ทาง+เท้า = พื้นที่สำหรับเดินด้วยเท้า "กร๊อบ!" เสียงนี้ดังมาจากใต้ฝ่าเท้าผมนี่เอง มันคงเกิดจากการแตกหักเสียหายของวัตถุอะไรสักอย่างที่บังเอิญมารองรับน้ำหนัก 2 ใน 3 ของตัวผมโดยปราศจากความตั้งใจ ชิบหาย! ผมสบถพร้อมชักเท้ากลับ นาฬิกาปลุก...ไม่สิ ต้องเรียกว่าสิ่งที่เคยเป็นนาฬิกาปลุกหน้าตาเหมือนตัวการ์ตูนชื่อดังที่เห็นได้บ่อยๆ ทางหน้าจอทีวี--แหลกอยู่แทบเท้าผม เฮ้ย! เดินภาษาอะไรวะไอ้น้อง เหยียบข้าวของพังหมดแล้ว เจ้าของเสียงเป็นชายกลางคนผิวสีน้ำตาลไหม้โพกหัวด้วยผ้าลายแปลกตา ให้ตายเถอะ! ผมเพิ่งเห็นเขาจริงๆ พับผ่า รวมทั้งไอ้ข้าวของ-ของเขาที่วางเรียงรายไว้บนผ้าพื้นสีดำซึ่งปูทับบนพื้นทางเท้าอีกทีหนึ่งนี่ด้วย เดินซุ่มซ่ามไม่ดูตาม้าตาเรือหยั่งงี้ ใช้ค่าเสียหายมาเลย เขาลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับผมซึ่งกำลังงุนงง คนเดินผ่านไปผ่านมาพากันหันมามองด้วยความอยากรู้อยากเห็น ดูเหมือนยิ่งทำให้เขาได้ใจ ของวางขายอยู่ทุกวันไม่เคยมีใครมาทำเสียหาย-จ่ายมาซะดีๆ คำลงท้ายของเขายังคงเน้นย้ำว่าผมต้องเป็นผู้ชดใช้ โทษทีพี่ ผมไม่ทันเห็น ได้ไง? ของก็ไม่ใช่ชิ้นเล็กๆ คนเดินผ่านเป็นร้อยๆ ไม่เห็นมีใครเหยียบ-นี่แกล้งกันรึเปล่า! เขาจงใจพูดเสียงดังเอะอะ ไม่ใช่ยังงั้น ผมไม่ทันเห็นจริงๆ ผมจะไปแกล้งพี่ทำไม ไม่รู้ล่ะ! แกล้งรึไม่แกล้งก็ต้องจ่ายค่าเสียหายมา ผมตกเป็นเป้าสายตามวลชนอย่างเลี่ยงไม่ได้ บางคนถึงกับหยุดยืนดู เอาล่ะ...ใช้ก็ใช้ แล้วมันเท่าไหร่ครับ ไอ้ชิ้นที่มันแตกน่ะ สองร้อย สองร้อย! ผมตกใจ อันเล็กกะจิ๊ดริดแค่เนี้ยนะ--สองร้อย! ใช่! - เวรเอ๊ย! ของทำเลียนแบบหยั่งงี้ ดูยังไงมันก็ไม่น่าจะเกินร้อยอย่างเก่งก็ร้อยหน่อยๆ สองร้อยนี่มันปล้นกัน กินชัดๆ ทำไมมันแพงจังพี่!? แพง-เพิงที่ไหน นี่ราคาปกติ ขายไปเป็นร้อยชิ้นแล้ว - นั่น อ้างเข้าไปสิ ไม่ได้เห็นกับมันด้วยนี่ ผมลองกวาดสายตาไปรอบๆ เผื่อว่ามวลชนผู้เดินถนนด้วยกันจะเข้าข้างผมบ้าง แต่... จ่ายๆ ไปเถอะน่า จะได้จบเรื่อง เดินไม่ดูตาม้าตาเรือเอง...ก็เงี้ย ไม่รู้-ธุระไม่ใช่ สายตาคนพวกนั้นพูดกับผมอย่างนี้ ว่าไง? ตกลงจะจ่ายหรือไม่จ่าย น้ำเสียงหมอนั่นเริ่มเปลี่ยนเป็นข่มขู่ จ่ายก็จ่ายสิ ผมควักแบงค์ร้อยยู่ยี่สองใบจากกระเป๋ากางเกงส่งให้ แล้วรีบผละหนีออกมา เดี๋ยวก่อน! แล้วไม่เอาของไปด้วยเหรอ หมอนั่นตะโกนไล่หลังเหมือนหวังดีซะเต็มประดา - เชิญมึงเก็บไว้เองเถอะ ไอ้เศษขยะราคาสองร้อยนั่นน่ะ ...เอาล่ะ แล้วก็แล้วกันไปถือว่าฟาดเคราะห์ แค่เงินไม่กี่บาทไว้ค่อยหาใหม่ก็ได้ ผมมีเรื่องสำคัญที่สุดที่ต้องไปทำซะด้วย ไม่มีเวลามาใส่ใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ผมเดินเท้าต่อไปตามทางเดินเท้าอย่างเร่งรีบ ล็อตตารี่มั้ยพี่ พรุ่งนี้รวย หญิงหน้าตากร้านแดดปรี่เข้ามาจนหีบล็อตเตอรี่เกือบจะชนผมเข้าให้ เนี่ย...เหลือแค่ใบเดียวเอง ช่วยหน่อยพี่เผื่อมีโชค ไม่ล่ะครับ ผมปฏิเสธ น่า...พี่รูปหล่อ แค่ 95 เอง - น่าน! ตอแหลกันเห็นๆ ...แล้วไอ้ราคาน่ะปกติเขาขายกันแค่ 80 เองไม่ใช่เหรอ น่าพี่ ช่วยหนูหน่อย ใบสุดท้ายแล้วจริงๆ นะๆ 90 ก็ได้พี่เอาไปเลย นี่ถ้าไม่ใช่พี่หนูไม่ให้นะราคานี้ แทบจะไม่ได้อะไรเลย - นี่ผมสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ เป็นญาติกันก็ไม่ใช่ เอานะพี่ ถือว่าช่วยคนไทยด้วยกัน เอ้า! 85 ก็ได้กัดฟันให้พี่ไปเลย ถือว่าเรามีดวงต่อกัน ไม่งั้นเทวดาฟ้าดินท่านคงไม่ให้หนูมาเจอพี่ตอนที่เหลือใบสุดท้ายอย่างนี้หรอก...แล้วถ้าพี่ถูกรางวัลก็ไม่ต้องมาแบ่งหนูหรอก เพราะมันเป็นโชคของพี่ หนูแค่เอาโชคมาให้เฉยๆ แต่ถ้าพี่จะเมตตากันจริงๆ ก็ไม่เป็นไร - เอ๊ะ! ยังไง? เอาไว้นะพี่นะ หล่อนดึงใบล็อตเตอรี่ออกมาจากหีบยื่นมาต่อหน้าผม เป็นการปิดการขายขั้นสุดท้าย 85 บาทเอง หนูได้แค่ห้าบาท เอาไว้ซื้อนมให้ลูกกิน ลองมาถึงขั้นนี้แล้วถ้าไม่ซื้อก็คงไม่จบง่ายๆ แน่ ...เอาล่ะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แค่เงินไม่ถึงร้อยถือว่าซื้อโชคไว้ละกันเผื่อมันจะมีอย่างหล่อนว่าจริงๆ อีกอย่าง...ผมมีเรื่องสำคัญที่สุดที่ต้องไปทำซะด้วย ไม่มีเวลามาเสียกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ผมเดินเท้าต่อไปตามทางเดินเท้าอย่าง เร่งรีบ ปี๊นๆๆ... เสียงแตรรถที่ดังมาจากข้างหลังอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำเอาผมสะดุ้งโหยง พอหันหลังกลับไปมอง รถมอเตอร์ไซด์คันนั้นก็พุ่งตรงเข้ามาจะชนผมอยู่รอมร่อ ผมรีบกระโดดเอี้ยวตัวหลบลงไปบนพื้นถนน มันผ่านผมไปได้ชนิด ฉิวเฉียด แต่คนขับดูเหมือนไม่สะทกเขายังควบพามันแล่นฉิวจนเลี้ยวหายเข้าซอยไป จะรีบไปหาพ่ ปี๊นๆๆๆๆ.... เสียงแตรกระชั้นกว่าเดิมแผดดังมาจากข้างหลัง ผมสะดุ้งสุดตัว-หัวใจตกไปถึงตาตุ่ม ตายโหง! ผมรีบกระโดดกลับขึ้นบนทางเท้า รถยนต์สีดำทะมึนพุ่งผ่านไปอย่างเฉียดฉิว แต่... น้ำที่เจิ่งนองบนผิวถนนสาดโครมใส่ขากางเกงของผมจนเปียกเป็นทาง อยากตายรึไง ไอ้...(ไม่ทันได้ยิน) คนในรถไม่วายเปิดกระจกออกมาด่าด้วยโทสะ ผมได้แต่ยืนมองตาปริบๆ ...นี่ถ้าหลบไม่ทันมีหวังกลายเป็นผีเฝ้าถนนไปแล้ว ทั้งหมดนี่มันเป็นเพราะรถมอเตอร์ไซด์บ้าคันนั้นแท้ๆ มันขับบนทางเท้าอย่างกับกำลังขับบนถนน แล้วนี่เขาอนุญาตให้วิ่งบนทางเท้าได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ กลายเป็นคนเดินเท้าอย่างเราต้องคอยหลบ คอยเปิดทางให้มันซะอีก ซักวันคงได้มีข่าวคนโดนรถชนตายบนทางเท้ากันบ้างล่ะ ...แต่เอาล่ะ อย่างน้อยผมก็ยังมีชีวิตอยู่ และยังไม่มีตรงไหนแตกหัก ช่างมันไปก่อนก็แล้วกัน ผมมีเรื่องสำคัญที่สุดที่ต้องไปทำซะด้วย ไม่มีเวลามาใส่ใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เวลาก็กระชั้นเข้ามาทุกทีแล้ว ผมรีบเดินเท้าต่อไปตามทางเดินเท้าอย่างเร่งรีบ ตุ้บ! วัตถุขนาดไม่ใหญ่ ไม่โต ยาวไม่น่าจะเกินฟุตนึง หล่นตุ้บลงมาตรงหน้า เฉียดหัวแม่เท้าผมไปหน่อยเดียว ฟังจากเสียงที่กระทบกับพื้นบอกได้ว่ามันเป็นโลหะ แถมยังมีน้ำหนักพอสมควร คือถ้ามันตกลงมาตรงกลางหัวแม่เท้าของผมพอดีมีหวัง...เละ หลังจากมองดูอย่างถ้วนถี่ ผมว่ามันน่าจะเป็นเครื่องมืออะไรสักอย่าง แล้วมันหล่นลงมาจากฟ้าได้ยังไงกันล่ะนี่ ผมแหงนหน้าขึ้นเพื่อเสาะหาที่มาที่ไป เห็นคนแต่งชุดหมีห้อยต่องแต่งอยู่ปลายเสาไฟฟ้า เขากำลังวุ่นจนไม่ทันรู้ด้วยซ้ำว่าอุปกรณ์บางอย่างที่หอบหิ้วขึ้นไปบนนั้นด้วย บัดนี้ร่วงลงมาวางแน่นิ่งอยู่ที่พื้นทางเท้าแล้ว ผมลังเลว่าจะตะโกนเรียกดีไหม เขาจะได้ลงมาเก็บอุปกรณ์การทำงานของเขากลับขึ้นไป แต่อีกแว่บหนึ่งผมก็รู้สึกหงุดหงิดอยู่นิดๆ ค่าที่ว่าหมอนั่นกระทำการโดยประมาทจนเกือบทำให้หัวแม่เท้าผู้อื่นถึงแก่ความตาย เขาจะรับผิดชอบยังไงนะถ้าเกิดมันตกใส่ผมจริงๆ อาจจะแค่ขอโทษเฉยๆ เผลอๆ อาจจะตะโกนลงมาต่อว่าผมข้อหาเดินไม่ระวังเองอีกต่างหาก ...ไม่เอาล่ะ ธุระใครธุระมันละกัน ก็ในเมื่อมันยังไม่โดนหัวผมนี่หว่า มันจะไปทำให้ใครหัวร้างข้างแตกก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับผมตรงไหน อีกอย่างผมมีเรื่องสำคัญที่สุดที่ต้องไปทำซะด้วย ไม่มีเวลามาใส่ใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เวลาก็กระชั้นเข้ามาทุกทีแล้ว ผมรีบเดินเท้าต่อไปตามทางเดินเท้าอย่างเร่งรีบ พี่ครับ...พี่ ผมรบกวนนิดนึงเถอะครับ ชายแปลกหน้าแต่งตัวมอมๆ เดินรี่เข้ามาพร้อมพนมมือไหว้แข็งๆ ผมรีบหันไปมองข้างหลังเผื่อว่าจะมีใคร อื่นอีกเดินตามหลังมา--ไม่มีใคร? สาบานได้เลยว่าผมไม่เคยรู้จักชายคนนี้มาก่อน แล้วอยู่ๆ เขามายกมือไหว้ผมทำไมกัน ดูจากสารรูปก็ไม่น่าจะใช่นักการเมือง แถมฤดูหาเสียงก็ผ่านพ้นไปนานแล้วมันเป็นช่วงที่ประชาชนอย่างเราต้องก้มกราบแทบเท้านักการเมืองต่างหาก-ถ้าอยากได้ความช่วยเหลือ พี่ชายใจดีครับ ช่วยผมหน่อยเถอะครับ คือผมมาจากต่างจังหวัด มาตามหาญาติ แต่หลงทางมาหลายวันแล้ว ญาติก็ติดต่อไม่ได้ไม่รู้ย้ายที่อยู่ไปแล้วรึเปล่า ผมจนปัญญาจะตามหาจริงๆ เงินก็ไม่เหลือซักบาท - อ๋อ...พอจะเข้าใจล่ะ ผมรบกวนขอตังค์พี่ชายสักร้อยเถอะครับ จะนั่งรถเมล์ไปหมอชิตไปต่อรถ บขส. กลับต่างจังหวัด ชายคนนั้นอ้อนวอนน้ำเสียงชวนสลด ถ้าพี่ชายไม่มีเศษตังค์จริงๆ ผมขอรบกวนสักสี่ซ้าห้าสิบบาทก็ยังดี อย่างน้อยไปได้ถึงครึ่งทางค่อยไปเสี่ยงโบกรถต่อก็น่าจะถึงบ้านล่ะ ยังไงเสียก็ดีกว่าอยู่ที่นี่ผมไม่รู้จะหันไปพึ่งใครดี-มีแต่คนไม่รู้จัก - เดี๋ยวนี้เงิน 50 บาทกลายเป็นเศษตังค์ไปแล้วหรือนี่ ผมทำท่าลังเล จะให้หรือไม่ให้ดี ความจริงเงินร้อยนึงน่ะไม่มากไม่มายอะไรหรอก สำหรับคนเดือดร้อนจริงๆ ผมช่วยมากกว่านั้นยังได้ เพียงแต่ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าไอ้หมอนี่มันเดือดร้อนจริงอย่างว่ารึเปล่า มันจะแค่สวมรอยมาหลอกขอเงินชาวบ้าน ได้จากคนนี้แล้วไปขอคนโน้นต่อ หากินบนความสงสารของคนอื่นอย่างนี้อยู่ทุกวัน ลูกไม้ตื้นๆ ไม่ได้มีอะไรสลับซับซ้อนเลย พีชายครับ ถือว่าทำบุญช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเถอะครับ ผมจะไม่ลืมบุญคุณพี่เลย พี่จะเอาที่อยู่ผมไว้ก็ได้ เผื่อวันหน้าวันหลังเกิดไปเดือดร้อนอยู่แถวนั้น ถามหาผมได้เลย-ผมยินดีช่วยเหลือพี่ทุกอย่าง คนบ้านนอกน่ะตรงไปตรงมาไม่มีหน้าไหว้หลังหลอกอยู่แล้ว หมอนั่นขยับเข้ามาใกล้ผมอีก พลางล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าสะพายเหมือนจะควานหาอะไรสักอย่าง ครู่เดียวก็ชักมือออกมาพร้อมกระดาษแผ่นเล็กๆ ยับยู่ยี่ นี่...ที่อยู่ผมครับ เขายื่นกระดาษแผ่นนั้นมาที่ผม ผมโบกมือปฏิเสธ ตั้งใจจะรีบเดินเลี่ยงไป - แล้วถ้าเขากำลังเดือดร้อนจริงๆ ล่ะ? นั่น...กระเป๋าเดินทางใบเขื่องก็ยังสะพายติดหลังอยู่ คนต่างจังหวัดน่ะทั้งซื่อทั้งไม่ค่อยทันคน ถ้าเกิดไม่ช่วยปล่อยไปอาจถูกใครหลอกลวงจนเดือดร้อนหนักเข้าไปอีก ผมเองก็คนต่างจังหวัดเหมือนกัน...เข้าใจข้อนี้ดี ขอบคุณครับพี่ชาย ขอให้ได้บุญเยอะๆ นะครับ หมอนั่นรีบดึงแบงค์สีแดงไปจากมือผม ยกมือไหว้อีกสองสามครั้งก่อนเดินเลี่ยงไป ผมใจอ่อนจนได้ ...เอาเถอะน่า กะอีแค่เงินร้อยเดียว มันจะเดือดร้อนจริงๆ หรือเป็นพวกหากินก็ช่างหัวมันเถอะ นึกว่าทำเงินหายก็แล้วกัน ผมมีเรื่องสำคัญที่สุดที่ต้องไปทำ ไม่มีเวลามาใส่ใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เวลาก็กระชั้นเข้ามาทุกทีแล้ว ผมรีบเดินเท้าต่อไปตามทางเดินเท้าอย่างเร่งรีบ เฮ้ย!!! ผมถึงกับร้องเสียงหลง เมื่ออยู่ๆ ก็รู้สึกว่าเท้าที่ก้าวออกไปเหยียบลงบนอากาศธาตุอันว่างเปล่า และ ตูม!! ตัวผมหล่นผลุบลงไปในปล่องคอนกรีตขนาดประมาณเมตรคูณเมตร ร่างกายท่อนล่างตั้งแต่เข่าลงไปแช่อยู่ในของเหลวสีดำสนิท กลิ่นเหม็นเน่าชวนสะอิดสะเอียนเริ่มโชยมาแตะปลายจมูก คนตกท่อ! คนตกท่อ! แว่วเสียงเอะอะดังมาไกลๆ จากข้างบน - คนตกท่อ? ใช่ล่ะ ผมตกท่อ ภาพสุดท้ายที่ผมมองเห็นบนนั้น คือรูสีดำทรงสี่เหลี่ยมขนาดประมาณเมตรคูณเมตรใต้ฝ่าเท้าตัวเอง แล้วผมก็ล่วงตูมลงมาในนี้ - ตายล่ะ มีอะไรแตกหักรึเปล่า? ผมรีบสำรวจตัวเอง...หัวไม่แตก แข้งขาไม่มีตรงไหนหัก ส่วนลำตัวก็ปกติ แต่ตรงแขนซ้ายเริ่มรู้สึกปวดร้าว และแสบร้อนเหมือนโดนอะไรข่วนเข้าอย่างแรง - แม่ง ท่อไม่มีฝาปิดได้ไงวะเนี่ย ใครมันเที่ยวมาเปิดฝาท่อทิ้งไว้แบบนี้ ไอ้... ป่วยการจะแช่งชัก สิ่งที่ต้องทำคือ ผมต้องปีนขึ้นไปข้างบนเพื่อพาตัวเองออกไปจากขุมนรกนี่ให้เร็วที่สุดเพราะมันเริ่มจะคันยุ่บยั่บไปทั้งตัวแล้ว เอาล่ะ ... เสียงลึกลับเสียงหนึ่งดังมาจากที่ไหนสักแห่ง ฟังดูคล้ายเสียงคราง หงิง...หงิง...ใช่ล่ะ มันเป็นเสียงครางแน่ๆ แต่อะไรล่ะที่จะมาครางอยู่ในท่อเหม็นอับอย่างนี้ แม้จะกลัวอยู่ลึกๆ แต่ความอยากรู้ก็พาผมก้มหน้าลงไปมองซอกแซกฝ่าความมืดเบื้องหน้าออกไป เสียงนั่นดังขึ้นอีก คราวนี้ห่างออกไปไม่กี่ฟุต และผมก็แน่ใจว่ามันเป็นเสียงหมาแน่ๆ เพราะจระเข้มันคงไม่ครางกันแบบนี้หรอก ผมเริ่มส่งเสียงเรียก พยายามคุมโทนเสียงให้ฟังดูเป็นมิตรมากที่สุด ไม่รู้มันจะฟังเข้าใจหรือเปล่า แต่ก็นึกวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ไม่ออก ได้ผล ลูกหมาผอมซูบเซียวตัวหนึ่งเดินตุปัดตุเป๋เข้ามาหา ผมจ้องหน้าเพื่อหยั่งเชิงจนแน่ใจว่ามันจะไม่กัดแล้วจึงค่อยๆ อุ้มมันขึ้นมา ส่งมาทางนี้เลยครับ เสียงหนึ่งดังมาจากบนหัว ผมแหงนหน้าขึ้นไปมอง คราวนี้มีคนยืนล้อมกันเต็มปากท่อ ทีแรกนึกว่าคนตกท่อ ที่ไหนได้ลงไปช่วยลูกหมานี่เอง ใจบุญแท้ๆ ส่งมาเลยครับ ผมยิ้มเจื่อนๆ พลางยกลูกหมาส่งต่อให้เจ้าของเสียง คนที่เหลือยื่นมือมาดึงแขนผมตะกายขึ้นจากท่ออย่างทุลักทุเล คุณนี่ใจดีจริงๆ อุตส่าห์ลงทุนลุยน้ำครำลงไปช่วยลูกหมาจรจัด นั่นสิ ไม่งั้นมันคงอดตายอยู่ข้างล่างนั่นแน่ๆ พวกนั้นยังพากันรุมยกย่องผมไม่ขาดปาก บางคนส่งผ้าเช็ดหน้าให้เช็ดไม้เช็ดมือ เจ้าลูกหมายังมีอาการตื่นกลัว ไม่รู้ว่ามันติดอยู่ในนั้นนานแค่ไหนแล้ว และถ้าผมไม่บังเอิญ...ตกลงไปล่ะ มันจะเป็นยังไง ใครกันมักง่ายเปิดฝาท่อทิ้งไว้จนมันเดินพลัดตกลงไป นี่ถ้าเกิดไม่ใช่ลูกหมา เป็นลูกคนตกลงไปบ้างล่ะ จะเป็นยังไง? ...เอาเถอะ ยังไงผมก็ได้ช่วยมันขึ้นมาแล้วถึงจะด้วยความบังเอิญก็ตามที ป่วยการจะมานั่งโทษนั่นโทษนี่ผมมีเรื่องสำคัญที่สุดต้องไปทำ ไม่มีเวลามาใส่ใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เวลาก็กระชั้นเข้ามาทุกที...เวลา!! ตายล่ะ!!! นาฬิกาที่ข้อมือฟ้องว่าผมสายมา 15 นาทีแล้ว ถ้ารีบไปตอนนี้อาจจะยังพออ้อนวอนขอความเห็นใจได้บ้าง ก็นี่มันเหตุสุดวิสัยแท้ๆ ...แต่ว่าสารรูปผมตอนนี้ มันคงไม่มีที่ไหนเหมาะเท่าห้องน้ำกับสบู่อีกแล้ว เนื้อตัวสกปรก เหม็นคละคลุ้งเป็นลูกหมาตกน้ำแบบนี้ อย่าว่าแต่ห้องสัมภาษณ์เลยแค่ประตูหน้าบริษัท ยามก็ไม่ปล่อยให้ผ่านแล้ว ผมเห็นโอกาสค่อยๆ ล่องลอยออกไป พร้อมๆ กลิ่นเหม็นคลุ้งที่ฟุ้งกระจายไปทั่ว กลุ่มไทยมุงทะยอยกันเดินหายไปทีละคนๆ จนสุดท้ายเหลือแค่ผมกับเจ้าลูกหมาสกปรกตัวนั้น ผมมองหน้ามันพลางครุ่นคิดว่าจะเอาไงดี เก็บกลับไปเลี้ยง? คงไม่ได้ล่ะ ไม่มีอพาร์ตเม้นท์ที่ไหนอนุญาตให้เลี้ยงหมาได้ หรือจะปล่อยทิ้งไว้แถวนี้เพราะเดิมทีมันก็เป็นหมาจรจัดไม่มีเจ้าของอยู่แล้วนี่ มันคงเตร่หากินแถวนี้ได้แหละ แต่...ถ้ามันเกิดเดินพลัดตกลงไปในท่อนั่นอีกล่ะ? ขณะกำลังใช้ความคิดอยู่นั้น ผมก็เหลือบไปเห็นผู้ชายท่าทางคุ้นตาที่ทางเท้าฝั่งตรงข้าม ชายหนุ่มแต่งตัวมอมๆ พร้อมกระเป๋าสะพายใบเขื่อง กำลังประนมมือไหว้ผู้หญิงอ้วนแต่งตัวดีคนหนึ่ง ถึงจะไกลจนฟังเสียงไม่ได้ยิน แต่ผมก็พอเดาได้ว่าไอ้หมอนั่นกำลังพูดอะไรอยู่ ฮ่ง...ฮ่ง เจ้าลูกหมามอมแมมส่งเสียงเห่าออกมาเป็นครั้งแรก ผมถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ บอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไงกันแน่.
16 ตุลาคม 2549 02:01 น. - comment id 93012
รู้สึกว่าดีแล้ว หากว่ายังรู้สึกดี จึงไม่มีคำอธิบายใดๆ ความรู้สึกดีๆ ไม่ได้เกินขึ้นบ่อยนักใน กทม.
28 ตุลาคม 2549 17:33 น. - comment id 93221
จริงคับ
3 พฤศจิกายน 2549 18:10 น. - comment id 93320
เราชอบเรื่องของนายนะ มันตรงง่ายๆดีถูกใจมากงัยเราอยากเอาเรื่องของนายไปเขียนการ์ตูนง่า เรากำลังหาเรื่องสั้นส่งประกวดอยู่ งัยถ้านายเขามาอ่านก็โทรหาเราที่เบอร์นี้ทีนะ0876907404ไม่อยากขโมยผลงานใคร เราชื่อเก้
7 พฤศจิกายน 2549 12:46 น. - comment id 93434
เอาไปเขียนได้เลยครับ ผมอนุญาต อยากเห็นเรื่องของตัวเองจากมุมมองของคนอื่นอยู่เหมือนกัน ว่ามันจะเป็นยังไงบ้าง ยังไงถ้าเขียนเสร็จแล้วส่งให้ผมอ่านบ้างก็แล้วกัน(ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงจะส่ง) ขอบคุณล่วงหน้าครับ
21 พฤศจิกายน 2549 17:06 น. - comment id 93817
ก่อนอื่นขออนุญาตขำกับโชคชะตา ประชดฟ้าก่อนนะ คนอะไรจะมา ซอ-วอ-ยอ ขนาดนี้เนี่ย เราก็เคยรองเท้าขาดบนทางเท้าเหมือนกันอายก็อายแต่นึกเสียว่า***คนพวกนี้(คนที่มอง)เจอกันวันนี้พรุ่งนี้ก็ไม่เจอแระ...คิดได้ดังนั้นเราก็ถอดรองเท้าทิ้งขยะเดินเท้าเปล่าไปหาซื้อรองเท้าคู่ใหม่แต่โชคร้ายที่ต้องนั่งรอเวลาร้านเปิดอีกเป็นชั่วโมงแน่ะ...เป็นคนกรุงฯนี่ชีวิตมันช่างยุ่งเหยิงดีแท้