สิบล้อประสานงาทัวร์พลิกดิ่งเหวตายเรียบ เพียงอ่านพาดหัวข่าว แล้วพลิกเห็นภาพผู้เสียชีวิตในอุบัติเหตุพร้อมชื่อ หญิงสาวถึงกับหน้าร้อนผ่าวตัวชาวูบ ชื่อนั้นดังก้องในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอเข่าอ่อนทรุดกอง คล้ายว่าจะสิ้นสติ ความเสียใจ ความรู้สึกผิดมหันต์ ถาโถมเข้าใส่ พร้อมปล่อยโฮออกมาดังลั่น... * * * * * ตะวันคล้อยลับเหลี่ยมเขาไปแล้ว เป็นสัญญาณเย็นย่ำที่กำลังเข้าสู่เวลาคืนรังของฝูงนกที่บินมาคราคร่ำทั่วผืนฟ้า แล้วเหินหายไปยังป่าใหญ่เชิงเขา นับเป็นแห่งเดียวในละแวกนี้ ที่ยังคงไว้ซึ่งสภาพป่าสมบูรณ์ เพราะโดยรอบถูกถางเผาเป็นที่โล่ง ตั้งแต่ครั้งชาวบ้านขายที่ให้นักธุรกิจจากกรุงเทพฯ สร้างเป็นรีสอร์ท เพื่อแลกกับความสุขสบาย ในละแวกนี้ มีบ้านเพียงไม่กี่หลังคาเรือนที่ยังคงสมัครใจจะมีความเป็นอยู่คงเดิม หนึ่งในจำนวนน้อยนั้นคือ บ้านหลังกะทัดรัดของ จำเนียร เพราะเธอไม่คิดทะเยอทะยานอยากมั่งคั่งจากการขายที่ดินทำกินให้กับนายทุนที่มากว้านซื้อ แม้ว่าจะมีการยื่นข้อเสนอที่งดงาม แต่ชีวิตนี้เธอไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่านี้ อีกทั้งไม่มีใครให้ต้องห่วงหา เว้นแต่ แพร ลูกสาวซึ่งกำลังเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ นึกถึงตรงนี้แล้วน้ำตาซึมทุกที เพราะมันคือความภาคภูมิใจ ที่เธอสู้บากบั่นอดทนทำงานหนักส่งเสียให้ลูกได้มีการศึกษาที่ดี นับแต่พ่อของลูกจากไปด้วยโรคหัวใจ ตั้งแต่ลูกเพิ่งเริ่มหัดพูด ในชีวิตเธอก็ผูกผันอยู่เพียงกับลูกและบ้านหลังนี้ ซึ่งนับเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่สามีได้ทิ้งไว้ให้พร้อมสวนกุหลาบหลังบ้าน อันเป็นแหล่งรายได้หลัก ซึ่งแลกมาด้วยหยาดเหงื่อทุกหยดที่รินรด หากขายที่ให้นายทุนก็คงได้เงินไม่น้อย แต่นั่นไม่เคยอยู่ในความคิดของเธอแม้สักนิด เธอพักมือจากการพรวนดินในสวนกุหลาบ ด้วยว่าอาการปวดหลังที่พักนี้ออกจะเป็นบ่อยครั้ง ครั้นจะไปหาหมอในเมืองก็เกรงว่าเงินที่เก็บออมไว้จะไม่พอหากลูกขาดเหลือแล้วขอมา สองมือที่เริ่มเหี่ยวย่นกระชับด้ามเสียมแน่นเพื่อพยุงยันกายลุกขึ้น แล้วเดินขึ้นเรือนเตรียมจัดหาอาหารเย็น หลังล้างมือ เอาน้ำลูบหน้าเรียกความสดชื่นแล้วก็เข้าครัว เปิดดูในตู้ยังมีน้ำพริกหนุ่มที่โขลกไว้ตั้งแต่เมื่อวานเหลืออยู่ จึงคิดว่าจะผัดผักบุ้งกินแกล้มก็พอแล้ว ครั้นจัดเตรียมสำรับเสร็จก็เปิดวิทยุฟังข่าว ยังไม่ทันนั่งก็มีเสียงเรียกมาจากชานเรือน ออกไปดูก็พบเจ้าโก้ลูกยายปริกข้างบ้าน ยืนถือชามกากหมูผัดพริกแกงโรยมากับใบมะกรูดซอยทอดกรอบส่งกลิ่นหอมฉุย "แม่ให้เอามาให้ครับป้า" "ขอบใจมากลูก เออ รอเดี๋ยวนะเดี๋ยวป้าตักผัดผักบุ้งให้" ได้จานผัดผักบุ้งแล้ว เจ้าตัวเล็กก็หยิบชิมซะเดี๋ยวนั้น "อื้อฮือ ป้าผัดผักบุ้งอร่อยเหมือนเดิมเลย วันนี้ผมกินข้าวพุงกางแน่" ว่าแล้วก็ลงเรือนวิ่งแจ้นกลับบ้าน นางเห็นท่าทีของเจ้าโก้แล้วเห็นขันในความไร้เดียงสา น่ารักน่าชัง และเป็นเด็กช่างพูดเหมือนลูกสาวเธอเมื่อยังเล็กไม่มีผิด ครั้นตักกากหมูผัดพริกแกงทานกับข้าว ก็ให้นึกถึงลูก เพราะนี่คืออาหารจานโปรดของลูกก็ว่าได้ ไม่รู้ว่าไปอยู่กรุงเทพฯจะมีโอกาสได้กินบ้างหรือเปล่า เธอจ้องกรอบรูปหญิงสาวหน้าหวาน วางตั้งไว้ที่ดานหนึ่งของโต๊ะอาหาร รูปนี้ได้มาเมื่อเกือบ 3 ปี แล้ว ตอนที่ลูกกลับมาเยี่ยม เห็นรูปแล้วก็สะท้อนใจด้วยความคิดถึง นับตั้งแต่กลับไปคราวนั้นจดหมายก็ไม่ได้เขียนมาคุยเลย ครั้งหลังบอกว่า เรียนหนักไม่ค่อยมีเวลา แต่เธอก็ยังพยายามดูแลเรื่องค่าใช้จ่าย จัดส่งให้มิเคยบกพร่อง แม้ลูกจะขอมาพิเศษก็ไม่เคยปฏิเสธแม้สักครั้ง... ครั้นเก็บสำรับแล้วจึงออกมานั่งเล่นที่ชานเรือน นึกถึงเมื่อก่อนสมัยลูกยังเล็ก ร้องไห้งอแงเวลาง่วงนอน ต้องคอยปลอบ กล่อมให้นอนหนุนตัก แล้วเล่านิทานให้ฟังจนหลับผล็อย "แม่จ๋า หนูรักแม่เท่าฟ้าเลย" เสียงเจื้อยแจ้วยังดังอยู่ในความคำนึงให้ยิ้มปลื้มเสมอ ลูกคงไม่รู้หรอกว่าความรักที่แม่มีให้ลูกนั้น มันมากกว่าที่ลูกมีให้แม่จนประมาณมิได้ และยากเกินจะเอ่ยออกมาได้ ก็ทั้งชีวิตแม่นี้อย่างไรเล่า ที่ยินยอมพร้อมจะพลีให้ และทำทุกสิ่งให้ลูกมีความสุข เติบใหญ่เป็นคนดี เพียงเท่านี้แม่ก็พอใจแล้ว "แพรอยากทำงานอะไรลูก" เธอถามลูกเมื่อเริ่มเรียนมัธยมปลาย "แพรอยากเรียนกฎหมายจ้ะแม่ แพรอยากเป็นทนายความ จะได้ช่วยคน ที่ไม่รู้กฎหมายที่ถูกเอาเปรียบ ถ้าเขาไม่มีเงินแล้วมีปัญหา หนูก็จะว่าความให้ฟรีจ้ะแม่ นางลูบผม ยิ้มชื่นชมกับความคิดความอ่านของลูก "แต่เรียนมหาวิทยาลัยมันก็ใช้จ่ายเยอะนะแม่ หนูเลยคิดว่าพอจบมอหกแล้วอาจจะหางานในเมืองทำ อีกอย่าง จะได้อยู่ใกล้ๆ คอยดูแลแม่ไง" ว่าแล้วก็ซบลงหนุนตัก "อย่าห่วงเลยลูก ถ้าอยากเรียนต่อก็เรียนเถอะ เรื่องเงินน่ะไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก สวนกุหลาบหลังบ้านเราก็ยังทำเงินได้ตลอดปี ป้ามาลีก็ยังมารับไปขายที่ตลาดทุกเช้า เงินเราไม่ขาดมือหรอกลูก" วันที่เธอปลื้มใจอีกครั้งก็ตอนที่ลูกสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้.จำได้ว่าของขวัญที่ให้เป็นรางวัลลูกคือ เสื้อถักไหมพรมสีครีม สีที่ลูกชอบ เธอถักเสร็จในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ เพราะตื่นเต้นดีใจ บางวันถักเสียจนถึงเช้าเผื่อว่าลูกจะได้ใส่นอนที่กรุงเทพฯ เพราะไม่รู้ว่าตอนกลางคืนอากาศจะเย็นเหมือนที่ลำปางหรือเปล่า "ป้าเนียร.ป้าเนียร" เสียงเรียกจากหน้าบันไดปลุกนางตื่นจากภวังค์ พบลำไยลูกลุงชิดยืนชะเง้ออยู่ "อ้าว ว่าไงลูก กลับมาเยี่ยมบ้านรึ ขึ้นมาบนเรือนก่อนสิ "ไม่เป็นไรจ้ะป้า พอดีหนูผ่านมาเลยแวะทัก....เออ แล้วแพรไม่กลับมาบ้านหรอกรึถามพลางชะเง้อ ไม่ได้มาหรอกลูก...คงไม่มีเวลามั้ง" "เอ..ก็ไหนเขาบอกหนูว่าจะกลับมาบ้านแต่ช่างเหอะ...ตกลงป้าจะลงไปกรุงเทพฯวันไหนล่ะ" "ไปทำไมล่ะลูก" เธอถามด้วยฉงน "อ้าว! นี่ป้าไม่รู้หรอกเหรอ หนูกับแพรน่ะ เราเรียนจบกันหลายเดือนแล้ว เนี่ยหนูมาส่งข่าวที่บ้าน จะให้ลงไปงานรับปริญญาที่มหาวิทยาลัยวันพุธหน้า ส่วนแพรเขารับวันจันทร์" "จริงเหรอลูก" เธอตื่นเต้นดีใจ "สงสัยแพรคงยุ่งอยู่ล่ะมั้ง เลยลืมส่งข่าวแม่ เห็นแต่วันก่อนก็ส่งโทรเลขมาขอเงินมากโข ดีนะที่ลำไยมาบอกป้า ไม่งั้นแพรคงเสียใจแย่ที่แม่ไม่ได้ไปงานรับปริญญา" "แล้วป้าไปถูกมั้ยล่ะ" "ก็น่าจะถูกนะลูก ป้าเคยไปเยี่ยมแพรที่หอพักเมื่อตอนเข้าเรียนใหม่ๆ เห็นว่ามหาวิทยาลัยก็อยู่ใกล้ๆ กับหอพัก ป้าว่า ถามคนแถวนั้นคงจะรู้" "ถ้างั้นหนูคงไม่ห่วงล่ะ อ้อ!ป้าไปแต่เช้าหน่อยก็ดีนะ จะได้ไปถ่ายรูปกับแพรก่อนเข้าห้องประชุม เห็นว่านัดเจอกับเพื่อนหน้าตึกคณะนิติศาสตร์ตอน 7 โมงเช้า หนูก็ว่าจะแวะไปเหมือนกัน...ถ้างั้นหนูลาป้าล่ะนะพ่อรอกินข้าวอยู่ แล้วเจอกันที่กรุงเทพฯ นะป้า" ลำไยยกมือไหว้ลา ลำไยกลับไปพักใหญ่แล้ว แต่เธอยังคงตื่นเต้นไม่หาย ดีใจที่จะได้เห็นรอยยิ้มปลาบปลื้มของลูก ค่ำคืนนี้ช่างเป็นคืนที่เธอนอนหลับอย่างมีความสุขเหลือเกิน พร้อมใบหน้าลูกสาวยิ้มละไมลอยอยู่ในความฝันตลอดคืน * * * * ฝนหมาดฟ้าไปพักใหญ่ พร้อมกับเวลาผ่านล่วงเข้าสู่วันใหม่ หลายชีวิตซุกกายอยู่ใต้ผ้าห่มหนาหลับตาพริ้มอย่างสุขใจ ตึกสูงหลังนั้นแฝงกายอยู่หลังชุมชนอันหนาแน่น ติดชิดกับคลองระบายน้ำสายเล็กๆ สีดำสนิท ห้องพักหลายสิบห้องถูกจัดสรรให้เป็นที่เช่าพักสำหรับสตรี บนชั้น 3 เวลานี้มีเพียงห้องพักมุมซ้ายสุดเท่านั้น ที่ไฟยังคงเปิดสว่าง หญิงสาวเจ้าของห้องกึ่งนอนกึ่งนั่งอยู่บนเตียงมีผ้าห่มคลุมอยู่เหนืออก ใบหน้ารูปไข่ จมูกรั้นเชิดกับดวงตากลมโตเป็นประกาย ปากสวยได้รูป คิ้วเข้มรับกับผมดำขลับประบ่า มันทำให้เธอโดดเด่นกว่าใครในบรรดาเพื่อนสาวที่เคยเรียนร่วมกัน และรับเลือกให้เป็นดาวประจำคณะและชั้นปี เหตุนี้เองเธอจึงเป็นที่ต้องตาของทั้งเพื่อนชายและรุ่นพี่จำนวนมาก ทว่าในบรรดาชายหนุ่มที่เข้ามาผูกไมตรีเห็นจะมีเพียงจาตุรนต์เท่านั้น ที่เธอให้ความสนใจเป็นพิเศษ เพราะเขาเป็นรุ่นพี่ที่สุภาพ ให้เกียรติเธอ รักเธอเสมอต้นเสมอปลาย ที่สำคัญเขาเป็นทายาทคนเดียวของนักธุรกิจชื่อดัง อันเป็นที่แน่นอนว่าหากเธอลงเอยกับเขา ชีวิตนี้คงมีความสุข และหลีกพ้นจากสิ่งที่เธอได้พยายามตะเกียกตะกายหนีมัน ภาพลักษณ์ของเธอที่ชายหนุ่มและเพื่อนๆได้รับรู้จากปากของเธอคือ เป็นลูกนักธุรกิจเจ้าของโรงแรมหรูทางภาคเหนือ สิ่งนี้มันทำให้เธอมีความรู้สึกสับสนในตนเอง และหวาดระแวงเสมอว่า จะทำเช่นไรหากเขารู้ความจริง หญิงสาวเหลือบมองดูภาพถ่ายในวัยเยาว์ ซึ่งอยู่ในอ้อมแขนของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีรอยยิ้มเปี่ยมด้วยความรักและความเมตตา จะเป็นใครเสียอีกเล่านอกจากคนที่เธอเรียกว่า แม่ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอพยายามลบภาพแห่งความทรงจำดีๆ กับสิ่งที่ได้รับจากสตรีผู้นี้ ความรัก ความเข้าใจ การเอาใจใส่ การจัดสรร แววตาแห่งความอาทร ความทุกข์ร้อนเมื่อยามที่เธอทุกข์ใจแต่กลายกลับเป็นว่า แม่ทุกข์ทนยิ่งกว่า เธอยอมรับว่าไม่มีผู้ใดจะดีเลิศและปรารถนาดีต่อเธอเท่ากับแม่ แต่สิ่งที่เธอมิอาจยอมรับได้คือ ฐานะแท้จริงของทางบ้าน เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนๆ แล้ว เธอช่างดูด้อยกว่าใคร แม้ว่าจะต้องหลอกตัวเอง แต่เธอยินดีที่จะเลือกเช่นนั้น เป็นเหตุผลหนึ่งที่เธอไม่บอกกล่าวให้แม่มางานรับปริญญาในอีก 2 วันข้างหน้า "ว้า..เสียดายจังคุณแม่มางานรับปริญญาของแพรไม่ได้แล้วล่ะ" เธอนึกถึงการสนทนาหลังทานอาหารเย็นที่ร้านหรูกลางกรุงกับคนรัก "อ้าว..ทำไมล่ะครับวันสำคัญอย่างนี้คุณแม่น่าจะปลีกตัวมานะครับ" "คงสุดวิสัยค่ะ เพราะท่านโทร.มาบอกเมื่อตอนบ่ายว่า ตอนนี้ยังอยู่ที่เดนมาร์ก คุณน้าป่วยนอนอยู่โรงพยาบาล ที่นั่นไม่มีใครคุณแม่เลยต้องอยู่ดูแล กลับมาไม่ทันค่ะ" เธอนึกขันกับท่าทีของชายหนุ่มที่เชื่อเธออย่างสนิทใจ แต่ส่วนลึกรู้สึกผิดและเริ่มสับสนมากขึ้นว่าเธอจะโกหกเขาไปได้นานเพียงไร ในเมื่อความจริงย่อมเป็นความจริง เธอพยายามบังคับไม่ให้ใจคิดกังวล หญิงสาวถอนหายใจพร้อมกล่าวออกมาเบาๆ "ขอโทษด้วยนะคะคุณแม่ หนูจำเป็นค่ะ" กรอบรูปถูกวางคว่ำลงอยู่บนโต๊ะข้างเตียง ก่อนหญิงสาวจะปิดไฟแล้วพลิกตัวหันกลับหลับตาอย่างไม่ไยดี.. * * * * * แสงทองเริ่มแต้มขอบฟ้า อากาศวันนี้ช่างสดใส จำเนียรเสร็จกิจจากการรดน้ำและริดใบในสวนกุหลาบหลังบ้านแล้ว เธอยืนมองดูฟ้าซึ่งรู้สึกว่าสวยกว่าทุกวัน เธอยิ้มให้กับตนเองด้วยความสุขล้นในใจ เย็นวันนี้แล้วสินะ ที่จะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ... ลูกคงจะดีใจที่ได้เห็นเธอไปแสดงความยินดี แม้ว่าสุขภาพจะไม่สมบูรณ์นัก เพราะอาการปวดหลัง แต่ก็พอฝืนไปได้ หากไม่ไปลูกคงเสียใจแย่ ต่อไปคงมีรูปสวยๆ ถ่ายกับลูกในชุดครุยมาติดที่บ้านให้ได้ภูมิใจ หลังทานข้าวเช้าเสร็จ จำเนียรก็เริ่มจัดกระเป๋าเดินทาง นางรู้สึกใจหายเมื่อนึกขึ้นได้ว่า เสื้อผ้าชุดที่ดูพิเศษแทบจะไม่มีเลย ทำไมนะเมื่อวานก็เข้าเมืองน่าจะซื้อใหม่สักชุด แต่มาคิดดูอีกที เก็บเงินไว้เผื่อขาดเหลืออะไรลูกอาจต้องใช้จ่ายน่าจะดีกว่า ผ้าซิ่นฝ้ายทอลายสวยสีอาจจะซีดไปสักหน่อย กับเสื้อม่วงหม่น มีระบายลูกไม้แบบเรียบๆ ชุดนี้ก็คงดูสมฐานะดี สวมสร้อยไข่มุกสักหน่อย เพียงเท่านี้ก็คงพอแล้ว * * * * * เพียงก้าวแรกที่เข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย จำเนียรก็เริ่มรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะหาลูกสาวพบ ผู้คนมากมายละลานตาไปหมด นิสิตในชุดครุยและญาติพี่น้องถ่ายรูปร่วมกันต่างยิ้มแย้มแจ่มใส วันนี้มหาวิทยาลัยที่เคยดูกว้างใหญ่เลยดูแคบไปถนัดตา นับเป็นครั้งแรกที่เธอมามหาวิทยาลัยของลูก จำได้แต่เพียงที่หนูลำไยบอกว่า ต้องไปที่ตึกคณะนิติศาสตร์ นึกได้จึงถามยามที่ประตูแล้วเดินไปตามคำบอกกล่าวซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก "หนุ่มจ๊ะตรงนี้คณะนิติศาสตร์ ใช่มั้ย" นางถามนิสิตชายคนหนึ่งที่ดูคล้ายยืนรอใครอยู่ "ใช่ครับ" "งั้นหนูพอจะรู้จักจันทพรรึเปล่าจ๊ะ เห็นเขามั้ย" "อ๋อ..รู้จักสิป้าคนดังใครก็รู้จัก..แถมมีแฟนรวยอีกต่างหาก โน่นแหน่ะ กำลังถ่ายรูปอยู่ซุ้มหน้าตึกไงครับ" ชายหนุ่มชี้บอกทาง เธอรีบสืบเท้าตรงไปยังที่หมาย พบลูกสาวในชุดครุย ช่างสวยสง่า รุมล้อมด้วยเพื่อนๆ และชายหนุ่มเคียงข้างคอยซับเหงื่อให้ เธอรีบปรี่เข้าไปใกล้ด้วยความดีใจ แล้วเรียก "ลูกแพร" หญิงสาวหันขวับมายังเสียงเรียก ครั้นพบว่าเป็นใครใบหน้าถึงกับซีดเผือด เธอนึกไม่ถึงว่าแม่จะมา กลุ่มเพื่อนที่รายล้อมทุกคนต่างหันมองมายังหญิงวัยกลางคนในชุดที่ดูมอซอเป็นตาเดียว พร้อมกับคำถามที่เกิดขึ้นในใจ นี่หรือแม่ของจันทพร ผู้เป็นดาวคณะ ที่เคยบอกว่าเป็นลูกของนักธุรกิจชั้นนำทางภาคเหนือ ทุกคนมองหญิงแปลกหน้าและดูปฏิกิริยาของเพื่อนสาว พร้อมคำถามที่รอคำตอบ "เอ่อ ขอโทษนะคะ คุณป้าคงทักคนผิดแล้วล่ะค่ะ" หญิงสาวตอบกลับไป แล้วสะกิดเพื่อนเดินเลี่ยงไปอีกทางเพื่อถ่ายรูปต่อ จำเนียรยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่อยากเชื่อหูกับสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ เป็นไปได้อย่างไร ที่ลูกจะจำเธอไม่ได้ และไม่อยากเชื่อว่าเธอจะถูกปฏิเสธจากลูกจากหญิงสาวที่เธอทะนุถนอมบรรจงสร้างชีวิตมาตั้งแต่ยังแบเบาะจนเติบใหญ่ พร้อมความอบอุ่นที่มีให้มากที่สุด เท่าที่จะให้ได้ เพื่อชดเชยจากการที่ลูกขาดพ่อ ดวงตาของเธอเหม่อลอยดังคนไร้สติ เรี่ยวแรงจะก้าวเดินแทบจะไม่มีเหลือ น้ำตาแห่งความผิดหวังเอ่อล้นจนท่วมใจแล้วไหลอาบลงสองแก้ม เธอหันหลังกลับช้าๆ เดินจากมาอย่างไร้จุดหมาย แต่ในใจส่วนลึกยังคงคิดว่า ลูกคงมีเหตุผล และเธอก็พร้อมที่จะรับฟังเมื่อลูกพร้อมจะเล่า * * * * * แม้รถจะออกเดินทางจากกรุงเทพฯมานานหลายชั่วโมงแล้ว และผู้คนในรถต่างหลับใหลอยู่ในความมืด มีเพียงเสียงรถและเครื่องปรับอากาศที่ดังเบาๆ แต่จำเนียรยังไม่ได้งีบหลับเลยแม้สักนิด แสงที่สาดเข้ามายามที่รถสวนทาง สะท้อนเงาลำธารน้ำตาที่ไหลพรากเป็นสาย โดยไม่รู้ว่าเสียไปมากเท่าใดแล้ว เรื่องราวแต่ก่อนเก่า หลายภาพหลายเหตุการณ์วนเวียนเข้ามาในความคำนึงไม่รู้หมดสิ้น ภาพของเด็กหญิงตัวเล็กๆ น่ารัก ช่างเจรจา ที่ค่อยๆ เติบใหญ่ผ่านการดูแลอบรมเอาใจใส่ของเธอและสามี ดุจลูกในไส้ ทุกถ้อยคำในบทสนทนาระหว่างเธอกับเขา ก่อนที่จะมีเด็กหญิงในบ้าน เธอยังจดจำได้ไม่รู้เลือน เนียร...พี่อยากจะปรึกษาเนียนหน่อยจ้ะ สามีเอ่ยขึ้นหลังอาหารเย็น เรื่องอะไรจ๊ะพี่ เราอยู่กินกันมาก็นานพี่ว่าเนียนคงจะเหงา...พี่เองก็อย่างที่รู้... พี่เห็นเนียนชื่นชมลูกชาวบ้านเขาก็อดสงสารไม่ได้... เขาจ้องตาเธอจริงจังก่อนพูดต่อ ...เนียรคิดยังไง...ถ้าเราจะไปขอเด็กที่โรงพยาบาลในเมืองมาเลี้ยง...พี่ว่าเด็กที่คลอดมาแล้วแม่ทิ้งนี่ โตมาต้องกำพร้า ขาดความอบอุ่น...น่าสงสารนะ จริงเหรอพี่... เธอยิ้มตาเป็นประกาย เนี่ยฉันก็คิดอยู่เหมือนกัน พี่อ้อยบ้านโน้นที่พี่ป้อมแฟนเขาเป็นหมัน เขาก็คิดเหมือนพี่นี่แหละ เขาบอกฉันวา เด็กอ่อนที่โรงพยาบาลในเมือง มีแม่วัยรุ่นคลอดแล้วทิ้งเยอะขึ้นทุกวัน ทางโรงพยาบาลเขาก็อยากหาพ่อแม่บุญธรรมรับไปเลี้ยงเหมือนกันถ้าเราขอมาเลี้ยงซักคน คงจะดี สิ่งที่เราช่วยกันสร้างเนื้อสร้างตัวมาจะได้มีคนช่วยดูแลต่อ ฉันเองก็จะไม่เหงา มีเด็กวิ่งในบ้าน ครึกครื้นดีออก งั้น วันมะรืน เราไปที่โรงพยาบาลกันนะ สามีเอ่ยพลางเอื้อมบีบมือเธอ วันที่เธอกับสามีไปทำเรื่องขอเด็กอ่อนมาเลี้ยง เธอยังจำภาพนั้นได้ดี ภาพของทารกเพศหญิง ที่เพียงได้พบหน้า แววตาสองคู่ที่ประสานกัน เสมือนความผูกพันนั้นมีมานานนัก เธอรักเด็กน้อยตั้งแต่แรกอุ้ม และทะนุถนอมดังแก้วตาดวงใจ เฝ้าดูแลเอาใจใส่ อบรมด้วยความรัก แม้ในยามที่สามีจากไป ความรักที่ให้ก็ยิ่งเพิ่มทวีไม่เคยลดน้อยถอยลง ทว่าไม่เคยคาดคิดแม้สักนิดว่า เมื่อเวลาเปลี่ยนแปร ความรักที่เด็กหญิงซึ่งนางไม่เคยบอกความจริง จะตอบแทนความรักต่อเธอเช่นนี้ คิดถึงเพียงเท่านี้ เสียงกรีดร้องมาจากตอนหน้าของรถก็ดังลั่น แข่งกับเสียงบีบแตรยาว ตามมาด้วยเสียง โครม!!! แล้ว....สติของเธอก็ดับวูบ.... * * * * * * * * * *
13 มิถุนายน 2549 18:34 น. - comment id 91185
เจ็บนะ ถ้าต้องเจอกับเรื่องแบบนี้ เนรคุณจริงๆ ลูกคนนี้ เสียชาติเกิด ทำให้พ่อแม่ ต้องเสียน้ำตา
13 มิถุนายน 2549 21:12 น. - comment id 91189
เรื่องนี้คือเรื่องจริงหรือเปล่าคะ ถ้าเป็นเรื่องจริงมันดูเศร้ามากเลย แต่เรื่องจริงแบบนี้ก็มีอยู่มาก ความรักที่แม่มีให้ต่อลูกนั้นมากมายยิ่งกว่าอะไรในโลกนี้ แต่ผลตอบแทนที่ลูกบางคนมีให้แม่มันกลับทำให้แม่เสียใจยิ่งกว่าอะไรดี จากในเรื่องสั้นเรื่องนี้การทำตัวแบบนี้ไม่น่าจะเป็นบัณฑิตที่เรียนจบจากนิติศาสตร์ได้เลย เพราะตัวเองยังไม่มีคุณธรรมในตัวเองเลยแล้วจะมีคุณธรรมกับคนอื่นได้หรือ
14 มิถุนายน 2549 12:44 น. - comment id 91194
เป็นเรื่องแต่งครับ ต้องการสะท้อนให้เห็นถึงวิญญารความเป็๋นแม่ แม้ไม่ใช่ลูกแท้ๆ แต่ก็รัก ขณะเดียวกัน ปัจจุบัน ค่านิยม วัตถุนิยม ทำให้คนเราถูกหล่อหลอมความคิดใหม่ ทำให้หัวใจแข็งกระด้าง และอยากให้เรื่องนี้ช่วยเตือนใจ ให้เรารักแม่ให้มากๆ ครับ