ปล่อยวาง
เด็ก รนบ.
นานมาแล้ว ณ สำนักธรรมบนเขาแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่พำนักของเหล่าผู้ทรงศีลโดยมีผู้ทรงศีลอาวุโสท่านหนึ่งเป็นเสมือนครูผู้สอนและผู้ดูแลความเรียบร้อยของสำนักธรรมแห่งนี้
อยู่มาวันหนึ่งผู้ทรงศีลอาวุโสมีความจำเป็นต้องแจ้งข่าวสารอย่างหนึ่งให้กับสำนักธรรมอื่นๆทราบ จึงได้ไหว้วานผู้ทรงศีลวัยหนุ่ม 2 คนให้ช่วยเป็นธุระจัดการให้
เมื่อได้รับทราบความประสงค์ของผู้ที่เป็นดังครูผู้สอน ผู้ทรงศีลทั้งสองจึงรีบออกเดินทางเพื่อไปจัดการธุระให้
หลังจากเดินทางมาได้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ทั้งสองได้ยินเสียงสตรีนางหนึ่งกำลังร้องไห้อยู่ จึงรีบรุดไปยังต้นตอของเสียงนั้น ภาพที่ปรากฏคือ สตรีที่มีรูปโฉมงดงามคนหนึ่งกำลังนั่งร้องไห้อยู่ริมแม่น้ำ โดยที่ขาข้างซ้ายของนางดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บ ทั้งสองจึงเข้าไปถามสตรีผู้นั้น
"มีปัญหาอะไรหรือ...แม่นาง" หนึ่งในสองถามขึ้น
"บ้านของเราอยู่ริมแม่น้ำฝั่งโน้น ลูกชายของเราไม่สบายมาก เราเพิ่งรวบรวมเงินที่มีไปตระเวนหาซื้อยาเพื่อมารักษาอาการป่วยของเขา ซึ่งอาการป่วยของลูกชายเราจำเป็นต้องได้รับยาของเราในวันนี้ และมีเราเพียงผู้เดียวที่สามารถปรุงยาสำหรับเขาได้ ดังนั้นเราจึงมีความจำเป็นต้องข้ามแม่น้ำไปฝั่งโน้นให้ได้ก่อนพลบค่ำ แต่น้ำในแม่น้ำเชี่ยวกรากมาก และเราเองได้รับอุบัติเหตุจากการเดินทางอย่างที่ท่านทั้งสองได้เห็น ฉะนั้นเราจึงไม่สามารถข้ามแม่น้ำโดยลำพังได้ หากท่านมีเมตตา กรุณาช่วยพาเราข้ามแม่น้ำด้วยเถิด" สตรีท่านนั้นอธิบายพร้อมวิงวอนต่อผู้ทรงศีลทั้งสอง
ทางที่ผู้ทรงศีลจะต้องเดินทาง ก็ต้องข้ามผ่านแม่น้ำสายนี้เช่นเดียวกัน ผู้ทรงศีลคนแรกกำลังคิดถึงคำสอนที่ได้ร่ำเรียนมา แม้ใจจะอยากช่วยแต่คำสอนที่ระบุว่าห้ามผู้ทรงศีลสัมผัสถูกเนื้อต้องตัวของหญิงสาวก็ทำให้ผู้ทรงศีลไม่อาจละเมิดได้ ในขณะที่กำลังจะชี้แจงถึงเหตุผลที่ไม่อาจช่วยได้ให้สตรีผู้นั้นทราบ ผู้ทรงศีลอีกท่านหนึ่งก็ตรงไปอุ้มนางขึ้นและหานางเดินข้ามแม่น้ำในทันทีท่ามกลางความตกตะลึกของผู้ทรงศีลคนแรก
เมื่อข้ามพ้นแม่น้ำแล้ว ผู้ทรงศีลที่อุ้มสตรีผู้นั้นมาก็วางนางลง ซึ่งนางก็ได้กล่าวคำขอบคุณและพยายามเดินจนกลับถึงบ้าน เมื่อผู้ทรงศีลทั้งสองเห็นนางเข้าบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้ทรงศีลคนแรกก็เอ่ยถามผู้ทรงศีลคนที่สองทันที
"นี่ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร เราทั้งสองคือผู้ทรงศีลนะ ทำไมท่านถึงละเมิดสิ่งที่เป็นคำสอนของเราล่ะ?"
แต่ผู้ทรงศีลคนที่สองไม่ตอบอะไร แล้วทั้งคู่ก็เริ่มเดินทางต่อ
ผ่านมาได้อีกสักพัก ผู้ทรงศีลคนแรกก็ถามขึ้นอีก
"เราไม่เชื่อเลยนะว่าท่านจะกล้าทำในสิ่งที่ผิดเช่นนี้ วานท่านบอกเราหน่อยได้มั้ย เหตุใดท่านจึงทำสิ่งที่ผิดคำสอนเช่นนั้น"
แต่ผู้ทรงศีลคนที่สองไม่ตอบอะไรเช่นเดิม แล้วทั้งคู่ก็เริ่มเดินทางต่อ
จนถึงที่หมายซึ่งเป็นเวลาค่ำมากแล้ว ท่านผู้ทรงศีลคนแรกก็ถามขึ้นอีกครั้ง
"เราจะถามท่านเป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะ ทำไมท่านถึงละเมิดคำสอนโดยการไปอุ้มสตรีผู้นั้นข้ามแม่น้ำมา หากท่านไม่ตอบเราอีกล่ะก็ เสร็จธุระครั้งนี้แล้วเราจะไปรายงานให้ผู้อาวุโสทราบ"
"สหายเอ๋ย" ในที่สุดผู้ทรงศีลคนที่สองก็เอ่ยขึ้น...
"ท่านบอกว่าเราละเมิดคำสอนโดยการช่วยอุ้มสตรีที่ได้รับบาดเจ็บและต้องการไปช่วยบุตรอันเป็นที่รักของนางข้ามแม่น้ำใช่มั้ย"
"ใช่สิ ในที่สุดท่านก็ยอมรับแล้วใช่มั้ย ว่าการที่ท่านอุ้มนางข้ามแม่น้ำถือเป็นการละเมิดคำสอน"
"สหายเอ๋ย" ท่านผู้ทรงศีลคนที่สองกล่าวตอบ
"ท่านช่วยฟังคำของเราและตรองดูสักนิดเถิด แม้เราเองช่วยนางโดยการอุ้มนางข้ามแม่น้ำจริง แต่เราวางนางลงตั้งแต่เราพานางข้ามมาอีกฝั่งแม่น้ำได้แล้ว แต่ท่านต่างหากที่ยังอุ้มนางมาจนถึงที่นี่..."