขามาถึงที่บ้านพักเอเฟรมซึ่งตั้งอยู่ใกล้เส้นทางสู่ยอดดอยในเวลาเที่ยงวัน ผมรู้สึกชอบใจกับหลังคาของบ้านสีน้ำตาลแดงซึ่งกางปีกสยายยาวลงครอบตัวบ้านครึ่งหนึ่ง ที่จั่วบ้านมีขื่อไม้กั้นขวางเป็นแนวยาวจึงมองดูเป็นรูปตัวเอ
พรุ่งนี้เราจะขึ้นดอยผ้าห่มปกกัน เขาบอกผม
เราสองคนออกเดินทางในเวลาเช้าตรู่ ต่างคนต่างขนสัมภาระเท่าที่จำเป็นอย่างน้อยมีข้าวห่อคนละถุง เขาพร้อมผมก็พร้อมและออกยาตราสู่ดอยซึ่งสูงเป็นอันดับสองของประเทศรองจากดอยอินทนนท์
ทางเดินช่วงแรกยังไม่พบว่าโหดเท่าใดนัก ผมกับเขาเดินพูดคุยกันอย่างสบายใจ ดอกมะลิวัลย์สีขาวบานสะพรั่งอยู่เต็มสองข้างทาง เพราะสภาพอากาศอันหนาวเย็นส่งผลให้ต้นไม้บางต้นมีพืชสีเขียวคลุมเต็มต้นคล้ายต้นไม้สวมเสื้อผ้า บรรดานกกระจิ๊ดและนกจับแมลงส่งเสียงดังระงมและมันเคลื่อนไหวจากกิ่งไม้หนึ่งไปยังอีกกิ่งหนึ่งอย่างคล่องแคล่ว เราเดินไปตลอดทางโดยไม่หยุดพักเลยจวบจนกระทั่งเราทั้งสองคนมาถึงที่ลำธาร เบื้องหน้าของเราคือหน้าผาอันสูงชันตั้งตระหง่านที่พร้อมรับคำท้าทายจากเราสองคนในการปีนป่ายขึ้นไปให้จงได้ หน้าผาทางฝั่งขวามือเป็นแนวกันไฟซึ่งยังมีกลิ่นควันคุกรุ่นอยู่ เพียงเท่านี้ก็ทำให้ผมประหวั่นพรั่นพรึงเสียแล้ว
เฮ้ย! คิม เดี๋ยวต้องปีนขึ้นไป สุภาพูดห้วน ๆ
ไม่อยากขึ้นเลยว่ะ
เอาน่า...ไม่ยากหรอก กูเคยปีนขึ้นไปแล้ว
ฉับพลันเขาหยิบไม้ยาวที่วางอยู่ข้างทางจากนั้นเอามีดพกควั่นไม้และเหลาให้ปลายแหลม
เอ้า! เอาไว้ค้ำ
แล้วมึงล่ะ
โอ๊ย! หน้าผาแค่นี้ไม่เกินกำลังกูหรอก
เขาเดินนำหน้า ผมพยายามตั้งสติอย่างเต็มที่ พื้นดินโคลนมีเศษหญ้าปะปนทำให้มีโอกาสลื่นไถลได้ฉะนั้นการปีนป่ายขึ้นไปจึงยากลำบาก เส้นทางด้านหน้าคือเนินดินอันสูงชันที่ปราศจากแนวขั้นบันได จังหวะเดินขึ้นแต่ละก้าวก็ต้องใช้ไม้ค้ำพื้นไปตลอดทางผิดกับเขาที่เดินขึ้นเหมือนเดินอยู่บนทางเรียบ ผมพยายามหาต้นไม้ที่อยู่ข้างทางเพื่อใช้เป็นที่ยึดเกาะหรืออย่างน้อยมีต้นไม้เตี้ยก็ยังดีกว่าไม่มี จนในที่สุดเราเดินมาถึงสามในสี่ของยอดดอย ทางข้างหน้าก็ยังคงเป็นทางวิบากเมื่อเราต้องเดินเลาะริมหน้าผาซึ่งเกือบตั้งฉากกับพื้นดินมีเพียงรอยทางเดินเท้าเท่านั้นและไม่มีราวจับยึดเกาะมันไม่มีทางเลือกที่ต่างคนต้องเดินอย่างระมัดระวังกันเองไม่สามารถจับมือจูงกันได้
ค่อย ๆ เดิน ไม่มีอะไรน่ากลัว เขาให้กำลังใจ ผมพยายามเดินโดยไม่เหลียวมองเหวที่อยู่ทางซ้ายมือ ยิ่งเดินย่ำผ่านก็ยิ่งทำให้ดินที่พื้นแตกกระจายมากเท่านั้นเป็นเรื่องที่น่าหวาดหวั่นว่าขากลับอาจเดินยากกว่า
เส้นทางที่เหลือก็ไม่ยากเย็นสักเท่าไรมีขึ้นเนินบ้าง มีพุ่มหญ้ารกสูงท่วมหัว เราสองคนมาถึงยอดดอยในเวลาเที่ยงกว่า บนยอดดอยนั้นเป็นท้องทุ่งหญ้าอันเขียวขจีมีต้นไม้ให้เห็นกันหร็อมแหรม อากาศช่างน่าอภิรมย์ยิ่งนัก ดอกกุหลาบพันปีดอกใหญ่สีแดงสดบานแรกแย้มเสมือนต้อนรับการเยือนของเรา ผมกับเขาถือโอกาสนั่งกินข้าวกลางวันกัน การมาถึงยอดดอยได้สำเร็จก็ถือเป็นความภาคภูมิใจครั้งหนึ่งในชีวิต มองทอดสายตาไกลออกไปโดยรอบก็จะเห็นแนวทิวเขาน้อยใหญ่โอบผืนนา เขาบางลูกกลายเป็นแปลงผัก บางลูกก็เป็นผืนนาข้าว นกอินทรีสีน้ำตาลออกคล้ำกางปีกบินตัดท้องฟ้าอย่างสง่าผ่าเผย
เมื่อถึงเวลาบ่ายสามโมง เราสองคนต้องรีบเดินลงเพราะหากลงเขาช้ามากเท่าไรก็จะยิ่งลำบากในการเดินลงมากเท่านั้น
เร็วเถอะ รีบลงเดี๋ยวแสงแดดหมดจะลงไม่ได้
เขาเดินนำหน้าผม เขายังคงดูทะมัดทะแมงและเดินได้อย่างคล่องแคล่ว จุดที่ผมต้องตั้งสติเวลาเดินนั่นคือจุดที่ต้องเดินเลาะริมหน้าผาแต่เพลานี้อาจเดินลำบากกว่าตอนแรกที่เดินเข้ามาเพราะเราสองคนเดินย่ำกันมาก่อน ทำให้พื้นดินร่วนซุยกว่าเดิม ที่สำคัญไม่มีราวเกาะ ด้านขวามือคือเหวซึ่งหากใครพลั้งพลาดเซถลาลงไปก็จะไม่เหลือชีวิตรอดกลับไป ความประหวั่นพรั่นพรึงทำให้ผมไม่กล้าเดินแต่เขาเดินผ่านหน้าผานั้นอย่างคล่องแคล่วและกำลังจะเดินลง แต่เขาต้องหยุดชะงักเพราะมองเห็นผมไม่กล้าขยับก้าวเท้า
คิม...ค่อย ๆ เดินมาเลยไม่มีอะไรน่ากลัว พยายามโน้มตัวเข้าหาที่หน้าผาอย่าพยายามมองด้านล่าง สุภาตะโกนขณะที่เขายืนพักขาที่โขดหินด้านล่างถัดลงไปแล้ว
ผมกลั้นใจค่อย ๆ เดินเลาะไปเรื่อย ๆ เหงื่อกาฬซึมไปทั่วไหล่และแผ่นหลังทั้ง ๆ ที่อากาศก็ไม่ร้อน แต่เมื่อเดินไปได้พอประมาณผมเริ่มก้าวเท้าอย่างมั่นใจและในที่สุดผมก็สามารถเดินผ่านเส้นทางนั้นได้ ต้องอย่างนี้สิวะ...ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก เขาให้กำลังใจผม นั่นหมายถึงเขาแสดงให้เห็นถึงความห่วงใย
เส้นทางอันตรายสุดท้ายคือช่วงที่ต้องลงจากหน้าผา เคยได้ยินมาว่าการปีนขึ้นง่ายกว่าการลงจากเขาเพราะช่วงเดินลงต้องทรงตัวให้ดีที่สุด เขาให้ผมเดินนำหน้าลงไปก่อนและให้คำแนะนำในการเดินลง
เวลาเดินลงนั้นพยายามวางเท้าเป็นแนวขวางเพื่อให้เกิดแรงเสียดทานจะได้ไม่ลื่นไถลลงไป ไม่ต้องกลัว สุดท้ายแล้ว เดี๋ยวก็ถึง ยังไหวนะ ผมพยักหน้าทั้ง ๆ ที่ขาสั่นไปหมดแล้ว
เขาให้ผมเดินลงไปก่อน
เอ้า ! ค่อย ๆ ลงไม่ต้องกลัว เขาตะโกนอยู่ข้างหลัง ผมยังอุ่นใจเมื่อเขายังยืนอยู่เคียงข้าง คำว่าคุณจะไม่มีวันเดินเดียวดายยังคงดังก้องในโสตประสาทของผม แต่แล้ว...
โอ๊ะ! โอ๊ะ! ช่วยด้วย ด้วยความที่ดินโคลนลื่นส่งผลให้ผมลื่นไถลครูดพื้นดินเป็นรอยเท้าแนวยาว ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! ผมร้องเสียงหลง โชคดีที่เขารีบคว้าแขนผมไว้ได้
เฮ้อ! เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ
ความอกสั่นขวัญแขวนผุดขึ้นมา เฮ้ย! ไหวนะ ทำใจดี ๆ ไว้
เราสองคนลงจากหน้าผาด้วยความสวัสดิภาพราวกับยกภูเขาออกจากอก เราต่างนั่งแช่เท้าที่ลำธารและดื่มน้ำอย่างอ่อนระโหยมันเป็นการผจญภัยที่สนุกสนานและเสี่ยงตายมากที่สุดครั้งหนึ่ง เขาดูจะสนุกสนานกับการขึ้นยอดดอยครั้งนี้มากแต่สำหรับผมแล้วคงเป็นการปีนหน้าผาครั้งสุดท้ายจริง ๆ
เมื่อกลับมาถึงพี่พักเราสองคนช่วยกันทำอาหาร เขาหุงข้าวด้วยหม้อสนามที่เปื้อนไปด้วยรอยเผาไหม้จากการใช้มานานแรมปี ผมทำกับข้าวสองอย่าง ยำปลากระป๋องกับไข่เจียวอาหารก้นครัวสำหรับนักเดินป่า ดังนั้นอาหารเย็นมื้อนั้นเป็นมื้อที่อร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา
มันเป็นค่ำคืนอันหนาวเย็น นาฬิกาวัดอุณหภูมิวัดได้สององศาเซลเซียส สายลมโบกพลิ้วพัดปลิวผ่านทีไรเป็นต้องทำให้ผมเก็บแขนไว้แนบกับตัวทุกที ในไม่ช้าเขานำกิ่งไม้แห้งและเศษไม้มาสุมเพื่อใช้ในการก่อไฟขับไล่ความหนาวเย็น แต่ถึงแม้ว่าอากาศภายนอกจะหนาวเหน็บเพียงใดแต่สำหรับผมกับเขามีความอบอุ่นให้กันเสมอ
เราสองคนจะไม่มีวันเดินเดียวดาย ผมกระเซ้าเขา เขายิ้มอย่างพอใจ
ผมกับสุภามีเวลาท่องเที่ยวอีกสองวันเพราะลางานเพิ่มเติมได้ ฉะนั้นจึงได้แวะไปเที่ยวที่อื่นต่อ
ภา..เอาไง จะไปต่อที่ดอยหมาก-ลางหรือเชียงดาวดี
งั้นเอาเป็นว่าไปดอยหมาก-ลางกันก่อนและค่อยต่อไปเชียงดาวก็แล้วกัน
โอเค ว่าแต่มึงขับรถไหวมั้ย เห็นเมื่อคืนมึงนอนดึก
โอ๊ย ! ไหวน่า กูขับจนชินแล้ว
รถกระบะขับเคลื่อนด้วยความเร็วแปดสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง ออกจากฝางเข้าเขตแม่อาย ดูเหมือนเขาเริ่มสะลึมสะลือจนผมอดเป็นห่วงไม่ได้
กูว่ามึงนอนพักผ่อนเถอะว่ะ ใจผมอยากขับรถแทนเขาแต่ผมขับรถไม่เป็น
ไหวน่า ไหวน่า ไม่เชื่อมือกูหรือไง เมื่อได้ยินเช่นนั้นผมก็ไม่อยากขัดใจเขา
ขณะที่จวนเข้าเขตบ้านท่าตอนนั้นเขายิ่งขับรถเร่งความเร็ว เร็วจนผมอดหวาดผวาไม่ได้
ขอร้องล่ะ มึงขับลดความเร็วหน่อยเถอะวะ
อะไรของมึงวะ กูชักรำคาญแล้วนะเว้ย เขาเริ่มอารมณ์เสีย
เขาเร่งความเร็วขึ้น และเร็วยิ่งขึ้น เข็มหน้าปัดความเร็วแสดงที่หน้าจอว่าหนึ่งร้อยสี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง รถพุ่งฉิวราวติดจรวดเขาเร่งความเร็วเพื่อจะได้ถึงที่หมายเร็วขึ้น ผมเริ่มอกสั่นขวัญแขวนเพราะเขาไม่ยอมลดความเร็วลงเลย รถกระบะขับมาถึงบริเวณสี่แยก ฉับพลันนั้นผู้หญิงวัยรุ่นสองคนขับรถจักรยานยนต์ตัดหน้า เขาสะดุ้งโหยง ผู้หญิงทั้งสองคนก็ตกใจไม่แพ้เราสองคนเช่นกัน เขาพยายามแตะเบรกดังเท่าที่จะทำได้
เฮ้ย ! เฮ้ย ! ผมโวยวายลั่น
เมื่อมารู้สึกตัวอีกทีก็พบว่านอนอยู่บนม้านั่งไม้ยาวของศาลาพักร้อนซึ่งตั้งอยู่หัวมุมสี่แยกที่แท้ผมฝันไป มันเป็นฝันร้ายครั้งหนึ่ง ผมแปลกใจที่มานอนอยู่ที่นี่และก็ไม่พบสุภาแม้แต่รถกระบะของเขาก็ไม่อยู่ ผมสันนิษฐานว่ายางล้อรถของเขาอาจมีปัญหาซึ่งคงนำไปเข้าอู่ซ่อมที่ไหนสักแห่ง ผมคงต้องนั่งรอเขาอยู่ที่ศาลาแห่งนี้และเป็นที่น่าสังเกตว่าไม่มีใครเดินสัญจรผ่านแถวนี้เลย
ผมนั่งรอที่ศาลาพักร้อนด้วยความอดทนโดยหวังว่าเขาจะกลับมารับผม แต่เป็นเพราะต้องนั่งรอเป็นเวลาหลายชั่วโมงทำให้เกิดความหงุดหงิด เริ่มเห็นชาวบ้านเดินผ่านมาแต่ผมก็ไม่คิดจะเดินไปถามว่าเห็นรถกระบะโตโยต้าไทเกอร์คันสีตะกั่วมีหลังคาสีดำบ้างหรือไม่ ผมยังมองโลกในแง่ดีว่าอีกไม่ช้าเขาต้องกลับมา
ดวงตะวันคล้อยตัวลงจนลับจากแนวทิวเขา ยามรัตติกาลคืบคลานเข้ามาแทนที่ ผมนั่งรอด้วยความอดทน เริ่มวิตกกังวลถึงงานที่ยังต้องสะสางให้เสร็จ อีกสามวันข้างหน้ามีประชุมของแผนกการตลาดรวมถึงอาทิตย์ต่อไปผมมีนัดเจรจากับลูกค้าที่มาสั่งซื้อสินค้าล็อตใหญ่ ถ้าพรุ่งนี้เขาไม่มาเห็นทีผมอาจต้องอาศัยรถสองแถวหรืออย่างน้อยรถสิบล้อสักคันที่หลงผ่านมาเพื่อออกไปให้พ้นบริเวณนี้
ในค่ำคืนอันวิเวกวังเวงไร้เสียงรถยนต์และผู้คนเว้นแต่เสียงนกแสกร้องเป็นจังหวะ ต้นไผ่เอนไหวตามแรงลม เสียงไม้เสียดสีกันดังเอี๊ยดอ๊าดให้ได้ยินเป็นระยะ ผมนอนขดตัวด้วยความหนาวเหน็บที่ศาลาริมทางแห่งนี้ หยาดน้ำค้างโปรยเป็นสาย เขาไปไหนนะทำไมไม่มาเสียที ผมทำได้เพียงแค่บ่นรำพันด้วยความสิ้นหวัง
ในเช้าวันใหม่ ผมจำเป็นต้องถามชาวบ้านละแวกนั้น แต่เมื่อผมเดินไปถามก็ไม่มีใครสนใจที่จะตอบผมเลยว่าเคยเห็นรถกระบะคันสีตะกั่วบ้างหรือไม่
ผมนึกโกรธเขาขึ้นมาเพราะเหตุใดจึงทิ้งผมให้อยู่คนเดียวแบบนี้ ผมไม่อยากเชื่อว่าเขาคือคนเดียวกับที่เคยช่วยเหลือผมเมื่อครั้งลงจากหน้าผา เคยไปดูบอลที่อังกฤษด้วยกัน เคยสาบานกันว่าจะไม่ทอดทิ้งกันเพราะความที่เราเป็นเดอะค็อปเหมือนกัน คุณจะไม่มีวันเดินเดียวดาย ยูวิลล์เนฟเวอร์วอล์คอะโลน คำพูดนี้ยังก้องอยู่ในโสตประสาทผมตลอดเวลา แต่บัดนี้เขากำลังจะลืมคำพูดนี้
ผมรอแล้วรอเล่า รอให้เขาขับรถกลับมารับผมแต่ก็ไม่มีวี่แววเลย ความหนาวเหน็บ ความหิวโหยด้วยเหตุที่ไม่ได้กินข้าวมาหลายวันแล้ว ผมเดินตระเวนหาซื้ออาหารมาประทังชีวิตแต่เมื่อผมค้นหากระเป๋าเงินก็พบว่ากระเป๋าเงินหายไปแล้ว ทำไมถึงได้โชคร้ายอย่างนี้ ผมได้แต่ตัดพ้อต่อโชคชะตา
แต่เมื่อเดินไปตามริมถนนเรื่อย ๆ ก็พบบ้านหลังหนึ่งซึ่งมีอาหารชั้นดีตั้งวางเรียงราย ผมหันรีหันขวางดูจนแน่ใจแล้วว่าไม่น่าจะมีคนอยู่ ถ้าเข้าไปหยิบกินบ้างคงไม่เป็นไร เมื่อกำลังจะหยิบกินก็มีชายคนหนึ่งอยู่ในชุดสูทพระราชทานเหมือนพวกเจ้าคุณปรากฏกายขึ้นมองอย่างถมึงทึง
เอ็งจะมากินข้าวของข้าไม่ได้ เสียงนั้นดังก้องกังวานทำเอาผมตกใจ
ขอเถอะครับ ผมไม่ได้กินข้าวมาหลายวัน
อาหารพวกนี้เป็นของคนใจบุญนำมาให้ข้า เอ็งไม่มีสิทธิ์แตะต้อง
แต่ผมหิวจนทนไม่ไหวแล้วครับ
เอ็งไปให้พ้น ข้าไม่ต้อนรับ ชายผู้นั้นขับไล่ไสส่งอย่างไม่ใยดี ผมได้แต่เดินวนเวียนพลางกุมท้องเพราะความหิวโหย ผมต้องทนกับความหิวโหยอยู่หลายวันและเที่ยวไปขออาหารจากชาวบ้าน บางคนก็ไม่สนใจแต่บางคนก็รู้สึกหวาดกลัวเมื่อเจอผม
แต่ไม่นานต่อมาก็มีคนมาสร้างบ้านไม้ขึ้นในบริเวณนั้น ลางสังหรณ์บอกผมว่านี่คือเรือนตายของผม พวกเขาสร้างให้ผมอยู่ ผมก้าวเท้าเข้าบ้านด้วยความมั่นใจ ภายในบ้านมีกลิ่นหอมอบอวลไปด้วยดอกมะลิและดอกรัก และในเวลาต่อมาก็มีคนใจบุญนำอาหารมาให้ผม บางครั้งก็มีดอกไม้สดมามอบให้เป็นกำลังใจอาจเป็นเพราะพวกเขาสงสารถึงแม้ว่าผมกล่าวคำขอบคุณแต่พวกเขาก็ไม่เคยตอบรับคำขอบคุณของผมเลย
ผมอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้เป็นเวลาหลายปี ผมเชื่อแล้วว่าเขาลืมผมไปแล้ว เขาไม่เคยย่างกรายผ่านมาแถวนี้อีกเลย ผมไม่เข้าใจและไม่เคยคิดว่าเพื่อนสนิทอย่างเขาจะทอดทิ้งผมได้ลงคอ คำพูดและบทเพลง คุณจะไม่มีวันเดินเดียวดาย นั้นคงเป็นคำพูดสวยหรูเพื่อเชียร์ฟุตบอลให้สนุกเท่านั้นเอง
เอ็งเป็นอะไรไป ชายคนที่เคยไล่ผมออกจากบ้านของเขาเพราะเห็นว่าผมจะขโมยของกินวันนั้นถามผม
เพื่อนผม เพื่อนผมเขาทอดทิ้งผม เราเคยสัญญากันว่าจะไม่ทอดทิ้งกัน เราจะไม่มีวันเดินอย่างเดียวดาย ผมคร่ำครวญ
ฮ่า ฮ่า ฮ่า เอ็งคงเหงาล่ะซิ ชายคนนั้นหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
คุณหัวเราะอะไร
เอ็งไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น ถ้าเอ็งอยากให้เขามาอยู่ด้วย เอ็งต้องทำอะไรสักอย่าง
ทำยังไงหรือครับ
ข้าเชื่อว่าสงกรานต์ในปีถัดไป เขาและเพื่อนอีกหลายคนจะผ่านมาแถวนี้ เอ็งก็ลองวิ่งไปดักที่สี่แยกเท่านั้นแหละ เอ็งก็จะได้เพื่อนเยอะแยะไม่ต้องเหงาอีกต่อไป
ชายผู้นั้นพูดจบก็เดินกลับเข้าบ้านไป ผมยังสงสัยกับคำพูดนั้นอยู่
ช่วงวันเทศกาลสงกรานต์ในปีถัดมามีรถสัญจรแถวนั้นไม่ขาดสาย รถบางคันก็บีบแตรส่งสัญญาณให้และก็ขับเลยไป
ในคืนดึกสงัดของวันที่สิบสี่ ลางสังหรณ์บอกผมว่าเขากำลังกลับมา ณ ที่แห่งนี้เขาจะมาพร้อมกับเพื่อนอีกหลายคน หลังจากที่รถสิบล้อขนผักขับผ่านไป ไม่นานนัก เสียงรถขับเคลื่อนก็แว่วมากระทบโสตประสาทของผม และเริ่มดังขึ้น ดังขึ้นจนปรากฏเป็นรถสีขาวที่ฝ่าความมืดออกมาด้วยความเร็วสูง ผมคะเนเอาว่ามีผู้โดยสารอีกแปดชีวิตร่วมหัวจมท้ายอยู่ในนั้นด้วยกำลังจะวิ่งผ่านสี่แยกนั้น
ผมนึกถึงคำพูดของชายผู้นั้นจึงไม่รอช้าวิ่งออกไปดักที่หน้าสี่แยกนั้น สี่แยกที่เขาเคยขับผ่าน ผมมองหน้าคนขับรถอย่างเศร้าซึม ตัดพ้อ และน้อยใจในสิ่งที่เขาทำกับผม เขาสะดุ้งเฮือก สีหน้าของเขาบ่งบอกถึงความตื่นตระหนก จากสีหน้าตื่นตระหนกพลันเปลี่ยนเป็นความหวาดผวา แสงไฟจากหน้ารถส่องแสงสว่างจ้ามาที่ผม คนขับรถคือสุภานั่นเอง เขาพยายามหักพวงมาลัยเบี่ยงรถให้พ้นรัศมีผมและแหกปากลั่นอย่างสะพรึงกลัว เสียงเบรกเอี๊ยดดังลั่น รถตู้เสียหลักออกนอกช่องทางรถ ล้อรถไถลครูดจนเกิดรอยล้อรถเป็นแนวยาว และในที่สุดรถตู้คันนั้นก็เสียหลักชนกับเสาไฟฟ้าแรงสูงพลิกคว่ำ เสาไฟฟ้าหักลงมากระแทกตัวรถอีกครั้ง กระจกหน้าแตกละเอียด สุภาซึ่งเป็นคนขับรถถูกอัดบี้กับตอเสาไฟฟ้า ร่างกายแหลกละเอียด มันสมองทะลักกระจัดกระจาย ไม่มีใครรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว บางศพเป็นชาวต่างประเทศ กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งกระจายไปทั่วอาณาบริเวณ เลือดสีแดงฉานและสีแดงคล้ำเจิ่งนองทั่วพื้นถนน บรรดาชาวบ้านที่ได้ยินเสียงอุบัติเหตุและเสียงร้องโหยหวนต่างกรูมายื้อแย่งสิ่งของอันมีค่าที่พึงจะหาได้อย่างบ้าคลั่ง บางคนยื้อยุดนาฬิกาข้อมือ บางคนล้วงกระเป๋าเพื่อค้นหาสิ่งของอันมีค่าแม้แต่ต่างหูทองเคก็ไม่มีเว้น นี่แหละหนาคนตายไปแล้วยังอุตส่าห์ไปซ้ำเติมศพเหมือนดั่งแร้งคอยรุมทึ้งซากศพที่เน่าเปื่อยไปแล้ว ผมอดสมเพชคนเหล่านี้ไม่ได้
หลังเหตุการณ์วันนั้นทำให้ผมได้เพื่อนใหม่เพิ่มขึ้นมากมาย ในบ้านไม้ของผมมีเสียงพูดคุยไม่ขาดสายทำลายความเงียบเหงาจนหมดสิ้น สุภาสารภาพว่าวันนั้นเขาขับรถด้วยความเร็วสูง เมื่อรถจักรยานยนต์วิ่งตัดหน้า เขาตกใจและรีบหักพวงมาลัยเพื่อเบี่ยงให้พ้นรัศมีแต่หักหลบไม่พ้นรถกระบะชนกับรถจักรยานยนต์ ร่างของเด็กสาวทั้งสองคนกระเด็นออกจากตัวรถจักรยานยนต์ส่วนรถกระบะเสียหลักพลิกคว่ำ ดวงชะตาของเขายังไม่ถึงฆาตแต่ผมสิตายคาที่
เมื่อผมต่อว่าเขา เขาสำนึกผิดและขอโทษผมต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อเขาขอโทษผมแล้วผมก็ไม่ติดใจกับอดีตที่ผ่านมา เพื่อนกันย่อมให้อภัยกันได้เสมอ
ก็บอกแล้วว่า คุณจะไม่มีวันเดินเดียวดาย ยูวิลล์เนฟเวอร์วอล์กอะโลน