บทที่ ๗ พิธีกรรม “สงสัยตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปพี่เองเห็นจะไม่ได้พบหน้าน้องหญิงเสียแล้วกระมัง ” ชายหนุ่มพ้อทำหน้าเศร้า “ คงไม่อย่างนั้นหรอกท่านพี่ เพราะน้องต้องคอยดูแลปรนนิบัติตามคำสั่งท่านพ่อปู่อยู่แล้วนี่นา” หญิงสาวตอบ “แต่ว่าโอกาสที่เราจะได้ใกล้ชิดคงจะห่างไกลกันนะ” ชายหนุ่มกล่าว “ก็คงเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น เพราะท่านพี่จะต้องฝึกฝนวิชาอาคมตลอดจนการทำสมาธิจิต ซึ่งใครจะเข้าไปรบกวนท่านพี่มิได้ อดทนหน่อยนะท่านพี่เพื่อความเป็นองค์ทัศยุราชันย์ที่สมบูรณ์แบบล่ะ” หญิงสาวเอ่ยตอบ พร้อมก้มหน้า เนื่องจากชายหนุ่มเพ่งตามองหล่อนจนรู้สึกขวยเขินสะเทิ้นอาย “นั่นนะซิ...ยังไม่รู้เลยว่าจะต้องใช้เวลานานสักเท่าไหร่หนอ” ชายหนุ่มรำพึง “ความคิดอ่านที่เราพึงมี เห็นจะต้องชะงักชั่วคราวเสียแล้วหนอ” ชายหนุ่มคิดในใจ “เห็นท่านพ่อปู่บอกว่าท่านพี่เองก็เคยฝึกสำเร็จถึงขั้นเกือบจะบรรลุพ้นจากโลกียวิสัยแล้ว บุญบารมีเก่าคงจะเสริมหนุนจะไม่ช้าไปหรอกนะ” หญิงสาวให้กำลังใจ “เมื่อก่อนนั้นอาจจะใช่ แต่บัดนี้พี่เองมิได้เป็นองค์ทัศยุเพียงแค่มนุษย์เดินดินธรรมดาเท่านั้น” “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ อำนาจนี้เป็นอำนาจเฉพาะตัวบุคคลสิ่งทั้งหลายย่อมจะก่อกำเนิดขึ้นเองตามบุญกรรม” “แต่พี่ยังรู้สึกอดเป็นห่วงน้องหญิงไม่ได้ แต่ก็จะพยายามจ๊ะน้องหญิง ” ชายหนุ่มเหมือนจะตัดใจได้ “ขอให้ท่านพี่สมความมุ่งมาดปรารถนาเร็วๆเถอะ เหตุการณ์ร้ายที่ผ่านไปคงจะได้กลับคืนมาเสียที” หล่อนยิ้มพร้อมทั้งเอื้อมมือมากุมมือชายหนุ่มไว้เสมือนดั่งหนึ่งจะให้กำลังใจเขาเพิ่มยิ่งขึ้น “เอาล่ะนี่ก็สมควรแก่เวลาแล้วเพราะเริ่มจะเข้าสู่รัตติกาลหญิงเรากลับเข้าไปในวังเสียดีกว่านะ” ทั้งสองชวนกันเดินดูรอบอุทยานต่างชี้ไม้ชี้มือประกอบการชมสวน บางครั้งก็แสดงอาการหยอกล้อต่อกระซิกกันอย่างร่าเริงเหมือนกับจะลืมเหตุการณ์ผ่านมา แล้วก็ชวนกันเดินหลีกเข้าไปยังปราสาทต่อไป วันรุ่งขึ้นฟ้าสางอากาศยังสลัวๆ หญิงดาริกาเข้ามานำชายหนุ่มกลับออกไปพบท่านพ่อปู่ราชครูตามคำสั่ง เมื่อได้จัดการส่งตัวให้เรียบร้อยแล้ว นางก็หันมายิ้มอย่างอ่อนหวานแล้วหันหลังกลับ หลังจากหญิงดาริกา กลับไปแล้ว ท่านพ่อปู่ก็เรียกชายหนุ่มเข้ามานั่งตรงหน้าเริ่มอรรถอธิบายถึงคัมภีร์เวทย์มนต์ ตลอดจนไสยเวทย์ต่างๆอีกทั้งหลักเบื้องต้นของการเจริญธรรมสมาธิตลอดจนผลได้เสีย หากเกิดผิดพลาดขึ้นมาในการเจริญธรรมจะได้รู้แนวทางข้อปฏิบัติ และไสยเวทย์ในการกำกับอาวุธที่ใช้ ชายหนุ่มในชุดขาวห่มขาวนั่งฟังคำบรรยายรายละเอียดอย่างสนอกสนใจยิ่ง บางครั้งก็สอบถาม ความสงสัย ซึ่งท่านพ่อปู่ก็อธิบายมิได้ปิดบังแต่ประการใด จึงนำชายหนุ่มเข้าสู่ห้องเจริญธรรม ซึ่งเป็นห้องมีบริเวณเล็กๆปราศจากสิ่งของใดๆ มีเพียงแต่ผ้าปูนั่งผืนขาวธรรมดาเท่านั้น พอเขาเริ่มทำสมาธิ พ่อปู่ก็นั่งควบคุมการนั่งทำสมาธิ เวลาผ่านไปเกือบเพลาค่ำก็ปรากฏแสงเรืองรองอ่อนๆรายรอบร่างกาย ตลอดจนรูปร่างท่าทีกิริยาของชายหนุ่มก็เริ่มปรากฏรังสีค่อยๆแผ่ซ่านออกมา ที่ละน้อย เริ่มต้นจากศีรษะจางๆจนแผ่ไปทั่วบริเวณร่างกายค่อยๆเปล่งประกายรังสีออกมาจนเห็นเด่นชัด ทำให้ชายชรารู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่งต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ครั้นเมื่อเพ่งพิจารณาแล้ว ก็รีบเข้าสมาธิเพื่อหนุนธาตุของชายหนุ่มทันที ชายชราพลันยกมือทั้งสองขึ้นเสมือนดังหนึ่งแผ่พลัง หนุนเนื่องเข้ารวมกับพลังที่ก่อตัวของชายหนุ่มจนเพิ่มมากยิ่งขึ้นๆเป็นประกายเจิดจ้า ฉับพลันรังสี ก็เกิดพวยพุ่งรอบล้อมร่างชายหนุ่มจากศีรษะลงจนปกคลุมแผ่นกระจายไปทั่วบริเวณห้องนั้นทันที ชายชราลดมือลงพร้อมรอยยิ้มปรากฏอย่างดีใจ ที่การครั้งนี้มิได้ใช้เวลานานตามที่คิดคาดคำนวณไว้ แต่ก็ยังไม่ลุกหนีไปไหน เพียงแต่จับจ้องมองดู กาลเวลาค่อยๆผ่านไปทีละน้อยๆจวบจนเลยย่ำค่ำ ร่างชายหนุ่มก็ยังหาได้เคลื่อนไหวประการใดไม่ ยังคงด่ำดิ่งกับอารมณ์ของสมาธิแม้กระทั่งผ่านพ้น เกือบเที่ยงคืนก็ตามยังไม่มีวี่แววว่าจะออกจากฌานสมาธิเลย ชายชราจึงลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องไป ความห่วงใยที่เคยมีก็ค่อยๆจางไปเกิดความยินดีเข้ามาแทนที่ ความกังวลก็เริ่มจางหายไป อารมณ์แจ้งใสเพราะเข้าใจดีกว่าหากเจริญสมาธิถึงขั้นนี้แล้วอาการต่างๆทั้งความหิวโหยก็จะมิมีด้วย ด้วยอำนาจฌานสมาบัติที่ก่อเกิดหล่อเลี้ยงสังขารทั้งภายในภายนอกไว้มิขาดสายอย่างต่อเนื่อง จวบจนเช้าตรู่ของวันใหม่ ร่างของชายหนุ่มก็ยังไม่เคลื่อนไหวยังคงสงบนั่งนิ่งอยู่อย่างเดิม แต่สิ่งที่ปรากฏรายล้อมรอบตัวเขากลับเปล่งรัศมีเพิ่มมากยิ่งขึ้นจนแสงสีทองนั้นกระจายไปทั่วบริเวณ จวบจนผ่านล่วงเลยไปสามทิวาราตรีกาล ยังหามีวี่แววแต่อย่างใดไม่ที่ชายหนุ่มจะละฌานสมาบัติ ชายชราเมื่อกลับไปมาจึงเห็นว่าสมควรก็นั่งลงขัดสมาธิเข้าสู่ฌานสมาบัติตรวจสอบ ซึ่งในกาลนี้ เพื่อเข้าไปอบรมแนะนำทางให้แก่ชายหนุ่มทราบทางฌาน และตักเตือนให้สมควรแก่กาลเวลาเท่านี้ เพื่อธาตุขันธ์ต่างๆจะได้รับสารอาหารที่หยาบบ้าง กาลผ่านไปสักครู่ชายหนุ่มก็สามารถปรับสภาพ ร่างกายจนเป็นกายทิพย์ได้ เพื่อไม่ให้ผิดพลาดท่านพ่อปู่จึงได้เข้าไปแนะนำหนทางดำเนินต่อไป เนื่องจากชายหนุ่มยังคงติดในฌานจนเวลาผ่านไปจนจวบล่วงเลยเข้าอีกวันใหม่ในวันที่สี่นั่นแหละ ชายหนุ่มจึงได้ลืมตาขึ้นแต่คราวนี้ ความผิดปกติก็เกิดขึ้นแก่เขาอย่างเห็นได้ชัดประกายสายตาเจิดจ้า ประดุจสายฟ้าที่พวยพุ่งออกมา อากัปกิริยาก็เปลี่ยนไปแต่ก็ยิงติดอยู่เสมือนครึ่งหลับครึ่งตื่นพอควบคุม อาการเข้าสู่สภาพปกติได้แล้ว จึงได้กล่าวแก่ชายชราว่า..... “โอ้ว..ท่านมหาราชครูสิริปัญญา เราเป็นอะไรไปหรือท่าน เอ๊ะ...ท่านพ่อปู” ชายหนุ่มชะงักสงสัยในคำพูดบางประโยคของตัวเอง ความรู้สึกบอกเขาว่าช่างสับสนเสียเหลือเกิน ชายชราก็รู้สึกดีใจจนอาการแสดงออกนอกหน้าจนเห็นเด่นได้ชัด พลางกล่าวว่า...... “ท่านทัศยุราชันย์ มิได้หรอกเพียงท่านยังติดในสัญญาความเป็นมนุษย์อยู่เท่านั้น บัดนี้ท่านจึงมีอาการสับสนปนเปนักเปรียบเสมือนนอนหลับที่ยังไม่สนิทจึงมีอาการเป็นดังฉะนี้ท่าน ครึ่งหนึ่งก็นึกได้และอีกครึ่งหนึ่งนึกไม่ได้ เพียงแต่ผ่านพ้นความสำเร็จเกินครึ่งหนึ่งกาลเก่าแล้วล่ะ” ชายชรากล่าวขึ้น “นั่นซิท่านพ่อปู่เราให้รู้สึกสับสนแกว่งไกวอย่างไรชอบกล บ้างก็นึกออกบ้างก็นึกไม่ออก คล้ายมีอะไรมาติดขัดขวางกั้นอยู่ฉะนี้ แต่ภายในร่างกายเราทำไมช่างเบาหวิวเสียยิ่งนักเล่า ประดุจดั่งปุยนุ่นล่องลอยเคว้งคว้างไปมายากจะควบคุมอาการได้” ชายหนุ่มแจ้งให้ฟัง “ก็เพราะท่านเข้าแนวทางที่ถูกต้องเป็นการรวบรวมธาตุในอดีตกับธาตุปัจจุบันเข้าด้วยกัน ประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน เพียงแต่ยังติดขัดในความมีเนื้อหนังกระดูกที่ยังมิได้ชำระล้างต้องรอ การแปรเปลี่ยนสภาพเป็นกึ่งเทพกึ่งมนุษย์เท่านั้น แต่ส่วนสัญญาในความทรงจำได้กลับสู่ในอดีต หวนคืนเท่าที่ร่างกายจะพึงรับได้” ชายชรากล่าว “นั่นซิข้าพเจ้าจึงรู้สึกว่ากึ่งรู้กึ่งไม่รู้นึกว่าตนเองจะเกิดความวิปลาสไปเสียอีก” ชายหนุ่มอ้างถึง “เอาล่ะพักแค่นี้ก่อนต้องค่อยเป็นค่อยไปประเดี๋ยวธาตุจะผันแปรไปเสียก่อน จนเกิดอันตรายแก่ท่านได้ ช่วงกลางวันให้ท่านอ่านศึกษาวิทยาคมและตำราพิชัยสงครามต่างๆ ที่เรานำมาให้ท่านแล้วนะ” ชายชรากล่าวพร้อมเข้าจูงมือชายหนุ่มลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องทำสมาธิสู่ยังอีกห้องหนึ่งซึ่งเต็มไป ด้วยตำรามากมาย แบ่งหมวดหมู่จัดตั้งอยู่ริมฝาผนัง มีโต๊ะอยู่ตรงกลางพร้อมอุปกรณ์การใช้ครบครัน “แต่ข้าพเจ้ายังคิดจะนั่งสมาธิต่อเพราะเกิดความสุขยิ่งท่านพ่อปู่” “ก็เนื่องด้วยอำนาจธรรมสมาธิที่รุมเร้า ควรที่จะพักผ่อนคลายอารมณ์เสียบ้าง ไปเถอะท่านทัศยุ “ แล้วรีบจูงมือชายหนุ่มไป เพราะการที่ติดในทางธรรมนั้นสุขยิ่งหาที่ใดเปรียบมิได้ หากมิได้พักผ่อนมัวแต่หมกมุ่นอยู่แต่ฌานสมาบัติ มิฉะนั้นการดีจะกลับแปรเปลี่ยนเป็นการร้ายต่อไป ทั่งสองเดินออกไปนอกห้องแต่คราวนี้ร่างกายของชายหนุ่มเสมือนคล้ายล่องลอยไปเสียมากกว่า ทำให้รู้สึกว่าคล้ายๆจะลอยไปในอากาศร่วมกับท่านพ่อปู่ไปด้วย เมื่อก้าวพ้นห้องตำราไปสู่อีกห้องหนึ่ง ก็เจอหญิงดาริกาพร้อมถาดอาหารที่ประกอบไปด้วยผลไม้ มีผลไม้ผลหนึ่งสุกสีทองเปล่งปลั่งส่งประกายแวววับรวมอยู่ในถาดนั้นด้วย ชายชราจึงเดินเข้าไปหาหญิงสาวแล้วหยิบผลไม้ทองมาส่งมอบให้แก่ชายหนุ่ม พลางกล่าวว่า “ ท่านทัศยุรีบทานเสริมธาตุเสียก่อนโดยเร็วอย่าให้โอกาสทองเสียไปเลย” ชายหนุ่มตอนนี้รู้สึกซึ้งในน้ำใจของชายชรายิ่งนัก จึงเอื้อมมือไปหยิบผลไม้ทองนั้นขึ้นมาใส่ปากพอ รับประทานปรากฏว่าอาการเหมือนกับผลไม้ที่เคยทานเพียงแต่รสชาตินั้นจะดูแปลกประหลาดกว่า และเข้มข้นกว่ากันมากทีเดียว ฉับพลันรู้สึกถึงพลังความร้อนพวยพุ่งเข้าประสานกับความร้อน ที่มีทั้งเย็นและร้อนสลับไปมาจะรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวให้รู้สึกสดชื่นอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน พลางหันไปมองเห็นพ่อปู่ราชครูกำลังสนทนากับหญิงดาริกาอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส ทั้งสองสนทนาไปพลางหัวร่อพลางไป เขาคิดว่าคงจะวิจารณ์เกี่ยวกับเราเป็นแน่แท้ จึงเดินหลีกเลี่ยงไปที่โต๊ะหินหลากสีปล่อยให้ทั้งสองคุยสนทนากันต่อไปทุกคนแย้มยิ้มแจ่มใส การเริ่มต้นเจริญสมาธิตั้งต้นใหม่ในเพลาค่ำนั้นอีกครั้งหนึ่งแต่คราวนี้ทำให้รู้สึกว่าไม่เหมือนเก่า เพราะรู้สึกว่าช่างง่ายดายกว่าเก่าอะไรเช่นนั้นเพียงแค่จรดสมาธิลงความเป็นหนึ่งก็รวมตัวได้อย่างรวดเร็ว จึงผ่านทางเดินของฌานได้อย่างไม่มีอะไรติดกั้น ตั้งแต่ฌานแปดผ่านกสิณสิบหมุนสลับไปมา แล้วพุ่งรวมตัวล่วงเข้าสู่โลกียฌานเพียงหยุดแค่นั้น ก็จะย้อนหวนเริ่มต้นใหม่สลับไปมาหมุนเวียน แบบนี้ไปเรื่อยๆพลังภายในร่างกายรู้สึกเพิ่มพูนยิ่งๆขึ้น จวบจนกาลเวลาล่วงผ่านเลยเจ็ดวันเจ็ดราตรีการฝึกทางธรรมสมาธิก็สิ้นสุดลง ให้รู้สึกว่าปัญญาแตกฉานจนสามารถจำเหตุการณ์ในอดีตได้คล่องแคล่วว่องไวขึ้น ทั้งอีกตำราพิชัยสงครามวิทยาอาคมเวทย์ไสยต่างๆก็ผุดขึ้นมาเอง เพียงแค่นึกถึงเท่านั้น ชายชราก็ให้หยุดการเจริญสมาธิแล้วสั่งว่า อย่าทอดทิ้งให้ปฏิบัติอย่างต่อเนื่องทุกๆวันไป จะขาดเสียมิได้ไม่ว่าเวลาใดเวลาหนึ่งเสีย แล้วหันไปสั่งกับหญิงดาริกาว่า “หลานเรานำท่านทัศยุไปพักผ่อนได้แล้ว เราเองก็จะขอพักผ่อนบ้าง อีกสามราตรีให้นำตัวท่านทัศยุมาพบเราเพื่อที่จะทำพิธีกรรมในวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำที่จะถึงนี้ เพราะเป็นวันมหาอุดมฤกษ์ปวงเทพยาดาจะมาบวงสรวงองค์ท่านมหาเทพพร้อมพระแม่เจ้าด้วย หากพิธีในวันนั้นเกิดขึ้นก็จะทราบไปถึงเหล่าทวยเทพเทวาทั้งหลายก็จะประสิทธิ์ประสาทอวยพร แก่ท่านทัศยุตามที่เราคาดคะเนไว้คงไม่ผิดเพี้ยนหรอก ด้านพิธีกรรมนี้เราจะจัดการเองนะ” ชายชราหันมากล่าวแก่ทั้งสอง ทั้งสองรับปากคำแก่ชายชราพร้อมหญิงดาริกานำชายหนุ่มเดินออกไป รัตติกาลเพ็ญ ๑๕ ค่ำมาถึง ท่านมหาราชครูได้นำทั้งสองเดินผ่านประตูถ้ำแก้วเข้าสู่ส่วนกลางถ้ำ ครั้นมองเข้าไปก็เห็นภายในแอ่งน้ำมีชั้นหินแก้วสูงถูกวางด้วยพานแก้วอยู่กึ่งกลางล้อมรอบน้ำ ที่มีสายธารสีเงินยวงปนสีเขียวดั่งมรกตคล้ายธาตุปรอทเจ็ดสีประกายแวบวับสะท้อนแสงแวววาวไว้ ส่งประกายกระจายไปทั่วบริเวณของแอ่งน้ำ รายรอบของแอ่งน้ำถูกจัดวางด้วยแท่งแก้วส่งประกายสดใส ถ้าหากเป็นเมืองมนุษย์ก็คือเทียนที่ส่องสว่างนั่นเอง พื้นรายรอบประกอบด้วยเครื่องพลีกรรมสังเวย ที่พื้นเขียนวงไว้ด้วยรูปดาวแฉกนับได้เจ็ดดวง ล้อมรอบแอ่งน้ำระยะห่างเท่าๆกันหมด ท่านพ่อปู่ได้หันไปสั่งให้หญิงดาริกาให้ไปยืนยังด้านข้าง แล้วนำชายหนุ่มเข้ามายังบริเวณพิธีกรรมบอกให้นั่งในรูปดาวดวงหนึ่งซึ่งรู้สึกว่าจะใหญ่กว่าดาวดวงอื่น ด้านหน้าท่านมหาราชครู ซึ่งกำลังนั่งทำพิธีสาธยายมนต์แล้วนอกพื้นรูปดาวแฉก พลันก็ บอกให้ชายหนุ่ม รีบเข้าไปนั่งทำสมาธิสู่ฌานสมาบัติ โดยกล่าวกับชายหนุ่มว่า...... “หากเราสั่งเมื่อไหร่ก็ให้ก้าวลงยังแอ่งน้ำอันศักดิ์สิทธิ์ทันที” ชายหนุ่มรับคำเบาๆ รีบเดินไปทรุดกายลงนั่งยังตำแหน่งที่ท่านพ่อปู่ชี้แนะให้ดู พลางเจริญสมาธิเข้าสู่ฌานสมาบัติทันที เห็นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่านพ่อปู่เองก็เริ่มนั่งสาธยายมนต์อยู่เบื้องหลังของชายหนุ่มที่นั่งอยู่อาการ ซึ่งกำลังเข้าสู่ฌานสมาบัติ จนท่านพ่อปู่แน่ใจพลางพนมมือเจริญยกมือพร้อมสาธยายร่ายมนต์ เสียงดังพึมพรำเสียงสูงบ้างต่ำบ้างเป็นทำนองแตกต่างกัน ระยะเวลาผ่านไปไม่นานนักประมาณ ช้างกระดิกหู พลันได้ยินเสียงพ่อปู่เอ่ยเร่งชายหนุ่มก้าวเข้าสู่ห้วงแอ่งน้ำทันที ซึ่งเป็นจังหวะที่ ชายหนุ่มถอนถอยฌานลงมาสู่ขั้นอุปจารสมาธิ ควบคุมตนเองแล้วลุกขึ้นก้าวล่วงเข้าลงสู่แอ่ง น้ำศักดิ์สิทธิ์ตามคำสั่งของท่านพ่อปู่มิได้ช้า เมื่อก้าวย่างลงสู่แอ่งน้ำศักดิ์สิทธิ์นั้น พลันปรากฏว่ามีประกายเย็นเฉียบแทรกผ่านเข้าสู่ร่างกายชายหนุ่มทันทีแผ่ซ่านจากล่างขึ้นสู่เบื้องบน แทบจะทนไม่ได้คิดจะก้าวขึ้นจากแอ่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ด้วยมานะ พอทนได้จึงได้ก้าวลึกลงไปอีกเกือบ ตรงกลางความเยือกเย็นยิ่งแผ่ซ่านร่างกายผ่านๆไป แต่ก็มีไออุ่นแทรกซ้อนเข้ามาด้วย จึงก้าวลุล่วงลงไปจนน้ำท่วมถึงระหว่างทรวงอกในท่าพนมมืออยู่ ฉับพลันน้ำอมฤตก็แปรเปลี่ยน เป็นอาการที่คลุ้มคลั่งทันทีกระแสน้ำพลันปั่นป่วนวนเวียนแล้วก็พุ่งเข้าครอบคลุมร่างของชายหนุ่ม จนท่วมมิดศีรษะ บัดดลความรู้สึกทั้งมวลของเขาก็ดับวูบทันที ปรากฏเป็นดอกบัวตูมสีทองส่งประกาย ลอยผุดขึ้นเหนือกระแสน้ำศักดิ์สิทธิ์เปล่งรัศมีเจ็ดประการสว่างโชติช่วง ส่วนสายธารในน้ำก็เข้า กัดกร่อนบ่อนทำลายสังขารส่วนต่างๆแม้กระทั่งกระดูกทุกชิ้นส่วนภายในร่างกายตลอดจนเสื้อผ้า หายไปในสายธาร ภายในแอ่งน้ำก็ยังปั่นป่วนมิได้หยุดนิ่งรอจนกระแสน้ำธารนั้นลดตัวลงเรียบสงบ แต่ก็ยังปั่นป่วนยังภายใต้ผิวน้ำอย่างมองเห็นได้ชัดแล้วก็เงียบสงบหายไป ท่านพ่อปู่ราชครูก็ยังคงเร่งเร้าสาธยายมนต์เร็วขึ้นกว่าเก่า มิได้หยุดพักแทบจะไม่หายใจเลย หญิงดาริกาทอดตามองก็ให้รู้สึกเสียววูบไปยังภายในทรวง อาการตุบๆตับๆกระวนกระวายใจ บังเกิดเข้าแทนที่ด้วยความห่วงใย เพราะไม่ทราบว่าจะช่วยเหลือได้อย่างไรดี ยกมือปิดปากแน่นตาจ้อง มองแทบไม่กระพริบเฝ้ามองดูแต่ภาพภายในแอ่งน้ำนั้น ทำได้เพียงแค่รอเหตุการณ์เท่านั้น หากทว่าร่างนั้นมิใช่องค์ราชันย์ในร่างของชายหนุ่มดังที่คาดคิดไว้การครั้งนี้ก็คงจะล้มเหลว แน่ละจะทำให้ดวงวิญญาณของชายหนุ่มยากที่จะไปสู่สถานที่ใดได้ คงนอกเสียจากเป็นวิญญาณเร่ร่อน ที่ต้องคอยเฝ้ารักษาแอ่งน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้ต่อไปเท่านั้น จึงต้องยกมือขึ้นทาบทรวงอกพลางหันมา มองไปยังท่านพ่อปู่เพื่อจะถาม ยิ่งเห็นพ่อปู่ยังนั่งสาธารยายมนต์มิได้ขาดกลับเพิ่มสำเนียงหนักขึ้น เร่งเร็วขึ้นๆตามลำดับสลับไปมามิได้ขาด หล่อนตะลึงพะว้าพะวงมิรู้ที่จะทำประการใด ได้แต่เพียงยืนเบิ่งตามองภาพรูปดอกบัวประกายเจ็ดสีที่ยังคงลอยอยู่กับที่เหนือน้ำนิ่งไว้เท่านั้น บัดดลกระแสน้ำได้พวยพุ่งขึ้นอีกวาระหนึ่งคราวนี้ประกอบเข้าเป็นรูปร่างมนุษย์และปรับเปลี่ยน ค่อยๆแปรสภาพทีละน้อยๆสายน้ำไหลรินหยดออกจากร่างที่ขาวโพลงวับวาวแสงสีเงินยวงปนเขียวเข้ม เมื่อเพ่งก็ยิ่งค่อยมองเห็นชัดขึ้นจน ปรากฏร่างหนึ่งขึ้นแทนที่ร่างเดิมที่จมหายไป ฉับพลันประกายแสงแห่ง รูปดอกบัวค่อยๆลอยเข้าสู่ร่างที่ผุดขึ้นจากสายธารช้าๆจนหายไปหมดสิ้นพร้อมประกายเจ็ดสีแปรเปลี่ยน กลับเป็นร่างที่มีเนื้อหนังเยี่ยงมนุษย์แต่ผิดตรงประกายสดใสกว่ากันนัก เนื้อที่ประกอบหุ้มห่อนั้นเป็นสีทองระเรื่อๆพร้อมประกายส่องแสงระยิบระยับพลิ้วไปมา พอถึงช่วงนี้ท่านพ่อปู่ก็หยุดสาธยายมนต์ลุกขึ้นยืน พลัน กล่าวกับร่างนั้นให้ก้าวขึ้นจากแอ่งน้ำได้แล้ว พร้อมทั้งหันมากล่าวกับหญิงดาริกาทันที “หญิงดาริกาจงไปหยิบชุดขององค์ราชันย์ที่ปู่สั่งให้จัดไว้นั้นมาได้แล้ว” ชายชรากล่าวขึ้น พร้อมทั้งหันมากล่าวกับร่างที่ยืนอยู่เปลือยเปล่านั้น.... (ภาพประกอบเป็นของคุณเฌอมาลย์ที่ลงไว้ในกลอนตอบรับ ผมเห็นสวยเหมาะ แก่เรื่องนี้ จึงนำมาลงไว้ หวังอย่างยิ่งว่าคุณเฌอมาลย์คงให้อภัยผมด้วยนะครับ ขอขอบคุณไว้ใน ณ ที่นี้ที่ละลาบละล้วง ขอบคุณครับ..แก้วประเสริฐ.)
ภาพประกอบบนเป็นของเจ้าชายทัศยุองค์ราชันย์ ภาพประกอบล่างเป็นของ เจ้าหญิงดาริกา ภาพทั้งหมดเป็นของคุณเฌอมาลย์ขอรับท่าน...แก้วประเสริฐ.
3 พฤศจิกายน 2549 15:53 น. - comment id 93311
แอบมาดูคนโป๊ อิอิ เป็นตากุ้งยิงแน่เลยค่ะมาแอบดูพิธีกรรม
3 พฤศจิกายน 2549 21:59 น. - comment id 93323
หญิงดาริกาจ้องตาไม่กระพริบนะนางจ้องอาไรคะเจ้าชาย..... .........รักษาสุขภาพนะคะ ชีวิตเจ้าชายม่ายช่ายเทพนิยายนะคะ..ม่ายอย่างนั้นจะจับชุบองค์ให้ยงยืน
4 พฤศจิกายน 2549 09:00 น. - comment id 93328
...บรรยายได้ดีมากค่ะ..เหมือนหนึ่งได้อยู่ในพิธีกรรมด้วย....ประทับใจ...ดอกบัวเจ็ดสีที่เปล่งประกาย...(.จริงๆน่าจะมีความหมายนะคะ )...แฝดเพื่อน...สามารถนำหลักการทำสมาธิ...มาผสมผสานในเนื้อเรื่องได้อย่างสวยงาม...ขอชื่นชมค่ะ ..จะติดตามตอนต่อไปค่ะ...
4 พฤศจิกายน 2549 21:35 น. - comment id 93333
คุณ เพียงพลิ้ว คนเขียนเรื่องนี้ไม่โป้นะจะบอกให้ แต่ใน เรื่องก็ต้องว่ากันไปอีกเรื่องหนึ่งจ๊ะเจ้าหญิง แก้วประเสริฐ.
4 พฤศจิกายน 2549 21:37 น. - comment id 93334
คุณ ยายแม่มด เรื่องนี้ไม่รู้เหมือนกันเพราะคนโป้ๆนั้น มีหลายสิ่งหลายอย่างจ้า เลยไม่รู้ยายเจ้าหญิงกานต์ จะไปจ้องส่วนใดเข้า ไปถามเองซิจ๊ะ อิอิ แก้วประเสริฐ.
4 พฤศจิกายน 2549 21:40 น. - comment id 93335
คุณ ราชิกา ใช่แล้วแฝดเพื่อน ดอกบัวเจ็ดสีมีความหมายแน่ เพราะ ดอกบัวแทนดวงใจ ส่วนรังสีเจ็ดแสงนั้น แทนดวงวิญญาณจ้า นี่เป็นตามความหมายของผม นะจะผิดถูกอย่างไร ตีความอื่นอย่างไรเชิญตามสบาย จ้ายินดีดีวย ขอบใจแฝดเพื่อนมากที่ให้กำลังใจจ้า แก้วประเสริฐ.