ลมหนาว ดาวหม่น และคนอ่อนไหว (ตอนจบ
เดอะ เคิร์ก
นาง...เวลาที่เราไม่มีใคร ก็ทำให้เราได้รู้จักตัวเองมากขึ้น และทำให้ได้ทบทวนเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตมากขึ้น แต่...สำหรับผม วินาที นี้ยังสับสน ยังว้าวุ่น จากนี้ไปชีวิตผมอาจมีแต่ความเหน็บหนาว อ้างว้าง โดดเดี่ยว เมื่อไม่มีคุณคอยเคียงข้าง...แต่ละย่างก้าวเต็มไปด้วยความเหน็บหนาว ไม่มีร่างใครซุกอยู่ในสายหมอก ไม่มีเสียงใครแว่วมากับสายลม...เส้นทางสายนี้ที่เคยเคียงคู่ ไม่มีอะไรนอกจากคนที่ไม่รู้จักอีกกลุ่มใหญ่ ที่เดินเที่ยวอย่างสนุกสนาน สำหรับผมยังโดดเดี่ยวเช่นเคย ไม่รู้จักใครหรอกกับช่วงชีวิตที่โหดร้ายอย่างนี้ ไม่อยากให้ใครมารับรู้ความเจ็บปวดด้วยอยากเจ็บคนเดียวเสียให้สะใจ...เจ็บกับใจที่ช่างอ่อนไหว...
ผมนั่งพิงโขดหินใกล้กับผาหล่มสัก ผมมาที่นี่เพื่อเก็บภาพเก่าๆ ของเราสองคนที่นี้ไว้ในความทรงจำให้ได้มากที่สุด เพื่อเก็บไว้ย้ำเตือนความทรงจำที่หอมหวาน ด้วยไออุ่นแห่งรักที่เรามีให้กัน ณ ที่แห่งนี้ นางจะนึกถึงสิ่งเหล่านี้บ้างไหมนะ หรือว่าหล่อนหายไปจากความทรงจำหมดแล้ว
ผมเปลี่ยนมานั่งที่โคนต้นไม้ ณ ตรงที่ ๆ เราเคยนั่งรอชมพระอาทิตย์ตกด้วยกัน ผู้คนยังคงหลงใหลแสงสวยในม่านหมอกเหมือนเดิม ตะวันเริ่มรอนแสงลงเรื่อยๆ ผู้คนที่มาเที่ยวเริ่มทยอยมารวมตัวกันมากขึ้น เพื่อจะบันทึกภาพที่สวยที่สุด ณ ผาหล่มสักแห่งนี้ แปลกดีนะนาง คนเราชอบแสวงหาในสิ่งที่ได้มายากๆ แล้วเก็บไว้ภาคภูมิใจ ที่จริงแล้ว ไม่ว่าตะวันที่นี่หรือที่ไหนๆ ก็ดวงเดียวกัน คนส่วนมากดั้นด้นค้นหาในสิ่งที่คนอื่นยอมรับว่าสวย ว่างาม ทั้งๆ ที่เป็นสิ่งเดียวกัน ผมว่าหากใจเรายอมรับเพียงอย่างเดียว สิ่งต่างๆ คงมีค่าและความหมายไม่ต่างกันหรอก
ดวงตะวันเลื่อนต่ำลงเรื่อย ๆ แล้วจูบลาขอบฟ้าด้วยอาลัย ผมอาศัยคู่หนุ่มสาวที่เดินหยอกล้อกัน เมื่อช่วงเย็นเป็นเพื่อนเดินกลับที่พัก ระหว่างที่เดินกลับที่พักสายลมหนาววูบใหญ่ พัดเข้ามาใส่กลุ่มคนที่เดินกลับพร้อมกัน ไอหมอกที่ลอยอยู่รอบๆ ตัวเรา ปล่อยไอเย็นทักทายผู้คนที่เดินมาอย่างเริงร่า ชายหนุ่มที่เดินข้างหน้าผมถอดเสื้อกันหนาวสวมทับให้กับหญิงสาวของตนอีกชั้นหนึ่งก่อนจะโอบไหล่เดินคู่กันไปอย่างน่าเอ็นดู...นาง.. ความรักไม่ว่าที่ไหน หรือกาลใด ก็สดใสและให้ความสุขกันคนอื่นที่อยู่ในห้วงแห่งความรักเสมอ...
นาง...เมื่อกลางวันที่ผ่านมา ผมลงไปเที่ยวที่น้ำตก ซึ่งมีใบเมเปิ้ลหล่นเกลื่อนบนแผ่นหินเต็มไปหมด คิดจะเก็บทับไว้ในหนังสือเพื่อฝากคุณ แต่เมื่อคิดถึงคำห้ามของคุณในครั้งก่อนที่ห้ามผมไว้.. อย่าทำผิดกฎเขาเลย ถึงอย่างไรเราก็รับความรู้สึกของที่นี่ไว้ในหัวใจหมดแล้ว ใบเมเปิ้ลก็คงสวยอยู่ในใจของเราตลอดไป หากทุกคนปฏิบัติตามกฎที่เขาตั้งไว้และเห็นคุณค่าของธรรมชาติอย่างคุณ มันคงรักษาความสมดุลและความงามตามธรรมชาติของมันไว้ตราบที่ธรรมชาติจะเอื้ออำนวย...
นาง...เป็นเพราะเวลาหรือเปล่า...ทำให้เราเหมือนคนแปลกหน้าของกันและกัน บางครั้งห่างเสียยิ่งกว่าห่าง เหงาเสียวยิ่งกว่าเหงา และบางครั้งเจ็บเสียยิ่งกว่าเจ็บ...
ครั้งแรกที่ผมเจอนางกับนัส เพียงแว๊บแรกที่ผมเห็นสายตาที่เขามองคุณ ผมก็รู้ได้ทันทีว่า เขามีความรู้สึกอย่างไรกับคุณ ผู้ชายด้วยกันเท่านั้นถึงจะเข้าใจ ผมดีใจกับคุณด้วยนะ ที่มีคนที่เพียบพร้อมอย่างนัสมาดูแลและเอาใจใส่คุณ แต่ผมไม่เคยคิดว่า นางจะลืม ความผูกพัน ความห่วงใยที่เราเคยร่วมถักทอมาด้วยกัน แต่มันเป็นสิทธิที่คุณจะเลือกสิ่งที่ดีกว่าให้กับตัวเอง...มาถึงตรงนี้ผมรู้ได้ทันทีว่า ผมคงไม่มีความหมายเหมือนก่อนแล้ว และความรู้สึกแล้วบางอย่างที่ผมไม่เคยรู้จัก ก็เกิดขึ้นกับผมอย่างช่วยไม่ได้...สำหรับความรู้สึกแล้ว ใครไม่เคยเจอกับตัวเองก็คงไม่รู้ว่ามันปวดร้าวแค่ไหน...ผมไม่อยากเจอหน้าใคร ยอมรับว่าร้าวรานกว่าจะฝืนทนสู้หน้าใครได้
นาง...ผมไม่โทษคุณหรอกนะ เพราะนัสเขาคงปกป้องคุณได้ดี และเขามีความเป็นผู้นำทั้งจิตใจและความรู้สึก ซึ่งต่างจากผมที่ช่างอ่อนไหวและไม่สามารถเป็นผู้นำให้แก่นางได้ และผมไม่อยากให้คนมีอนาคตต้องมาจมอยู่กับคนที่ไร้หลัก ไม่อยากให้ใครต้องมามีสภาพเหมือนตัวเอง เท่าที่เป็นอยู่ ก็ทรมานพอแล้ว...
วันนี้ผมตั้งใจอ่านหนังสือ ขอความรักบ้างได้ไหม ที่นางซื้อให้วันที่เราไปดูหนัง และทานข้าวด้วยกัน รอบที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ ผมไม่ได้ออกไปเที่ยวที่ไหนเหมือนวันก่อน เพราะผมตั้งใจว่า ผมจะเก็บแรงไว้กลับพรุ่งนี้...
คืนนี้ดาวพราวฟ้า...แต่แสงดาวหม่นเศร้าพิกล คงเหมือนใจของผมในยามนี้...รอบๆ กายมีเกล็ดน้ำแข็งสีขาวพร่างพราวเกาะอยู่ตามยอดหญ้าเต็มไปหมด เสียงเพลงยังแว่วมาตามสายลม กี่โมงกี่ยามแล้วนะที่ผมนั่งอยู่อย่างนี้...มันเป็นการให้เวลาตัวเองที่ยาวนานที่สุดก็ว่าได้ เพราะผมไม่เคยมีช่วงเวลาอย่างนี้บ่อยนักหรอก...
ดึกมากแล้ว ดาวหลบไปนอนหลายดวง คงเหลือเพียงไม่กี่ดวงที่ยังลอยเด่นเหนือฟากฟ้า แต่ทว่าแสงที่ส่องประกายออกมายังหม่นเศร้าเหมือนเดิม...ไฟเริ่มราเชื้อ...เสียงเพลงเงียบไป ทุกสิ่งทุกอย่างตกอยู่ในความมืดมิดเหน็บหนาว ท้องฟ้าครึ้มแลดูหม่นคล้ายฝนจะตก ดึกดื่นป่านนี้ทุกคนคงเข้านอนหมดแล้ว บางคนอาจหลับอยู่ในอ้อมกอดของคนรัก บางคนอาจหลับอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่น แต่ผมยังไม่หลับหรอก เพียงแต่เปลี่ยนมานั่งในเต็นท์ แทนการจุดบุหรี่สูบ อาศัยแสงเทียนแรงน้อยบันทึกถึงนางเหมือนเดิม...เสียงสายฝนลงเม็ดอยู่นอกเต็นท์ คงเป็นฝนหลงฤดูที่โปรยสายลงมาพร้อมความหนาวเย็น...
สายฝนโปรยลงมา
คงเป็นน้ำตาฟ้าใส
ฟ้ามันคงปวดใจ
จึงร้องไห้ออกมา
คงเหมือนคนอกหัก
ที่คนรักมาร้างลา
คงเหลือเพียงน้ำตา
ที่ไหลออกมา...ล้างใจ
นาง...ฟ้ามันคงร้องไห้เป็นเพื่อนผม...ฟ้ามันร้องไห้ ไม่นานมันคงหยุดเองตามธรรมชาติ แต่ในหัวใจของผมตอนนี้ซิ...มันร้องไห้ไม่มีทีท่าจะหยุดลงง่ายๆ...อีกไม่นาน...ฟ้าคงสาง...
วิชญ์
ภูกระดึง
*******************
ขอแก้ประโยคสุดท้ายของคำกลอนหน่อยนะครับ......
สายฝนโปรยลงมา
คงเป็นน้ำตาฟ้าใส
ฟ้ามันคงปวดใจ
จึงร้องไห้ออกมา
คงเหมือนคนอกหัก
ที่คนรักมาร้างลา
คงเหลือเพียงน้ำตา
ที่ไหลออกมา...ล้างใจ