เสียงที่แผ่วเบา สั่งใจให้ ค่อย ๆ ปิดเปลือกตา ช้า ๆ เราจะล่องลอย ..เราจะกลับไปยังสถานที่ที่เราเคยคุ้นเคย สถานที่ที่หัวใจของเราเพรียกหา ความอบอุ่น ความสุขของสถานที่นั้น ยังอวลอยู่ในความรู้สึกของเรา บ้าน.. เสียงภายในหัวใจ เชื้อเชิญเราให้กลับบ้าน.. เราจะย้อนกลับไปยังบ้านหลังแรก ที่ยังคงติดอยู่ในความทรงจำของเรา รั้วเปิดอ้ารอตอนรับการกลับบ้าน เราได้กลิ่นหญ้าเขียว ผสมกลิ่นดินที่ชุ่มฝน ประตูบ้านไม่ได้ปิด .. เราค่อย ๆ เดินเข้าไปในบ้าน โดยสลัดรองเท้าเข้าซอกข้างประตู
ใครคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้หวายกลางบ้าน เราได้ยินเสียงฮัมเพลงเบา ๆ ขณะที่ใครคนนั้นอ่านหนังสือ เสื้อสีตุ่น ๆ คอมีระบาย ผ้านุ่งลายดอกซีด ๆ ทำให้เรารู้สึกคุ้นเคยและอบอุ่น .. แม่.. แม่ยังคงอ่านหนังสือไปฮัมเพลงไป นาน ๆ ทีจึงจะพลิกหน้าหนังสือ แม่ยังคงอ่านสกุลไทยเหมือนเดิม จำได้ว่า แม่เคยบอกว่า "..สงสัยจะติดนิยายในนั้น.." แต่เราไม่สงสัย บางทีที่แม่อารมณ์ดี แม่จะร้องเพลงเบา ๆ .. เราแปลกใจ แม่เคยบอกว่าอายที่จะร้องเพลงแม่เสียงไม่เอาไหน แต่เราคิดว่าแม่ก็ร้องเพราะ เสียงร้องของแม่เนิบช้า แต่ก็ทำให้คนฟังรู้สึกเพลินใจ ชวนให้ง่วงประมาณนั้น แม่ร้องเพลงไม่บ่อยนักหรอก ยิ่งถ้ามีคนฟัง แม่จะไม่ร้องเพลง แม่ชอบแอบร้องเพลงตอนไม่มีใคร อย่างเช่นตอนนี้ หรือไม่ก็ตอนเข้าครัว
ด้านหลังของตัวบ้าน เราได้ยินเสียงเหมือนกำลังเลื่อยไม้ บางจังหวะก็ตอกตะปูโป๊ก ..โป๊ก.. พ่อ.. ง่วนอยู่กับงานประดิษฐ์เช่นเคย เจ้าม้าไม้ของเราที่พ่อลงแลคเกอร์เสียเงาวับ หูของมันไม่เท่ากัน ก็เคยถามเหมือนกัน "..ทำไมเจ้าม้าไม้มีหูข้างนึงยาว ข้างนึงสั้น.." พ่อตอบด้วยเสียงที่กลั้วหัวเราะว่า "..ก็ไม้มันหมดพอดี..มีหูครบสองข้างก็บุญแล้ว.." พ่อมักจะมีมุมส่วนตัว มุมที่เต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้รกเต็มไปหมด แต่อย่าเชียว อย่าได้คิดช่วยพ่อจัดของ อย่าวุ่นวายกับของของพ่อ ต่อให้มุมของพ่อจะรกเลอะเทอะแค่ไหน พ่อก็รู้ว่า อะไรวางตรงไหน อย่างไร ใครเขยื้อนเก็บ พ่อจะรู้สึกหงุดหงิด เรายืนดูพ่อตอกลังทำชั้นวางของสักพัก เหงื่อของพ่อท่วมตัวราวกับอาบน้ำ ผมสีดอกเลาของพ่อก็ดูเปียกชื้น "..ขอกอดหน่อย.." "..ยี้ไม่เอา พ่อตัวเหม็น.." "..ท๊อฟฟี่เอาไหม.." "..หยวน พ่ออย่าทำหนูแก้มเปียกนะ.." แต่ในที่สุดแก้มของเราก็เปียกน้ำ พ่อมักเอากำไร กอดด้วย หอมด้วย เรารำคาญ หยดน้ำที่เกาะปลายจมูกและผมที่ปรกหน้าของพ่อ และหนวดสาก ๆ แต่เราก็ชอบที่จะให้พ่อกอด พุงของพ่ออบอุ่น
สักพักเราเห็นเด็กชายวัยประมาณ 8 - 10 ขวบ สองคน วิ่งตึงตังเข้าบ้าน รอยขี้ดินเต็มพื้นบ้านเต็มไปหมด คนโตกว่าวิ่งหลบฉากคนที่เล็กกว่า ส่วนมือก็ถือลูกข่าง ถ้าให้เดา คงเป็นเพราะศึกชิงลูกข่างเป็นแน่ ทั้งสองคนวิ่งอ้อมเก้าอี้หวาย ตัวที่แม่เอนหลังอ่านหนังสือ แม่เอ็ดเสียงดัง บอกให้ทั้งคู่ออกไปเล่นนอกบ้าน ภาพตัดไปที่เด็กผู้หญิงอีกคนเดินเข้ามาพร้อมกับน้ำตาเต็มสองคราบแก้ม เราขำ .. กับอาการกระเง้ากระงอด เสียงฟูมฟายมายืนฟ้องแม่ .. ทำให้จับใจความไม่ค่อยได้.. แต่ก็รู้สึกได้
พ่อวางมือจากการตอกลังแล้ว เสียงร้องไห้ของเด็กผู้หญิง ทำให้พ่อต้องวางมือ พ่อเรียกให้เด็กผู้หญิงคนนั้นเดินไปหา .. ด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล พ่อพยายามเช็ดมือที่เลอะกับกางเกงขาก๊วย แต่มือยังคงเลอะคราบน้ำมันอยู่ พ่ออุ้มเด็กคนนั้นมานั่งตักและก็เช็ดน้ำตาให้ พ่อเล่านิทานปลอบ จนรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าที่เปรอะน้ำตา สักพัก..ก็มีเสียงหัวเราะตามมา
เราก็ยิ้ม ยิ้มกับภาพที่เป็นสุข ยิ้มกับความรู้สึกอบอุ่น ในขณะเดียวกันเราเศร้า .. ดูห่างไกลเหลือเกินกับสิ่งที่เราโหยหามาตลอด .. เราค่อย ๆ ถอยออกมาจากบ้านหลังนั้น ประตูบ้านยังคงเปิดอยู่ รั้วบ้านก็เปิดต้อนรับเสมอ เราวูบไหวกับการที่ค้นพบว่า .. เราคิดถึงเหลือเกิน .. คิดถึงบ้าน คิดถึงและคิดถึง..
เสียงฝนตกซ่า..เหมือนเป็นสัญญาณเตือนเราว่า ช่วงเวลาที่เรากลับไปเยือนโลกในอดีต..เวลาได้หมดลงแล้ว เราค่อย ๆ เปิดเปลือกตาอย่างช้า ๆ นั่งนิ่งพร้อมกับมองไปยังรอบ ๆ ตัว ไม่มีบ้าน ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีใครต่อใครที่เราอยากให้คงอยู่ เราเหมือนคนพลัดบ้าน และอยู่ท่ามกลางคนที่เราไม่รู้จัก อีกครั้ง..ที่เราสั่งใจตนเองให้กลับมาสู่โลกปัจจุบัน.. เราพยายามกำกับใจให้ยอมรับความเป็นจริง รับรู้ในความรู้สึกที่เป็นอยู่ ในทุก ๆ สัมผัส แต่เราไม่อาจห้ามน้ำตาที่เอ่อล้น .. ถึงแม้เราจะรู้ว่า เราจะไม่มีใครปลอบ .. ไม่มีมือนั้น มือที่เลอะคราบน้ำมัน มือที่เปื้อนฝุ่นคอยเช็ดน้ำตาให้
4 เมษายน 2549 17:48 น. - comment id 90320
บางครั้ง....คนเรามักชอบคิดอะไรที่เป็นไปไม่ได้ คิด.....อยากจะมีฤทธิ์ คิด.....อยากจะบินได้ หรือ.....คิด อยากให้เวลาย้อนกลับไปยังช่วงที่เรามีความสุขในอดีต นั่นคือความรู้สึกของเราในวันนี้ แต่ต่อไป.... สักวันหนึ่งข้างหน้า เรายังคงคิดอยากให้เวลาย้อนกลับมาสู่วันนี้อีกครั้ง มิใช่เพื่อมาดื่มด่ำกับความสุข แต่เพื่อมาแก้ไขอะไรบางอย่างที่เราทำผิดพลาดไว้ แต่ก็นั่นแหละ ..... มันเป็นไปไม่ได้
5 เมษายน 2549 05:08 น. - comment id 90325
....ร่างกายที่อ่อนล้าเหน็บหนาวขึ้นทุกขณะทำให้เด็กน้อยเริ่มสั่นสะท้านขึ้นทุกที..ขณะที่ฝนกำลังลงเม็ดอย่างหนักหน่วง \" อดทนไว้ลูกเดี๋ยวก็ถึงอานามัยแล้ว \" เสียงพ่อพูดปลอบท่ามกลางสายฝนและฟ้าที่ร้องคำรามเป็นระยะ... ...แม้จะเหน็บหนาวขึ้นทุกขณะ แต่สัมผัสของอ้อมกอดพ่อ และคำพูดที่เฝ้าปลอบด้วยความห่วงใยทำให้เด็กชายมีกำลังใจที่จะต่อสู้และอดทน..แม้ว่าเวลานั้นเรี่ยวแรงที่มีเพียงน้อยนิด.... ......คิดถึงพ่อขึ้นมา...น้ำตาพาลจะไหลเน๊อะลิง...ว่าไหม???...
5 เมษายน 2549 13:28 น. - comment id 90329
เอามือของคนรุ่นใหม่ ถึงแม้จะไม่เปื้อนน้ำมันหรือฝุ่นแต่รับรองว่าแข็งแกร่งพอกันไม๊ล่ะ ถ้ายอมให้เช็ดน้ำตาก็จะแถมให้อีกหลายอย่าง อิอิ
5 เมษายน 2549 21:34 น. - comment id 90330
มือนั้นหยาบกร้าน แต่อบอุ่นนักหนา...จริงไหม มือของพ่อ..
5 เมษายน 2549 22:32 น. - comment id 90331
จริงที่สุด ที่ว่าอ้อมกอดของพ่อนั้น....อบอุ่นมาก ลูกนั้นโตจนป่านนี้ แต่กลับคิดถึงอ้อมกอดของพ่อ คิดถึงพ่อค่ะ...........คิดถึงพ่อที่สุดเลย
5 เมษายน 2549 22:56 น. - comment id 90332
..คืนที่สับสน..และหวาดกลัว.. พ่ออยู่ใกลเรน.. พ่อมีอ้อมกอดที่อ่อนโยน..และสัมผัสที่เรนรับรู้..อบอุ่นและปลอดภัย.. พ่อจะไม่..ทิ้งเรน.. พ่อสอนให้เรนเข้มแข็ง.. ประสบการณ์คือสิ่งที่มีค่า.. พ่อบอกว่า..เรนไม่ใช่คนอ่อนแอ.. .. .. พี่อัลมิ..ทำให้เรนคิดถึงพ่อ..อีกแล้วดิคะ.. .. ตอนนี้พ่อมองเรน.. จริงๆนะคะ.. เรนเป็นห่วงแม่.. ..
7 เมษายน 2549 14:33 น. - comment id 90343
คุณศศิชนก .. บางความคิดควรค่าต่อการคิด และบางความคิดควรละเสียซึ่งความที่จะคิด อัลมิตรา..มีสิทธิ์ที่จะคิด สำหรับเรื่องที่อัลมิตราคิดว่า สมควรแล้วที่จะคิด ต่อให้มีบางใครพยายามย้ำให้คิดในเรื่องบางอื่น หากแต่อัลมิตราความคิดนั้น ไม่ได้อยู่ในวังวนแห่งความคิดของอัลมิตรา อัลมิตราก็มิอาจคิด ดังนั้น ขอให้เข้าใจในสิ่งที่อยู่ในความคิด และอย่าเคี่ยวเข็ญให้อัลมิตราทำอย่างที่ท่านคิด .. จงอยู่กับความเป็นจริง .. จึงเป็นสิ่งที่น่าคิด คุณบินเดี่ยวหมื่นลี้ .. อัลมิตราไม่ชอบเดิน และยิ่งจะไม่มีการเดินเข้าโรงหมอเป็นอันขาด เวลาไม่สบาย พ่อจะอุ้ม หรือไม่ก็ให้ขี่หลังไปหาหมอ หลังจากกลับจากการอาละวาดที่โรงหมอแล้ว พ่อจะพาไปซื้อขนมหวานประเภทลูกชุบ ฝอยทอง .. บางทีอัลมิตราก็ไม่รู้เดือดร้อนนะ ที่ไม่สบาย เพราะรู้ว่าจะได้ทานขนมอร่อย ๆ แต่ก็มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่พ่ออุ้ม อัลมิตราซบกับไหล่ พ่อไม่มีเงิน พ่อแวะที่บ้านลุงก่อน แต่คงเพราะน้ำเสียงและบางคำพูดของป้าสะใภ้ พ่อไม่รอที่จะฟังอะไรจากปากลุง ไปหาหมอ ทั้งที่ไม่มีเงินพกในกระเป๋า .. ช่วงเวลานั้น อัลมิตรารับรู้ความปวดร้าวของพ่อได้ดี แต่ทุกอย่างที่ผ่านมา ก็ผ่านพ้นไปได้ .. บททดสอบที่บ่มความเป็นอัลมิตรามาจนถึงทุกวันนี้ คุณฤกษ์ .. ถ้าช่วงเวลานั้นเกิดขึ้นจริง จะมีใครบ้างที่อยู่ใกล้ ๆ เพื่อชดเชยความอบอุ่นที่เคยได้รับ มี..และไม่มี คำตอบคือ ..? ประสบการณ์บางอย่างสอนให้อัลมิตราเรียนรู้ว่า บางความหวัง..ไกลเกินหวัง.. อย่าเชื่อใจในสิ่งที่คาดหวัง..อาจไม่สมหวัง คุณกุ้งหนามแดง .. :) พ่อจะมีมือใหญ่ ๆ หยาบ ๆ จำได้ว่า อัลมิตราเคยโดนพ่อตีเพียงเพี๊ยะเดียวเท่านั้น เพี๊ยะเดียวที่ทำให้อัลมิตรางอนข้ามวัน หนำซ้ำเพี๊ยะนั้นสะเทือนใจมากจนทำให้ไม่สบาย ๕๕๕ .. ที่จริงแล้ว หน้าที่ประจำของพ่อก็คือ คอยเป็นต้นทางให้ เวลาที่แม่ถือไม้เรียวมาน่ะ พอพ่อบอกว่า \"ไม้มาแล้ว..\" เท่านั่นล่ะ ทั้งอัลมิตราและพี่ ๆ วงกระเจิง คุณแก้วใส .. ยังมีความรู้สึกอบอุ่นเสมอ พ่อที่เป็นผู้ชายคนเดียวในโลกที่อัลมิตราไว้ใจในความรักที่มีต่อกัน ไม่ว่าวันเวลาจะผันไปกี่เนิ่นนาน ทว่าความคุ้นเคยมันเหมือนรากที่ฝังลึกลงไปในความเป็๋นตัวตนแห่งเรา คุณเรน .. มีเพลงฝรั่งอยู่เพลงหนึ่ง ที่พ่อประพันธ์ให้กับลูกชายตัวน้อยที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ นัยของเนื้อเพลงเศร้ามาก มีประโยคหนึ่งถอดความได้ว่า \"..เมื่อถึงเวลาที่เขาไปพบลูกชายของเขา ลูกชายของเขาจะจำเขาได้ไหม..\" เช่นกัน พ่อของอัลมิตราเดินทางล่วงหน้าไปก่อน อัลมิตราอยากให้พ่อเป็นคนยืนรอที่ประตูปากทางเข้า เมื่อยามที่อัลมิตราต้องเดินทางไปสมทบ .. ที่นั่น
8 เมษายน 2549 00:45 น. - comment id 90350
อดีตเป็นสิ่งที่ดี เป็นความทรงจำหล่อเลี้ยงให้เรามีประกายแห่งชีวิตเพื่อดำรงอยู่... อย่างงดงาม ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่เราเห็นชอบ และเกลียดชัง คุณอัลมิตราแต่งได้อบอุ่นมากเลยครับ ชวนให้ความรู้สึกหวลคืนสู่วันวานเก่าๆอีกครั้งหนึ่ง ขอชื่นชมทุกผลงานของคุณอัลมิตราครับ (ถึงจะอ่านไม่ได้หมดทุกเรื่องนะครับ)
8 เมษายน 2549 11:24 น. - comment id 90354
คุณเมฆสีขาว .. ค่ะ ความทรงจำที่เป็นสุข หล่อเลี้ยงหัวใจที่ชุ่มชื่นอยู่เสมอ แม้ว่ารอบข้าง ผู้คนจะดูเหมือนแล้งน้ำใจต่อกันนัก ความรู้สึกดี ๆ ที่เคยได้รับ อัลมิตราอยากปันให้กับผู้อื่นบ้าง เพื่อผ่อนคลาย .. อัลมิตราเชื่อว่า หากอัลมิตรายิ้มให้กับคนรอบข้าง อาจจะมีบ้างคนหรือสองคนที่ยิ้มตอบ นั่นก็ถือว่าอัลมิตราได้กำไรแล้ว แต่ถ้าอัลมิตราหน้าบึ้งใส่ทุก ๆ คน อัลมิตราคงหมดหวังที่จะเห็นรอยยิ้มจากใคร ดังนั้น ยิ้มไว้นะคะ โลกนี้สดใสยิ่งนักแล้วค่ะ
13 เมษายน 2549 15:39 น. - comment id 90392
บ้านที่แวดล้อมด้วยสมาชิกในครอบครัวเป็นที่พักกาย พักใจของเราได้เสมอ และมีความสุขทุกครั้งที่เราระลึกถึง
14 เมษายน 2549 21:06 น. - comment id 90401
คุณคนผ่านทาง .. อัลมิตราคงทำได้แค่คิดถึง ค่ะ