ชายคนนั้น เป็นคนที่ไม่มีใครรู้จักว่าเขาเป็นใครมาจากไหนหรือแม้แต่ชื่ออะไร ความจริงคือไม่มีใครสนใจอยากรู้ ไม่มีใครนึกอยากจะเรียกชื่อเขาเลยด้วยซ้ำ สิ่งเดียวที่คนละแวกนี้รู้เกี่ยวกับตัวเขาคือเขาอาศัยกินอยู่หลับนอนอยู่บนถนนสายนี้ ถนนที่แออัดยัดทะนานด้วยรถยนต์ หาบเร่แผงลอย หมาจรจัด หนูและสารพัดขยะ เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะอาศัยอยู่บนถนนสายนี้มานานกว่าใครบางคนที่ปรายตามองราวกับเห็นเขาเป็นตัวประหลาด หรือกระทั่งบางคนที่มักคิดในใจบ่อยๆ ว่าเขาเป็นส่วนเกินของถนนสายนี้ซะอีก ทุกเช้าหรืออาจสายโด่งในบางวันเขาจะงัวเงียตื่นขึ้นมาจากซอกเล็กๆ ซอกใดซอกหนึ่งของถนนแล้วแต่ว่าคืนนั้นจะสมัครใจซุกหัวนอนตรงซอกมุมไหนและก็ไม่สำคัญหรอกว่ามันจะเป็นหน้าบ้านร้านรวงของใคร เพราะทุกตารางนิ้วบนถนนสายนี้มันคือบ้านของเขา บ้านที่อาจจะมีหลังคาคลุมหัวในบางวันโดยเฉพาะวันที่ฝนตกอ้อยอิ่งไม่ยอมหยุดราวกลัวว่าท้องฟ้าจะแห้งเฉา หรืออาจจะเปลือยโล่งโจ้งในคืนที่นึกอยากนอนนับดาวเล่น ถังขยะใบเขื่องเรียงรายตามริมทางนั่นก็เป็นห้องครัวที่เขาได้อาศัยฝากท้องเป็นประจำ บางทียังมีขนมไหว้ในจานสังกะสีเก่าๆ ของอาแปะตาฟางที่แกชอบเดินย่องแย่งถือออกมาวางไว้หน้าร้านโชวห่วยของแก กองเปลือกส้มบิดเบี้ยวของแม่ค้าน้ำส้มคั้น เศษขนมปังที่คนเดินเท้าโยนเกลื่อนเต็มพื้นฟุตบาธให้เป็นอาหารนกพิราบฝูงใหญ่ ซึ่งเขามักจะถูกไล่ตะเพิดเป็นประจำ เพราะคนพวกนั้นอยากให้นกกินมากกว่าให้คนจรจัดสกปรกอย่างเขา วันที่ท้องฟ้าแจ่มใสเขาจะเดินทอดน่องสำรวจไปทั่วทุกซอกมุมของบ้าน หว่านยิ้มให้ผู้คนขวักไขว่เสมือนเจ้าบ้านกำลังออกหน้าต้อนรับแขกเหรื่อผู้มาเยี่ยมยาม ไม่มีใครรู้ว่าเบื้องหลังรอยยิ้มนั้นคืออะไร ทุกคนเพียงแต่เบือนหน้าหนีและเดินเลี่ยงออกห่าง เขาอาจตะขิดใจบ้างหรือไม่ก็ไม่รู้สึกอะไรเลยเพราะรอยยิ้มยังเปื้อนหน้าแจกจ่ายให้กับทุกคน แม้แต่กับป้าผมสีดอกเลาผู้เคยสาดน้ำทิ้งเปียกขากางเกงเขาตรงหน้าร้านขายกาแฟของแกนั่นก็ด้วยความไม่ตั้งใจหรอก แกรีบขอโทษขอโพยแถมยังจะให้โอเลี้ยงแก่เขาเป็นการไถ่โทษ พอดีว่าวันนั้นเขากินเปลือกส้มมาจนอิ่มแปล้แล้วเลยยืนหัวเราะเอิ้กอ้าก 2-3 ที ก่อนจะเดินจากไป เย็นวันหนึ่งพวกเด็กซนเอายางสะติ๊กมาไล่ยิงเขาเป็นที่สนุกสนานจนต้องวิ่งหนีกระเซอกระเซิงไปหลบหลังรั้วมะขามเทศเตี้ยๆ ของบ้านไม้สีขาวหลังหนึ่ง ปกติเขาจะไม่กล้าเข้าใกล้บ้านหลังนี้มันดูลึกลับและน่ากลัวอยู่ในที เขาเคยได้ยินคนแก่ๆ แถวนี้พูดกันว่ามันเคยเป็นเรือนของ ข้าหลวงเก่าเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว ตอนหลังตกเป็นของลูกหลานแต่ไม่มีใครมาอยู่จนมีสภาพไม่ต่างจากบ้านร้าง ยิ่งบริเวณบ้านรกครึ้มด้วยไม้ยืนต้นสูงทะมึนก็ยิ่งช่วยเสริมบรรยากาศกันเข้าไปใหญ่ มองจากข้างนอกรั้วมันดูเหมือนป่ามากกว่าจะเป็นบ้านอยู่อาศัย ชื่อถนนสายนี้ก็ได้ยินว่าตั้งตามชื่อข้าหลวงผู้นี้เพื่อเป็นเกียรติที่ท่านเคยก่อคุณงามความดีและสร้างประโยชน์ให้กับผู้คนย่านนี้ไว้มาก ท่านข้าหลวงคงจะเบาใจไม่น้อยถ้ารู้ว่าตอนนี้ถนนสายนี้มีเขาเป็นผู้เฝ้าดูแลอยู่เป็นอย่างดีเสมือนเป็นบ้านของเขาเอง ที่ที่เขาชอบที่สุดบนถนนสายนี้ไม่ใช่ลานดินโล่งที่เคยเผลอไผลไปนั่งฮัมเพลงในวันอับแสงแดด แต่เป็นห้องแถวเล็กๆ ตรงเกือบสุดหัวมุมถนนนั่น มันถูกทาด้วยสีเขียวตองอ่อนทั้งข้างในและข้างนอก ตกแต่งอย่างหยาบๆ ด้วยรูปเปลือยประดามีของหญิงสาวมากหน้า เขาไม่ได้ใส่ใจกับรูปถ่ายนุ่งน้อยห่มน้อยพวกนั้น หรือแม้แต่ลีลากวัดแกว่งตะไกรอันคล่องแคล่วลื่นไหลบนหัวลูกค้าของชายหน้าติดหนวดท่าทางอารมณ์ดีผู้เป็นเจ้าของร้านตัดผมแห่งนี้ แต่เขาชอบเสียงเพลงลูกทุ่งและลูกกรุงที่ดังมาจากเครื่องรับวิทยุทรานซิสเตอร์ตรงมุมห้องนั่นต่างหาก มันช่างเป็นสำเนียงเพลงอันไพเราะจับใจ ยิ่งถ้าวันไหนอากาศดีมีลมโบกพัดเจ้าโมบายเปลือกหอยที่แขวนไว้ตรงประตูกับหน้าต่างจะส่งเสียงฮัมเพลงกรุ๋งกริ๋งๆ รับกันเป็นจังหวะ ราวกับเป็นเครื่องดนตรีชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว ทุกบ่ายของวันที่ว่างจากการเดินสอดส่องดูแลบ้านเขามักจะมานั่งติดกับประตูหน้าร้านหลับตาพริ้มฟังเพลงอย่างมีความสุข ช่วงแรกๆ ก็เคยโดนเจ้าของร้านไล่ให้ถอยไปนั่งไกลๆ แต่นานวันเข้าเมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ลุ่มล่ามหรือเป็นพิษเป็นภัยกับใคร เขาก็แทบจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของร้านตัดผมไปโดยความคุ้นชิน ลองวันไหนหายหน้าไปก็มักจะมีคนถามถึงแต่จะด้วยความเป็นห่วงหรือแค่รู้สึกไม่คุ้นตาก็สุดจะเดาได้ในเมื่อ เขา เป็นแค่คนจรจัดในสายตาคนอื่นเท่านั้น เขามีชีวิตอย่างนี้ อย่างเงียบเชียบบนถนนที่เขาภาคภูมิใจในความเป็นเจ้าของ ถึงกระนั้นก็ดูเหมือนจะไม่มีใครเห็นความสำคัญของการมีตัวตนอยู่ของเขานัก อาจเป็นเพราะไม่เคยมีใครรู้ว่าเขามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่หรือมาอยู่ได้อย่างไร แม้แต่ตัวเขาเองก็รู้แต่เพียงว่าเมื่อตื่นลืมตาขึ้นมาในทุกๆ เช้าก็เห็นถนนสายนี้ เห็นผู้คน รถรา เห็นความเคลื่อนไหวของชีวิตที่ตื่นจากหลับไหลหลังการจากไปอันเงียบเชียบของค่ำคืน ซึ่งเป็นภาพชินตามาเนิ่นนาน และมันก็นานเกินกว่าจะจดจำจุดเริ่มต้นได้ และเขาก็เห็นพ้องกับคนอื่นๆ ว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญที่ต้องใส่ใจ อาคารแบบสมัยใหม่ขนาดมหึมาหลังนั้น ยืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางแสงไฟสว่างไสวนับร้อยดวงที่ทำหน้าที่ขับไล่ความมืดมิดของค่ำคืนให้จำนนถอยร่นไป การปรากฏตัวของมันออกจะอึกทึกเอิกเริกผิดวิสัยผู้มาใหม่อยู่ไม่น้อยแต่ชั่วไม่กี่อึดใจมันก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่อย่างง่ายดายบนความยินยอมของผู้คนซึ่งถูกจูงใจชวนเชื่อด้วยความสะดวกสบายสารพัดตามแบบวิถีชีวิตสมัยใหม่อันจะพึงมีให้เบ็ดเสร็จในนั้น "ได้ยินมาว่าเขาจะสร้างศูนย์สรรพสินค้าอะไรนี่แหละ ไอ้แบบที่มีข้าวของทุกอย่างตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบให้เลือกซื้อได้ในนั้นน่ะ" ประโยคหนึ่งที่เขาเคยได้ยินตอนเดินผ่านหน้าร้านกาแฟแว่วดังขึ้นมาในความคิดอีกครั้ง หลังจากยืนนิ่งจมอยู่ในความเงียบงันพักใหญ่ ตอนนั้นเขาไม่ค่อยจะเข้าใจนักว่ามันหมายถึงอะไร มโนภาพเกี่ยวกับศูนย์สรรพสินค้าที่ว่าไม่เคยมีอยู่ในความนึกคิดของเขาเลย จนกระทั่งบ่าย ของวันที่พุ่มรั้วกระถินหน้าบ้านท่านข้าหลวงเก่าล้มระเนระนาด ประดาไม้ยืนต้นถูกโค่นหัก บ้านไม้เก่าแก่กลายสภาพเป็นเศษไม้นอนแน่นิ่งซบพื้นดิน เขาถึงกับเผลอร้องเสียงหลงท่ามกลางเสียงแผดคำรามของเครื่องจักรกลและกังวานหัวเราะชอบใจของกลุ่มเด็กซนที่ยืนมุงดูเห็นเป็นเรื่องสนุกสนาน คนงานท่าทางดุดันเหล่านั้นหันมามองแค่แว่บเดียวก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้าต่อไปอย่างไม่นึกแยแส แต่สายตากระด้างนั่นก็เพียงพอจะทำให้เขาผงะถอยออกจากความคิดจะเข้าไปห้ามปราม เวลานั้นเองที่เขารู้สึกว่ามีภาพของสิ่งแปลกปลอมบางอย่างคุกคามเข้ามาในห้วงความรู้สึกอย่างหนักหน่วง สิ่งที่เขาได้ยินต่อมาจากนั้นคือคำบอกเล่าว่าลูกหลานของท่านข้าหลวงเป็นคนสมัครใจขายที่ดินเก่าแก่แปลงนี้เอง ด้วยเหตุผลว่าทิ้งไว้ก็มีแต่จะกลายเป็นที่รกร้างเปล่าประโยชน์สู้ขายเอาเงินไปลงทุนทำกำไรให้งอกเงยเสียดีกว่า เขาในฐานะเจ้าของบ้าน และฐานะผู้ดูแลถนนสายนี้อยากแย้งเหลือเกินว่านั่นคือบ้านของท่านข้าหลวง มันจะเปล่าประโยชน์ได้ยังไงในเมื่อท่านสร้างคุณงามความดีให้กับผืนแผ่นดินนี้ตั้งมากมาย แต่ใครจะฟังคำพูดคนจรจัดไร้ค่าอย่างเขา เขาเคยทำคุณประโยชน์อะไรให้แผ่นดินนี้บ้างถึงจะมีสิทธิ์มาหวงแหนมัน ชั่วไม่กี่ค่ำคืนสิ่งก่อสร้างใหม่ได้่เข้ามายืนแทนที่บ้านไม้สีขาวเก่าแก่อย่างไม่เหลือร่องรอยเดิมให้เห็น ซากต้นไม้และเศษกองไม้สีขาวอันตรธานหายไปจากที่ดินที่มันเคยอยู่มาหลายสิบปี ไม่มีใครถามถึงว่ามันระเห็จไปอยู่ไหนทุกคนมัวแต่จดจ่อกับการเติบโตของสิ่งใหม่ ไม่เต็มสามเดือน ดีนัก ศูนย์สรรพสินค้าก็พร้อมต้อนรับความอยากรู้อยากเห็นของผู้คน เขาจำได้ถนัดตาว่าเพียงวันแรกที่มันเปิดคนหลายร้อยหลายพันก็เบียดเสียดกันเข้าไปในนั้น เสียงรถยนต์ เสียงตะโกนพูดคุย เสียงดนตรีสมัยใหม่ดังระคนปนเปจนฟังไม่ได้ศัพท์ "มาอีกแล้วเหรอ บอกแล้วไงอย่ามายุ่มย่ามแถวนี้ ไป-ไปที่อื่น" น้ำเสียงกังวานข่มขู่ของรปภ.ร่างสูงใหญ่ดังขึ้นเกือบข้างๆ หู ผลักเขากระเด็นหลุดจากภวังค์ความคิด จนต้องรีบผงะถอยไปยืนตัวแข็งทื่ออยู่ริมทางเดินหน้าศูนย์สรรพสินค้า "พูดไม่ฟังกันคราวหน้าจะเรียกตำรวจมาจับไปขังคุกแล้วนะ" รปภ.คนเดิมทำท่าจะเข้ามาคว้าแขน เขาแจ้นหนีโดยไม่หันหลังกลับไปมอง จนแน่ใจว่ามาไกลพอจะปลอดภัยแล้วค่อยทรุดตัวลงนั่งหอบเหนื่อยกับพื้นฟุตบาธ 'มันอาจจะถึงเวลาที่ต้องไปจริงๆ แล้วก็ได้' เขาครุ่นคิดพลางกวาดสายตาสำรวจไปรอบตัว ตอนนี้บ้านของเขาไม่ใช่บ้านหลังเดิมที่เคยเป็นอีกต่อไปแล้ว ถึงจะยังใช้ชื่อของข้าหลวงท่านนั้นเป็นชื่อเรียกอยู่แต่ก็ไม่มีอะไรเหมือนเดิมเลยแม้แต่บ้านเก่าแก่ของท่านแท้ๆ ยังถูกลูกหลานขายทอดให้คนอื่น เพื่อนบ้านเก่าๆ ทะยอยย้ายออกไปทีละคนสองคน คนใหม่ผลัดหน้าเข้ามาไม่เคยซ้ำเดิม ฝูงนกพิราบที่อาศัยหากินอยู่นับหลายชั่วอายุอพยพจากไปอย่างไม่ย้อนกลับ ร้านรวงน้อยใหญ่ค่อยๆ ปิดตัวเองลงเงียบเชียบ แผงลอยของแม่ค้าน้ำส้มคั้นหายไปพร้อมกองเปลือกส้มบิดเบี้ยว ร้านกาแฟโบราณของป้าผมสีดอกเลาปิดหลังจากศูนย์สรรพสินค้าเปิดได้ยังไม่เต็มเดือน เพราะคนแห่ไปกินกาแฟฝรั่งในนั้นหมดเขาว่านอกจากจะอร่อยแล้วยังได้นั่ง ในห้องแอร์เย็นสบายกว่ากันเป็นไหนๆ เขาได้ยินป้าแกตัดพ้อกับตัวเองว่าเห็นทีสูตรกาแฟโบราณเก่าแก่ของปู่ย่าตายายคงตายไปพร้อมกับแกเป็นแน่ และนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นแก ถัดมาก็เป็นร้านโชว์ห่วยของอาแปะตาฟางทนอยู่ได้นานกว่าร้านกาแฟหน่อย กัดฟันลดราคาแข่งกับเขาก็ทำ ลดแลกแจกแถมก็ทำ คนยังแห่ไปซื้อในร้านค้าติดแอร์นั่นอยู่ดีสุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ยอมปิดตัวไป ตัวแกเองดึงดันจะทำต่อเพราะร้านนี้ถึงจะเล็กจะเก่ายังไงมันก็เกิดจากน้ำพักน้ำแรงที่แกสู้อุตส่าห์ก่อร่างสร้างสมมาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ มันไม่ใช่แค่ร้านขายของแต่มันเป็นเสมือนลมหายใจของแกเลยก็ว่าได้ แต่ลูกชายแกขอร้องแกมบังคับให้เลิกขาย เขาคงอยากให้พ่อพักผ่อนใช้ชีวิตในบั้นปลายอย่างสงบจึงพาครอบครัวย้ายไปอยู่บ้านชานเมืองที่ซื้อไว้ ส่วนร้านนี้ก็ขายให้ศูนย์สรรพสินค้า และแค่ชั่วไม่กี่วันมันก็ถูกรื้อถอนเพื่อขยายที่จอดรถของลูกค้าให้กว้างขวางขึ้น ร้านตัดผมเป็นแห่งสุดท้ายที่ยืนหยัดได้นานที่สุด ถึงวันที่ปิดก็ยังมีลูกค้าขาประจำมาขอให้ตัดเป็นการส่งท้าย เพลงลูกทุ่งที่เปิดวันนั้นก็บังเอิญเหลือเกินที่มีแต่บทเพลงอันเศร้าสร้อยหมองหม่น ทำเอาทุกคนน้ำตาซึม ส่วนเขานั้นไม่ต้องพูดถึงต้องแอบปาดน้ำตาหลายครั้งจนกลัวคนอื่นๆ จะสังเกตเห็นนั่นเลยเชียว อันที่จริงร้านตัดผมไม่ได้ปิดเพราะคนแห่เข้าไปตัดที่ร้านติดแอร์ข้างในศูนย์สรรพสินค้ากันหมด ลูกค้าเก่าแก่ยังคงแวะเวียนมาอุดหนุนกันอยู่ไม่ขาดแต่เจ้าของร้านเห็นว่าร้านของเขาเล็กและเก่าแก่ล้าสมัยเกินไปแล้วสำหรับถนนที่เติบโตขึ้นทุกวันสายนี้ ขืนดึงดันอยู่ต่อไปรังแต่จะกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมไปเสียเท่านั้น ถึงเวลาที่ต้องหลีกทางให้ความเจริญใหม่ๆ เข้ามาแทนที่จึงตัดสินใจขายร้านให้คนอื่น ส่วนตัวเองจะกลับไปเปิดร้านตัดผมเล็กๆ แบบเดิมนี้ที่บ้านนอกแทน นับแต่นาทีนั้นแหละที่เขารู้สึกว่าบ้านหลังใหญ่ของเขาถูกโค่นเสาต้นสุดท้ายจนล้มครืนลงต่อหน้า เขาได้เพียงโมบายเปลือกหอยไว้เป็นของดูต่างหน้า ความจริงเจ้าของร้านจะโละทิ้งเขาจึงรีบออกปากขอไว้ แม้จะไม่มีประตูหรือหน้าต่างให้แขวนเขาก็ยังอยากจะเก็บมันไว้ วันหนึ่งเขาอาจจะเจอที่เหมาะๆ สำหรับแขวนมันก็ได้ ศูนย์สรรพสินค้ายังคงยืนทะมึน ต้อนรับผู้คนเข้า-ออกไม่ขาดสาย แต่สำหรับเขา...มันกำลังแสดงความเป็นเจ้าของบ้านคนใหม่อย่างเต็มตัว และกำลังตะโกนขับไล่เขาซึ่งเคยเป็นเจ้าของบ้านคนเก่า เสมือนเป็นสิ่งแปลกปลอมในบ้านเก่าแก่หลังนี้ เขายกมือขึ้นปาดน้ำอุ่นๆ ที่เอ่อท้นออกมานอกเบ้าตา ไม่รู้ว่ามันไหลจากความเศร้าสร้อยหรือขุ่นเคืองกันแน่มันสับสนปนเปจนบอกตัวเองไม่ถูก 'มันอาจจะถึงเวลาที่ต้องไปจริงๆ แล้วก็ได้' ความคิดเดิมแว่วซ้ำเข้ามาในห้วงนึกคิดอีกครั้ง และครั้งนี้มันชัดเจนราวมีคนมาตะโกนกรอกใส่ข้างหู 'แล้วจะให้ไปอยู่ไหนล่ะที่นี่มันบ้านของฉัน นานเท่าที่จำได้ฉันก็เห็นตัวเอง กิน อยู่ หลับนอน ในบ้านหลังนี้ สุข ทุกข์ก็ไม่เคยอย่างกรายพ้นชายคาไปที่อื่นเลย' เขาทักท้วงเสียงที่ดังเข้ามาในความคิดนั้นพลางทรุดตัวนั่งลงก้มหน้าซบสะอื้นไห้กับพื้นทางเท้าอุ่น และเนิ่นนานเท่าไดไม่รู้ที่ความเงียบงันเข้าโอบคลุมระหว่างตัวเขากับบ้านของเขา กระทั่งชายจรจัดตัดสินใจยันตัวลุกขึ้น...แล้วก้าวเดินออกไป พร้อมดวงตาอันเลื่อนลอย ทิ้งบ้านที่เขารักไว้เบื้องหลัง...
28 ตุลาคม 2549 19:14 น. - comment id 93222
ค่ะเห็นด้วย... เมื่อไม่กี่วันเพิ่งมีโอกาสไปพบลูกค้า แถวๆกองทัพเรือเลยโรงพยาบาลศิริราช ทางเข้าไปในกองทัพเป็นซอยเล็ก แต่ดูแปลกตามมากเพราะเป็นเรือนไม้โบราณทั้งนั้น เตี้ยๆ และเป็นโทนสีครีมน้ำตาลทั้งหมด เห็นแล้วประทับใจดีค่ะ มาอ่านเรื่องที่เขียนแล้วสะท้อนใจ....
21 พฤศจิกายน 2549 16:38 น. - comment id 93814
อืม...คนจรจัดในกรุงเทพฯเยอะนะ...ความรู้สึกแรกต้องยอมรับเลยว่า กลัว แต่พออ่านเรื่องนี้แล้วทำให้เข้าใจแง่มุมของอีกชีวิตหนึ่งได้ดีขึ้น ปล.เราพูดจริงๆนะ คุณ พีรเดช นวลสาย ส่งเรื่องที่คุณเขียนไปสำนักพิมพ์แล้วรวมเล่มเถอะ...ขอยอมรับในฝีมือเลยอ่ะ... ... หวังว่าสักวันหนึ่งคงจะเจอปลายปากกาของคุณตามแผงหนังสือนะ
22 พฤศจิกายน 2549 19:19 น. - comment id 93848
ผมเคยหวังอย่างนั้น เมื่อนานมาแล้ว (ตอนนี้ก็ยังหวังอยู่) บางทีเกือบโยนความหวังทิ้ง แต่พอหันกลับมามองว่าเราทำอะไร ไปแค่ไหนแล้วบ้าง อืม...ต้นกล้าของเราอาจจะยังไม่พร้องที่จะเกิดมั้ง (555) แต่ก็ยังไม่ทิ้งความหวังหรอกครับ ขอบคุณสำหรับกำลังใจ