ลมหนาว ดาวหม่น และคนอ่อนไหว(1)
เดอะ เคิร์ก
บันทึกนี้อาจเป็นบันทึกสุดท้ายของผม เพราะจากนี้ไปผมคงไม่ได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับนาง ผ่านตัวอักษรอีก ผมคงเพียงบันทึกเรื่องทั้งหมดของนางไว้ในใจผมแทน นางไม่ต้องถามผมหรอกนะว่า ผมจะไปทำอะไร ที่ไหน ต่อจากนี้ไป เพราะเรื่องราวของผมไม่มีค่าพอแก่การทรงจำหรอก..
นาง...ผมจากคุณมาที่นี่ด้วยความตั้งใจของผมเอง มาอย่างไร้เพื่อนที่รักและคนที่รู้ใจ เหตุผลที่ผมมาที่นี่เพื่อต้องการค้นหาคำตอบให้กับตัวเอง ที่นี่มีแต่คนแปลกหน้า แต่สิ่งนี้แหละที่ทำให้ผมเลือกมาที่นี่ เพราะอย่างน้อยผมก็ไม่ต้องคอยตอบคำถามเดิมๆ เกี่ยวกับคุณ และที่สำคัญผมไม่อยากให้นางลำบากใจกับผู้ชายที่ไม่มีความหมายและความสำคัญอะไรอย่างผมอีก ผมยอมรับนะว่าผมว้าวุ่นสับสนกับจิตใจของตัวเองมาก ผมจึงตัดสินใจขึ้นมาหาความสงบถึงที่นี่ แต่ก็ยังไม่รู้หรอกนะว่า ผมจะหาทางออกให้ตัวเองได้มากแค่ไหน..
ดูแฟนแกสิ ดูได้ที่ไหน แม่ของนางเคยบ่นกับนางไม่ใช่เหรอ วันแรกที่นางพาผมไปเที่ยวบ้าน เพื่อที่จะให้ทุกคนในบ้านยอมรับในตัวผม..แต่กลับตรงกันข้าม
นุ่งกางเกงยีน สะพายย่ามดูไม่เหมาะสมกับแกเอาซะเลย คบเข้าไปได้ยังไง แม่ของคุณบ่นต่อ ที่จริงวันนั้นผมไม่ได้ตั้งใจฟังหรอก แต่บังเอิญผมออกจากห้องน้ำ และได้ยินสิ่งที่แม่คุณพูดอยู่พอดี
คุณบอกผมเสมอว่า สมบัติหรือวัตถุภายนอกเป็นเพียงปัจจัยแห่งการดำรงอยู่ของชีวิตเท่านั้น ขอเพียงใจเรา ยึดมั่นในรัก และความเข้าใจ ในกันและกันก็เพียงพอ อะไรอื่นคงมาพรากเราออกจากกันไม่ได้หรอก เราเคยบอกกันอย่างนี้เสมอ ยามที่ความรักของเราถูกใครๆ ดูถูก..
แต่บางครั้งผมก็อดคิดไม่ได้เมื่อเวลาเจอคู่รักคู่อื่น ที่เขาเพียบพร้อมและเหมาะสมกันในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าสังคม การศึกษา หรือแม้แต่ฐานะ...ถึงแม้นางจะลดตัวมานั่งรถเมล์ ทานก๋วยเตี๋ยวริมฟุตบาทและเดินซื้อของราคาถูกกับผมก็ตาม ทั้งๆ ที่ฐานะอย่างนางสามารถซื้อรถส่วนตัวขับสักกี่คันก็ได้ ผมรู้ว่านางรักผม พอๆ กับที่ผมรักนาง แต่...สิ่งสำคัญคนในสังคมของนาง เขารับสภาพของผมไม่ได้ ถึงแม้นางยังคงเดิมและให้กำลังใจผมอยู่ก็ตาม แต่ผมก็ไม่แน่ใจเท่าไรกับสังคมรอบข้าง และการเวลาอาจทำให้เราเปลี่ยนแปลงได้
นาง...บนภูนี้อากาศเย็นมากรอบๆ กายมีแต่สายหมอก ความเหน็บหนาวและผู้คนที่แสวงหาสิ่งเติมเต็มให้กับชีวิต ซึ่งบางคนไม่ต่างจากผมเท่าไร ยุคสมัยนี้ก็แปลกนะนาง ทั้งวัตถุ ทั้งเทคโนโลยีข่าวสาร เจริญก้าวหน้า ไปถึงไหนต่อไหน และความบันเทิงก็มีอยู่ทุกถิ่นที่ แต่ชีวิตคนยังคงแสวงหาสิ่งที่เรียกว่า ความสุข ตลอดเวลา แต่ก็หาไม่ค่อยพบ คนส่วนมากมักแสวงหาส่วนที่ขาดหายไปให้กับจิตใจ ผมเองก็เหมือนกันไม่ค่อยรู้รสชาติแห่งความเติมเต็มของใจเลยตั้งแต่ผมเป็นหนุ่มมา บางครั้งพยายามหาคำตอบให้ตัวเอง แต่สิ่งที่ค้นพบก็คือความว่างเปล่าเหมือนเคยเป็น...ผมมาได้คำตอบก็ต่อเมื่อผมมาเจอกับนาง
หากผมเลือกได้ ผมคงเลือกที่จะไม่เจอนาง...เราไม่น่าเจอกันเลย เพราะคนช่างผันและช่างอ่อนไหวอย่างผม พอเจอใครที่มีเยื่อใยและพูดจาภาษาเดียวกันก็ทึกทักเอาว่าเป็นความรัก อาจเป็นเพราะผมเป็นคนช่างเหงา อ้างว้าง ร้างคนเข้าใจก็เป็นได้ เมื่อเจอผู้หญิงที่แสนดี อ่อนโยนที่เข้าใจและมาช่วยเติมสิ่งที่หายไปแห่งชีวิต ผมก็เลยรับนางมาเต็มหัวใจอย่างที่ไม่เคยมีให้ใครมาก่อน อาจเป็นเพราะชีวิตผมไม่เคยมีอะไรสมบูรณ์เหมือนอย่างครอบครัวคนอื่นเขา สิ่งนี้เองที่ทำให้ชีวิตผมมีปมด้อยของหัวใจตั้งแต่เกิด แม่ตายตั้งแต่ผมยังเด็ก พ่อมีภรรยาใหม่ ส่วนผมโตมาด้วยข้าวก้นบาตรของหลวงตา ซึ่งท่านสงสารและเมตตาต่อสัตว์โลกที่ไม่มีใครเลี้ยงดู...
นางเป็นคนแรกและคนเดียวที่ทำให้ผมรู้จัก ความรัก ความอบอุ่นของใจ อาจเป็นเพราะมองโลกในแง่เดียวกัน มีความรู้สึกคล้ายกัน สิ่งสำคัญนางอาทรและเข้าใจผมทุกอย่าง
เมื่อไรนางจะเลิกคบกับวิชญ์นะ คบได้ก็มีแต่ทำให้นางต่ำลงเปล่าๆ เพื่อนของคุณถามเข้าในวันหนึ่ง วันที่ผมตั้งใจไปนั่งรอคุณที่หน้าคณะ เพื่อนของคุณคงมองไม่เห็นผม จึงถามออกมาตรงๆ อย่างนั้น ผมเห็นคุณไม่พูดอะไรต่อ เมื่อเพื่อนถาม...ผมก็พอจะรู้ว่า ที่จริงคุณก็ไม่อยากให้ใครพูดถึงผมในแง่ไม่ดีหรอก แต่คนส่วนมากที่รู้จักคุณ เขาก็มักแสดงความเป็นห่วงคุณเสมอ มันก็สมควรอยู่หรอกที่คนน่ารักแสนดีเช่นคุณจะมีคนคอยห่วงใย เป็นธรรมดาที่คนทั่วไป เมื่อเห็นคุณกับผมไปไหนมาไหนด้วยกัน แล้วอดเป็นห่วงคุณไม่ได้ อย่าที่เพื่อนบางคนของคุณบอกว่า ดอกฟ้าไม่ควรคู่กับหมาวัด ถึงแม้ว่าคุณไม่แคร์และยังมีผมเป็นเงาติดตามตัวทุกหนทุกแห่ง แม้ใครจะว่าจะพูดถึงผมในทางที่ไม่ดียังไงก็ตาม คุณก็ยังพูดถึงผมในแง่ดีเสมอตลอดเวลา คงมีเพียงคุณคนเดียวที่ยังใยดีกับผู้ชายอย่างผม...
คืนที่ว่างเปล่าร้างไร้ผู้คน เราเดินไปบนทางเท้า ความเงียบปกคลุมเราสองคน เงียบเสียจนเราได้ยินเสียงเต้นของหัวใจเราเอง เราจูงมือกันเดิน ข้ามถนนไปอีกฟากหนึ่งเราเดินไปอย่างไม่รีบเร่งนัก บางขณะเราก็หยุดชื่นชมความงดงามของกลางคืน ท่ามกลางแสงไฟนวลใส นานครั้งเราจะพูดคุยกันถึงความเป็นไปของชีวิต และความฝันในอนาคตที่เราอยากทำ คุณเคยถามผมว่า...
วิชญ์ จบแล้ว จะไปทำงานที่ไหน..
จะไปเป็นครูบนดอยสอนเด็กชาวเขา หรืออาจไปสอนเด็กในชนบทสักแห่งที่มีครู ผมจำได้ว่าผมตอบคุณไปอย่างนั้น
ทำไมละถึงต้องไปไหลขนาดนั้นด้วย ดูคุณมีท่าทีแปลกใจ
ผมอยากไปสานฝันเด็กที่ด้อยโอกาสที่ไม่กล้าแม้แต่จะฝันถึงอนาคตของตัวเอง ซึ่งผมเคยตกอยู่ในภาวะอย่างนั้นมาก่อนจึงทำให้ผมสามารถเข้าใจพวกเขาได้ดี อีกอย่างหนึ่งการไปอยู่ในที่ที่เราไม่รู้จักใครเลย เราอาจเจ็บปวดน้อยกว่า ที่เราเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ก็ได้ ผมอธิบาย
คืนนั้นผมมองเห็นแววหม่นในดวงตาของคุณเมื่อผมพูดจบ แม้ว่าคุณจะพยายามซ่อนเร้นไม่ให้ผมเห็นความหวั่นไหว ในดวงตาของคุณก็ตาม...หลังจากที่เราเดินคุยกันมาได้ไม่ไกลนัก สายลมดึกของถนนราชดำเนินก็พัดผ่านเข้ามาสัมผัสเรา คุณยังกุมมือของผมไว้แน่นเหมือนเดิม ไออุ่นจากมือคุณ ส่งผ่านความรู้สึกของผมได้ ผมรู้สึกถึงความอบอุ่นจากฝ่ามือของคุณอย่างที่ไม่เคยได้รับจากที่ไหนมาก่อน...
หากเราต้องจากกัน วิชญ์จะเสียดายความรักของเราไหม
เสียดายสิ...เพราะความรักไม่ได้สร้างขึ้นมาง่ายๆ...แต่สร้างขึ้นมาจากการบ่มเพาะความห่วงใย ความเข้าใจของคนสองคน ถึงกระนั้นก็ตาม หากเราต้องจากกันจริงๆ ไม่ว่าด้วยเหตุในก็ตาม ผมก็พร้อมเสมอสำหรับการจากลา เพราะผมคิดว่า...เป็นการดีกว่า ที่จะได้เคยรักและสูญเสียมากกว่าจะไม่เคยได้รักใครเลย...
คุณเงียบไป...ผมเลยไม่พูดต่อ ทั้งๆ ที่มีเรื่องมากมายเกี่ยวกับความรักของเรา หนึ่งในนั้นที่ผมอยากบอกให้คุณรู้ก็คือ...ความรักไม่เคยสูญหาย แม้ไม่ได้รักตอบ รักนั้นก็จะหวนกลับมาทำให้หัวใจของเราอ่อนโยน..
*****************